ตอนที่ 784 หินดึกดำบรรพ์ลายอัคคี

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 784 หินดึกดำบรรพ์ลายอัคคี โดย Ink Stone_Fantasy

บุรุษผู้สะพายกระบี่รวมถึงศิษย์ผอมสูงเห็นว่าหลบหลีกไม่ทันแล้วก็หน้าถอดสี บีบยันต์หลายแผ่นจนแหลก เกราะแสงป้องกันหลากสีหลายชั้นตั้งขึ้นเบื้องหน้าทันที

ส่วนหลัวเทียนเฉิงนั้นคำรามเบาๆ คำหนึ่ง มังกรพยัคฆ์ที่มีสีเงินทั่วร่างก็ทยอยระเบิดกลายเป็นเกราะหมอกสีเงินประหนึ่งเนื้อสาร ปกป้องรอบร่างเขาชนิดที่น้ำสักหยดไม่อาจเล็ดลอด

ทั้งสามคนทำทุกสิ่งนี้เสร็จหวุดหวิด เสาแสงสีเงินสภาพประหนึ่งรุ้งก็พุ่งผ่านจุดที่ทั้งสามอยู่ดังครืนอย่างมืดฟ้ามัวดิน

ชั่วขณะหนึ่งปรากฏจุดที่สีเงินพาดผ่าน พร้อมกับเสียงชือๆ ดังขึ้นต่อเนื่องไม่ขาดสาย!

พื้นดิน ยอดเขา ศิลายักษ์ที่สัมผัสถูกฉับพลันกลายเป็นควันดำลอยล่อง บนพื้นดินเหลือไว้เพียงร่องลึกกว้างหลายจั้งเส้นหนึ่ง

ครู่ต่อมาเมื่อบุรุษหน้าเหยี่ยวเก็บสองแขนไป เงากระจกสีเงินนับร้อยบานพลันส่องแสงสีเงินวูบหนึ่งจากนั้นทยอยหดเข้ามาตรงกลางกลายเป็นกระจกหกเหลี่ยมสีเงินเล็กบานหนึ่ง จากนั้นเขาก็อ้าปากกลืนลงท้องไปในคำเดียว

แสงสีเงินสว่างดับลงปุบ เสียงตุ้บสองครั้งก็ดังขึ้นท่ามกลางฝุ่นควัน ศพดำเกรียมขาดแหว่งไม่ครบร่างสองศพปรากฏขึ้นในหลุมลึก ดูจากเศษเสื้อผ้ากับร่างกายที่หลงเหลืออยู่ยังคงมองออกว่าเป็นบุรุษผู้สะพายกระบี่กับศิษย์ผอมสูงคนนั้น

ทั้งสองคนตอนนี้เหลือเพียงครึ่งร่างประหนึ่งถูกเพลิงร้อนแผดเผา อาวุธจิตวิญญาณในมือไม่เห็นร่องรอย

ศิษย์หัวกะทิสายในของนิกายยอดบริสุทธิ์สองคนยังไม่ทันได้ใช้กำลังต่อต้านสักนิดก็ตายสนิทอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเช่นนี้ กระทั่งดวงจิตสักเสี้ยวก็ยังไม่อาจหนีออกมาได้ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนตกตะลึงมากจริงๆ

เวลานี้เองหลังเสียงคำรามสายหนึ่ง เงาคนอีกร่างหนึ่งพลันพุ่งทแยงดิ่งลงมาจากกลางฝุ่นควันเต็มท้องฟ้า หลัวเทียนเฉิงคนผู้นี้นี่เอง

ทว่าเขาในเวลานี้ดูไปแล้วได้รับบาดเจ็บไม่เบาเช่นกัน แขนขวาทั้งข้างจนถึงหัวไหล่หายวับไปแล้ว ผิวหนังกว่าครึ่งร่างก็ดำเป็นตอตะโก

หลังหลัวเทียนเฉิงปลิวออกไปไกลหลายจั้งก็รีบใช้เคล็ดวิชาด้วยมือข้างเดียว พลังจิตวิญญาณทั้งร่างเพิ่มพูนขึ้นจนหวุดหวิดตั้งร่างมั่นคงได้ เขาสูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง ทั้งร่างก็เปล่งแสงสีเงินวิบวับอีกครั้ง ร่างกายที่ถูกเผาทำลายฉับพลันมีเส้นเรียวเล็กสีเงินมากมายลอยออกมา ตรงแขนที่ขาดก็มีติ่งเนื้อเกิดใหม่นับไม่ถ้วนขยับดุกดิกไม่หยุด

การโจมตีเมื่อครู่ของบุรุษหน้าเหยี่ยวเห็นชัดว่าผลาญปราณไปไม่น้อย หลังเห็นสภาพเช่นนี้ของหลัวเทียนเฉิง ในใจก็ครั่นคร้ามเช่นกัน เขาไม่ได้ใช้การโจมตีอื่นใดออกมาอีกในทันที เพียงไพล่มือไปข้างหลังลอยอยู่กลางอากาศ ปล่อยให้สายลมเย็นยะเยือกพัดตีชุดสีเขียว

ในเวลาเดียวกันนี้กลับมีไอหมอกสีเทาต่อเนื่องไม่ขาดสายลอยออกมาจากศพขาดแหว่งสองร่างในหลุมมหึมาบนพื้น แล้วถูกโซ่เส้นน้อยบนข้อมือเขาเก็บไปไว้ข้างใน

ผ่านไปเจ็ดแปดลมหายใจร่างกายของหลัวเทียนเฉิงก็ฟื้นกลับมาดังเดิมอีกครั้ง ปากแผลทั้งหมดผสานกันสนิทจนมองไม่เห็นแล้ว ถึงขนาดที่ผิวหนังซึ่งเกิดขึ้นมาใหม่ขาวกระจ่างแวววาว รอยแผลเป็นสักนิดก็ไม่หลงเหลือไว้ ทว่าเมื่อแขนข้างขวาของเขางอกออกมา โซ่แห่งโชคชะตาที่เดิมทีอยู่บนข้อมือกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลัวเทียนเฉิงมองศพสองร่างบนพื้น สีหน้าเคร่งขรึมประหนึ่งสายน้ำ หลังสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ใกล้ๆ กับข้อมือแขนขวา จุดแสงระยิบระยับนับไม่ถ้วนพลันปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า หลังแสงสีขาวสว่างวูบหนึ่งก็ผนึกรวมตัวเป็นโซ่หยกขาวสะอาดเกลี้ยงเกลาประหนึ่งหยกเส้นใหม่เส้นหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าแสงสีเทาที่แผ่ออกมาเห็นชัดว่าจางกว่าก่อนหน้านี้มาก

ในเวลาเดียวกันหลังโซ่แห่งโชคชะตาบนข้อมือของบุรุษหน้าเหยี่ยวดูดกลืนไอสีเทาจากศพสองร่างเสร็จแล้ว ไอสีเทาปริมาณมากที่ปรากฏออกมากลางอากาศรอบด้านอีกครั้งก็ถูกดูดเข้าไปอย่างรวดเร็วยิ่งด้วย

หลัวเทียนเฉิงเห็นสภาพนี้ก็ไม่อาจอดกลั้นโทสะเดือดดาลในใจได้อีกต่อไป ไม่พูดพร่ำอีกสองมือทำท่ามือของเคล็ดวิชาอย่างเร็วไว ไอหมอกสีเงินทะลักออกมาจากร่างเขาอย่างบ้าคลั่งอีกหน พร้อมกันนั้นเสียงเปรี๊ยะๆ ก็ดังขึ้น ร่างกายเขาฉับพลันขยายใหญ่ขึ้นรอบหนึ่ง เขาสาวเท้าออกไปหนึ่งก้าว หมายจะลงมือพร้อมกับเพลิงโทสะเต็มหัวใจ

บุรุษหน้าเหยี่ยวกลับหัวเราะ บนแผ่นหลังฉับพลันมีแสงเขียวสองก้อนลอยออกมา จากนั้นเพียงพริบตาก็กลายเป็นปีกแสงสีเขียวยาวจั้งกว่าๆ สองข้าง สองปีกกระพือทีหนึ่งเขาพลันกลายเป็นแสงสีเขียวสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไปไกล ไม่มีความคิดจะประมือกับหลัวเทียนเฉิงต่อสักนิด

“จิ๊ๆ ร่างจิตวิญญาณตูเทียนสมค่ำร่ำลือจริงๆ ข้าได้รับการสั่งสอนแล้ว วันหน้าค่อยพบกัน!” ในเวลาเดียวกันนี้เองเสียงพูดของคนผู้นี้ก็ดังออกมาจากแสงสีเขียวที่อยู่ไกลๆ

“อย่าหนีนะ!”

หลัวเทียนเฉิงไหนเลยจะยอมปล่อยเขาหนีไป แสงสีเงินทั่วร่างม้วนคลุมร่างกายกลายเป็นลำแสงสีเงินสายหนึ่งไล่ตามไปเร็วรี่

ลำแสงของทั้งสองคนล้วนเร็วอย่างที่สุด ชั่วสองสามลมหายใจก็เหาะออกมาสิบกว่าลี้แล้ว

ทว่าลำแสงของหลัวเทียนเฉิงไม่ช้าก็จริง แต่ชื่อเสียงของเขาอย่างไรก็ได้มาจากร่างจิตวิญญาณที่มีกายเนื้อแข็งแกร่ง วิชาหลบหลีกไม่ใช่จุดแข็งของเขา ส่วนลำแสงสีเขียวของบุรุษหน้าเหยี่ยวความเร็วไม่อาจดูแคลนได้อย่างแท้จริง ระหว่างที่กะพริบวูบไหวไม่กี่หนก็เหาะออกไปห่างหลายลี้แล้ว

ผลปรากฏว่าผ่านไปไม่นาน ระยะห่างของทั้งสองคนก็ไกลขึ้นทุกที

หลัวเทียนเฉิงไล่ตามไปอีกระยะหนึ่งเมื่อเห็นว่าไม่อาจไล่ตามทันแล้ว จึงทำได้เพียงหยุดอย่างแค้นเคือง

“น่าชังนัก! หุบเขาปีศาจสวรรค์มีบุคคลที่ร้ายกาจขนาดนี้คนหนึ่งตั้งแต่เมื่อไร แค่ยกมือยกเท้าก็กำจัดศิษย์ระดับผลึกขั้นปลายสองคนของนิกายเราได้” เขามองแสงสีเขียวจุดหนึ่งที่เล็กลงทุกทีบนขอบฟ้าขณะที่ในใจหงุดหงิดอย่างที่สุด

หลังจากที่เขามีสีหน้าทะมึนเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง ในที่สุดก็กระทืบเท้าทีหนึ่งหมุนตัวเหาะรวดเร็วกลับไป

…..

ในพื้นที่แอ่งกระทะที่ล้อมด้วยขุนเขาสี่ด้านอีกแห่งหนึ่งบริเวณขอบนอกของแดนลึกลับ คนหลายกลุ่มกำลังลอยอยู่กลางอากาศต่อสู้ยืดเยื้อตัดสินกันไม่ได้

โอวหยางเชี่ยนกับสตรีผู้สวมชุดสีเขียวน้ำทะเลผู้นั้นจากตระกูลโอวหยางยืนเด่นอยู่ตรงกลาง ส่วนคนที่ประจันหน้ากับพวกนางอยู่คือบุรุษที่สวมชุดยาวสีน้ำตาลสามคน

รอบนอกไม่ไกลจากคนทั้งห้ายังมีผู้ฝึกฝนอีกเจ็ดคนจับกลุ่มสองคนสามคนอยู่ ดูจากเครื่องแต่งกายบนร่างล้วนเป็นศิษย์นิกายเล็กนิกายน้อยทั้งสิ้น ท่าทางคล้ายไม่ใช่พวกเดียวกันเช่นกัน

สายตาของคนทั้งหมดบ้างตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจล้วนมองไปยังศิลาสีเขียวสูงราวครึ่งตัวคนก้อนหนึ่งซึ่งตรงกลางพื้นที่แอ่งกระทะเป็นระยะ

บนผิวหน้าของหินมีตะไคร่เกาะเต็ม แต่เมื่อพินิจอย่างละเอียดกลับพบว่าบนผิวของหินเขียวมีลวดลายสีแดงหม่นซับซ้อนวุ่นวายเส้นแล้วเส้นเล่าอยู่ เมื่อมันสว่างวูบแล้วดับลง ปราณสีแดงเพลิงสายแล้วสายเล่าก็แผ่ออกมาเลือนรางทำให้อากาศรอบด้านพร่ามัวไม่ชัดไปชั่วครู่ ดูปุบก็รู้ว่าเป็นวัตถุจิตวิญญาณที่หายากในโลก

“เซียนทั้งสองที่แท้มีเจตนาใด? หินดึกดำบรรพ์ลายอัคคีก้อนนี้พวกเราพรรคตำหนักนภาพบก่อน ย่อมสมควรเป็นของพวกเราถึงจะถูก” ชายวัยกลางคนคิ้วกว้างผู้หนึ่งที่เป็นหัวหน้าในหมู่บุรุษชุดน้ำตาลสามคนด่าสองสตรีตระกูลโอวหยางอย่างเกรี้ยวกราด

“น่าขำจริง กระทั่งกฎของงานประตูสวรรค์ท่านทั้งสามยังไม่กระจ่างก็บุ่มบ่ามเข้ามาแล้วหรือ? สมบัติในแดนลึกลับแห่งนี้หากใครหาพบก็เป็นของผู้นั้นไม่อย่างนั้นจะเลือกพวกเราเข้ามาทำอันใด ดูท่าพวกเจ้ายังรวบรวมโชคชะตาได้ไม่เท่าไรสินะ ข้าก็คร้านจะแย่งชิง ถ้ารู้จักสถานการณ์ก็รีบหนีไปเสีย พวกเจ้าก็เช่นกัน หากไม่อยากตายเหมือนกันก็ไปให้ไกลจากพวกเราพี่น้องหน่อย!”

สตรีชุดเขียวเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ นอกจากนี้ยังกวาดมองไปบนร่างเจ็ดคนที่อยู่ไกลออกไปอย่างดูแคลนนิดๆ อีก

สามคนของพรรคตำหนักนภาได้ยิน สีหน้าพลันแดงก่ำ ในดวงตาแทบจะมีไฟผุดขึ้นมา คนของนิกายอื่นได้ยินคำพูดนี้ ส่วนใหญ่ใบหน้าก็กลายเป็นย่ำแย่อย่างยิ่งเช่นกัน

โอวหยางเชี่ยนยืนอยู่ด้านข้างมองดูทุกสิ่งนี้ด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนยิ้ม

“เหอะ! ตระกูลโอวหยางมีอะไรยอดเยี่ยม ร้ายกาจอีกเท่าใดก็เพียงแค่สองคนเท่านั้น สหายทั้งหลายไม่สู้พวกเราร่วมมือกันจัดการพวกนางก่อน ค่อยตัดสินแบ่งสรรวัตถุวิเศษชิ้นนี้เป็นอย่างไร?” สตรีที่แต่งกายเย้ายวนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านนอกฉับพลันแค่นเสียงหยันเอ่ยขึ้นเสียงดัง

คำนี้เอ่ยออกมาปุบก็ดึงสายตาของคนทั้งหมดมาในทันใด

พินิจดูสตรีที่เอ่ยวาจาผู้นี้ก็นับว่างดงามอยู่บ้าง เพียงแต่เพ่งพิจดูแล้วสองตาค่อนข้างเรียวยาวไปหน่อยจึงทำลายใบหน้างามไปหลายส่วน สายตาที่นางมองไปยังสองพี่น้องตระกูลโอวหยาง แฝงแววตาอิจฉาปนโกรธแค้นจางๆ

ด้านข้างของสตรีนางนี้ ชายหนุ่มชุดแดงผอมแห้งประหนึ่งไม้ฟืนคนหนึ่งยืนอยู่ เขาได้ยินพลันตกใจจนหน้าถอดสี คิดไม่ถึงอย่างยิ่งว่าศิษย์พี่ร่วมสำนักคนนี้อยู่ดีๆ กลับเอ่ยปากหาเรื่องพี่น้องโอวหยางในเวลานี้

คนที่เหลือรวมถึงสามคนของพรรคตำหนักนภาที่อยู่ด้านหน้าสองพี่น้องตระกูลโอวหยางได้ยินเข้า บนหน้าล้วนอดไม่ได้ฉายแววหวั่นไหวอย่างยิ่ง แต่ด้วยชื่อเสียงของแปดตระกูลใหญ่ กลับไม่มีผู้ใดกล้าลงมือก่อน

บรรยากาศในที่นั้นกลายเป็นอ่อนไหว

“เหอะ ในเมื่อไม่ยินดีไป เช่นนั้นก็อยู่ให้หมดเสียเถอะ” สตรีชุดเขียวเห็นสถานการณ์นี้ สีหน้าก็เคร่งขรึม ฉับพลันในมือประกายแสงสีม่วงสว่างขึ้น พัดสีม่วงยาวสองฉื่อเล่มหนึ่งปรากฏออกมา มันโต้ลมกางออกจากนั้นพัดไปด้านหน้า

พัดนี้สมควรเป็นสิ่งของงดงาม แต่ท่าทางที่สตรีชุดเขียวพัดออกมากลับแลดูหนักอึ้งผิดธรรมดา

เสียงพรึ่บดังขึ้นทีหนึ่ง!

หลังผิวพัดส่องแสงสว่างเจิดจ้า หมอกสีม่วงจางๆ ผืนใหญ่ก็ทะลักรุนแรงออกมาจากด้านใน ชั่วพริบตาก็ซัดไปทิศตรงข้าม

ความเร็วของหมอกสีม่วงเร็วอย่างที่สุด ศิษย์พรรคตำหนักนภาสามคนที่อยู่ใกล้ที่สุดฉับพลันได้กลิ่นหอมประหลาดอ่อนๆ สายหนึ่ง ทันใดนั้นสติก็เริ่มเลือนราง

“แย่แล้ว”

ชายวัยกลางคนคิ้วกว้างที่เป็นหัวหน้าตื่นตระหนก รีบร้อนล้วงยันต์สีเขียวสามแผ่นออกมาจากอก ตบลงบนร่างตนกับศิษย์น้องสองคนอย่างรวดเร็ว

แสงสีเขียวสว่างวาบ สองคนที่เหลือตอนนี้ถึงประหนึ่งสะดุ้งตื่น ไม่ได้จมดิ่งลงไปอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้

ผู้ฝึกฝนคนอื่นที่อยู่ค่อนข้างไกลเห็นภาพนี้หน้าพลันถอดสี พากันโคจรปราณกลั้นลมหายใจ ต่างปล่อยวิชาลับกับอาวุธจิตวิญญาณสำหรับป้องกันนานาชนิดของตนออกมา

“ลงมือ!”

แต่การเคลื่อนไหวของสตรีชุดเขียวกลับทำให้คนที่เหลือที่นั่นตัดสินใจเด็ดขาด ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนเสียงดังขึ้นมา นาทีต่อมาแสงรัศมีหลากสีฉับพลันประหนึ่งน้ำหลากไหลบ่าโหมเข้าใส่โอวหยางเชี่ยนกับสตรีชุดเขียว

เปรี้ยงงงง!

แสงรัศมีหลากสีสิบกว่าสายท่วมทับเงาร่างของสองพี่น้องโอวหยางในพริบตาจนมองไม่เห็นชายเสื้อของพวกนางอีก

“ฮ่าฮ่า ตระกูลโอวหยางอะไรกัน! พูดจาวางโตร้ายกาจปานนั้น ไม่ใช่อ่อนแอไม่ทานทนสักการโจมตีหรือ!” สตรีงามเย้ายวนที่เอ่ยปากแรกสุดเห็นภาพนี้ก็กรีดร้องเสียงแหลมทั้งตะลึงทั้งยินดี ในมือนางกำลังบังคับห่วงกลมสีแดงเพลิงวงหนึ่งบินร่อนขึ้นลงไม่หยุด แสงเรืองรองสีแดงฉานเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งออกมาจากด้านในอย่างรวดเร็ว

บุรุษผอมแห้งข้างกายนางกลับควักยันต์แผ่นหนึ่งออกมาก่อน หลังปล่อยม่านแสงสีแดงชั้นหนึ่งออกมาคุ้มครองทั้งร่างไว้ถึงกระตุ้นดาบยาวสีแดงฉานเล่มหนึ่งกลายเป็นแสงดาบผืนใหญ่เข้าโจมตีด้วย

“ก็แค่สตรีที่เอาแต่พึ่งตระกูลสองนาง มีความสามารถแท้จริงสักนิดที่ไหน ศิษย์น้องไยเจ้าต้อง…” สตรีงามเย้ายวนเห็นภาพนี้พลันแค่นเสียงขึ้นจมูก ผลปรากฏว่าเอ่ยวาจาออกมาได้เพียงครึ่ง หน้าอกก็รู้สึกเย็บวูบเล็กน้อย ปลายดาบขาวสว่างเล่มหนึ่งโผล่ออกมาจากหน้าอกของนางอย่างเห็นได้ชัด