ตอนที่ 1019 สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1019 สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต

พิธีถวายความเคารพเสร็จสิ้นไปพร้อมกับที่อัครมหาเสนาบดีจากราชวงศ์เหลียวหมดสติไปกลางงาน

เรื่องที่ว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์จะยกทัพไปตีราชวงศ์เหลียวเพียงเพราะม้าตัวหนึ่งหลุดเข้ามากินหญ้าที่ชื่อเล่อชวน…ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองกวนหยุนอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง

“คือ…ราชวงศ์เหลียวตั้งอยู่ที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ม้าของพวกเขาหลุดเข้าไปที่ชื่อเล่อชวนได้เยี่ยงไรกัน ? ”

“สมองของเจ้าช่างพิลึกมิเหมือนชาวบ้านชาวช่องเสียจริง ประเด็นหลักของเรื่องนี้อยู่ที่ม้าของราชวงศ์เหลียวเข้ามากินหญ้าของต้าเซี่ยมิใช่หรือ ? ”

“เจ้าก็เสียสติพอกันแหละน่า ผืนปฐพีของราชวงศ์เหลียวตั้งอยู่ห่างจากชื่อเล่อชวนตั้ง 2,000 ลี้ อีกทั้งยังมีแคว้นซีเซี่ยคั่นอยู่ตรงกลาง แล้วม้าของราชวงศ์เหลียวจะหลุดมาที่ชื่อเล่อชวนได้เยี่ยงไร ? ”

“เจ้าหมายความว่าฝ่าบาทตรัสความเท็จเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เจ้าอย่ามาปรักปรำข้าสิ ข้ามิได้เคลือบแคลงว่าฝ่าบาทตรัสความเท็จเลย ข้าก็แค่ ก็แค่…เฮ้อ เอาเถิด ม้าของราชวงศ์เหลียวหลุดมาที่ชื่อเล่อชวนจริง มันหลุดมากินหญ้าที่ต้าเซี่ยของพวกเรา”

จากนั้นก็มีเสียงหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมาอีก “ก็แค่ม้าหลุดมากินหญ้าเองมิใช่หรือ ? ชื่อเล่อชวนเดิมทีก็เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่อยู่แล้ว ม้ากินหญ้าก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ ? ถึงขั้นต้องยกทัพไปตีกันเชียวหรือ ? ”

“พวกเจ้ามิเข้าใจหรอก…เอาเป็นว่าม้าตัวนั้นได้กินหญ้าของประเทศต้าเซี่ยเราจริง ผืนปฐพีต้าเซี่ยทุกหย่อมหญ้าคือแดนศักดิ์สิทธิ์และมิอาจรุกล้ำเข้ามาได้ ม้าตัวนั้นกินหญ้าของประเทศต้าเซี่ยไปตั้งเยอะเลยนี่ ! ”

“ดังนั้น…เท่ากับว่าฝ่าบาททรงทำเพื่อปกป้องเกียรติยศอันศักดิ์สิทธิ์ของต้าเซี่ยใช่หรือไม่ ? ”

“ถูกต้อง ! ฝ่าบาททรงตรัสจริงทำจริง เมื่อฝ่าบาทเดินทางไปปราบปรามราชวงศ์เหลียวจนสูญสิ้นแล้วเมื่อใด เมื่อนั้นพวกเราคงปล่อยม้าไปกินหญ้าไกลถึงราชวงศ์เหลียวได้อย่างสบายใจ ! ”

“…”

ปัญหาเรื่องม้าจากราชวงศ์เหลียวหลุดเข้ามากินหญ้าที่ชื่อเล่อชวนคือสาเหตุที่ทำให้เยลู่ตานกระอักโลหิตจนหมดสติ ทั้งยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ประมุขและราชทูตจากแคว้นเล็กแคว้นน้อยตกใจกันสุดขีด

พวกเขาเข้าใจดีว่าฟู่เสี่ยวกวนเพียงอ้างเหตุผลไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ซึ่งเป็นที่กระจ่างชัดว่าต่อให้ราชวงศ์เหลียวจะตอบเยี่ยงไร ฟู่เสี่ยวกวนก็จะโยนความผิดให้กับราชวงศ์เหลียวอยู่ดี เพื่อที่จะได้มีข้ออ้างอันชอบธรรมในการยกทัพเข้าโจมตีราชวงศ์เหลียว

หรืออาจจะเอ่ยได้ว่าเขาเตรียมการโจมตีราชวงศ์เหลียวไว้เนิ่นนานแล้ว

เมื่อพิธีถวายความเคารพสิ้นสุดลง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เข้าพบประมุขและราชทูตจากเก้าแคว้น ณ หงหลูซื่อ

พวกเขาล้วนระมัดระวังกันเป็นพิเศษ เพราะกลัวว่าจะไปทำให้จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยมิพอพระทัยจนเป็นเหตุให้ม้าของแคว้นตนหลงเข้ามากินหญ้าในต้าเซี่ยอีก

สวี่หยุนชิงที่แอบมองอยู่บนหลังคาของท้องพระโรงซวนเต๋อได้เห็นเหตุการณ์ทุกฉากทุกตอน นางยิ้มอย่างชอบใจ จากนั้นก็ใช้กำลังภายในบินกลับไปยังตำหนักฉืออัน นางเรียกบรรดาลูกสะใภ้มารวมตัวกันแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน

“เช่นนั้น…สรุปว่าม้าของราชวงศ์เหลียวได้หลุดเข้ามากินหญ้าที่ชื่อเล่อชวนของเราจริงเยี่ยงนั้นหรือเพคะ ? ” ซูซูเอ่ยถามด้วยสีหน้างงงวย

หยูเวิ่นหวินและคนอื่น ๆ ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ซูซูเอ๋ย ท่านพี่เพียงแค่หาข้ออ้างก็เท่านั้น”

ปากน้อย ๆ ของซูซูอ้าออกเพราะความตกตะลึง จากนั้นก็เอ่ยออกมาอย่างคับแค้นใจว่า “เขานี่นะ…เหตุใดถึงเป็นคนซับซ้อนมากถึงเพียงนี้ ? ”

สวี่หยุนชิงลูบศีรษะของซูซูเบา ๆ “การทำสงครามย่อมต้องหาข้ออ้างอยู่เสมอ ส่วนข้ออ้างที่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็มิได้สลักสำคัญอันใดหรอก”

ระหว่างคิ้วของสวี่ซินเหยียนยังมีความกังวลใจซ่อนอยู่ “ท่านแม่ เขา…จะทำศึกด้วยตนเองจริงหรือเพคะ ? ”

ราชวงศ์เหลียวตั้งอยู่ไกลโพ้น แม้ต้าเซี่ยจะมีทหารฝีมือดีอยู่มากมาย แต่นั่นก็เป็นสงครามที่ต้องต่อสู้กับคนจำนวนหลายแสนคนอยู่ดี

ดาบและกระบี่ฟันได้มิเลือกหน้า อีกประการคือทางราชวงศ์เหลียวก็คิดค้นปืนคาบศิลาได้แล้วเช่นกัน…มันยิ่งอันตรายมากกว่าเดิมมิใช่หรือ ?

“เจ้ามิวางใจเยี่ยงนั้นหรือ ? ” สวี่หยุนชิงเอ่ยถาม

“ลูก… ลูกมิค่อยวางใจเพคะ” เมื่อหวนนึกถึงเรื่องราวที่เมืองเปียนเฉิง หากมิใช่เพราะปืนยาวกระบอกนั้นเหลือกระสุนอีก 1 นัด หากมิใช่เพราะท่านอาจารย์มาช่วยได้ทันเวลา ผลที่ตามมาก็คงจะยากเกินคาดเดา

ทุกวันนี้ปืนยาวกระบอกนั้นมิได้ถูกนำมาใช้แล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าที่ราชวงศ์เหลียวมีจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์มากน้อยเพียงใด ?

นางเป็นผู้มีฝีมือขั้นหนึ่ง นางจะสามารถติดตามไปปกป้องเขาได้หรือไม่ ? อย่างน้อยนางก็ช่วยถ่วงเวลาให้เขาได้สักเล็กน้อยมิใช่หรือ ?

“หากเขานำทัพไปตีราชวงศ์เหลียวจริง ๆ เจ้าก็จงตามเขาไปเถิด”

“ท่านแม่ ลูก…ลูกก็อยากไปด้วยเพคะ” ซูซูทำเสียงอ้อนวอน

“ก็ได้ ๆ เพียงแต่ว่า…เมื่อพวกเจ้าไปกันหมด แล้วบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยของพวกเราจะทำเยี่ยงไรต่อไป ? ”

“พวกเรายังมีพี่ชูหลานอยู่นี่เพคะ แท้ที่จริง…ลูกเพิ่งค้นพบว่าตนเองมิได้มีพรสวรรค์เรื่องการบริหารธุรกิจมากนัก” ซูซูรู้สึกท้อแท้ขึ้นมาทันใด เพราะทุกวันนี้บริษัทลูกเจ็ดแห่งของจินเฟิ่งต้าเซี่ยได้กระจายฐานการผลิตไปทั่วทั้งต้าเซี่ยแล้ว เหลือเพียงบริษัทติดตั้งสรรพาวุธจินเฟิ่งต้าเซี่ยที่นางดูแลอยู่เท่านั้น…

โชคดีที่ได้ต่งชูหลานช่วยไหว้วานให้ฉินรั่วเสวียไปช่วยดูแลที่ศูนย์วิจัยซีซาน มิเช่นนั้นนางก็มิทราบแล้วว่าต้องเริ่มจัดการเยี่ยงไร

เรื่องนี้มิอาจโทษซูซูได้ ดังนั้นสวี่หยุนชิงจึงหลุดหัวเราะออกมา “พวกเจ้าจงจำเอาไว้ว่า บริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยมีไว้เพื่อความสนุกสนานเท่านั้น พวกเจ้าอย่ามัวคิดเปรียบเทียบว่าผู้ใดดีกว่าตนเชียว หากคิดเช่นนี้…การทำธุรกิจก็จะไร้ความหมาย”

“พวกเจ้าล้วนเป็นภรรยาของเขาทั้งสิ้น ดังนั้นควรรักใคร่กลมเกลียวกันให้เหมือนพี่น้อง ควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มิว่าในเรื่องใดก็ตาม”

“ในเมื่อซูซูมิชอบการบริหารธุรกิจก็มิต้องทำ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของชูหลานเถิด ชูหลานเองก็อย่าทุ่มเทมากจนเกินไป ให้พึงระลึกถึงความตั้งใจในตอนแรกเริ่ม และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามโชคชะตา”

ต่งชูหลานพยักหน้ารับ จึงทำให้ซูซูรู้สึกมิสบายใจมากขึ้น สวี่หยุนชิงลูบศีรษะของนางเบา ๆ อีกครา “ข้ารู้ว่าเจ้ามีฝีมือด้านการต่อสู้ ต่อจากนี้ก็จงทุ่มเทให้กับการฝึกฝนเพื่อบรรลุระดับปรมาจารย์โดยเร็วที่สุด… เพราะเขาจำเป็นต้องมีปรมาจารย์คอยอยู่เคียงข้าง ! ”

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนสนทนากับบรรดาประมุขและราชทูตจากต่างแดนอย่างสนิทสนมอยู่ครึ่งค่อนวัน เขาได้สนทนาอย่างเป็นกันเองและได้เอ่ยถึงบางเรื่องเกี่ยวกับประเทศต้าเซี่ย และยังได้ไต่ถามบางเรื่องของแคว้นอื่น ๆ อีกด้วย

ในท้ายที่สุดเขาก็ได้เชื้อเชิญแต่ละแคว้นมาร่วมก่อตั้งสถานเอกอัครราชทูตประจำเมืองกวนหยุนด้วยความจริงใจ

“พวกท่านต้องส่งเสนาบดีที่เป็นการเป็นงานมาที่นี่ ราชอาณาจักรของพวกท่านคงมีหลายสิ่งที่ประเทศต้าเซี่ยของพวกเราต้องการ และทางต้าเซี่ยก็มีของดีมากมายที่ผู้คนในดินแดนของพวกท่านโปรดปรานเช่นกัน”

“หากแคว้นใดปรารถนาจะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับต้าเซี่ย พรุ่งนี้จงไปหาเซียวยวี่โหลวเสนาบดีกรมพิธีการในวังหลวงเพื่อบันทึกรายชื่อเอาไว้ก่อน จากนั้นค่อยลงนามในสนธิสัญญาทางการทูต”

“หลังจากสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเรียบร้อยแล้ว พวกท่านจะสามารถค้าขายกับต้าเซี่ยได้ ส่วนเรื่องสนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ…พวกท่านสามารถไปติดต่อได้ที่เสนาบดีกรมคลังโหยวเซียนจือ”

“พวกท่านทั้งหลายจงสบายใจได้ สนธิสัญญาเหล่านี้มิได้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้ามีอำนาจเหนือพวกท่าน ทว่าสนธิสัญญาเหล่านี้เกิดขึ้นโดยมีข้าและอดีตองค์ชายแห่งแคว้นฝานร่วมเจรจาและร่างขึ้นมา พวกท่านย่อมสามารถโต้แย้งในสิ่งที่เห็นว่ามิเหมาะสมได้ นี่คือการเจรจา ! ท้ายที่สุดพวกเราต้องได้ข้อตกลงที่ทุกฝ่ายสามารถยอมรับได้ และสนธิสัญญาฉบับนี้จะเป็นฉบับอ้างอิงในการร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนาคต”

“ตัวข้าเป็นคนมีเหตุผล ขอเพียงพวกท่านทำตามกฎระเบียบ มิทำผิดกฎหมายหรือผิดวินัยของแต่ละฝ่าย พวกท่านย่อมหาเงินจากประเทศเซี่ยได้ ข้ามิอิจฉาริษยาและมิเข้าไปก้าวก่ายกิจกรรมการค้าที่ถูกกฎหมายอย่างแน่นอน”

“ตัวข้าเป็นฉันใดก็หวังให้พวกท่านเป็นฉันนั้น”

ทุกคนในที่นี้ได้เห็นความรุ่งเรืองของต้าเซี่ยด้วยสายตาของตนเองแล้ว

มิว่าจะเป็นประมุขหรือราชทูตของแคว้นแดนใด พวกเขาต่างก็โปรดปรานสิ่งของหลายอย่างในต้าเซี่ย ยกตัวอย่างเช่น ผ้าฝ้ายและผ้าไหม เครื่องลายครามหรือเครื่องหยก มิเว้นแม้แต่ขวดแก้วที่ส่องประกายวาววับ เป็นต้น

สำหรับฟู่เสี่ยวกวนแล้วต้องการส่งออกสินค้าของประเทศต้าเซี่ยและต้องการนำเข้าสินค้าคุณภาพดีจากต่างแดนเช่นกัน

เรื่องนี้จึงได้รับความเห็นชอบจากหลาย ๆ แคว้น เพียงแต่พวกเขายังสงสัยว่าสนธิสัญญาทางการทูตและสนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ว่านั้นมีรายละเอียดเยี่ยงไร ดังนั้นต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้แล้วค่อยตัดสินใจขั้นสุดท้าย

แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้ขู่เข็ญให้ผู้ใดมาเห็นด้วย เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยว่า “วันนี้พอแค่นี้ก็แล้วกัน…ส่วนท่าป๋าวั่งได้โปรดตามข้ามา”