อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2056 ไปที่หอนิรันดร์กันเถอะ!
“ท่านเจ้าสำนักของเราคือคนคุ้นเคยที่หัวหน้าตำหนักตู้ตามหาอยู่หรือเปล่า?” หานเจี้ยนชิวถาม
“ใช่ เราเคยพบกันครั้งหนึ่ง…” ตู้ชิงหย่วนพยักหน้า จากนั้นเธอก็หันไปถามเด็กชายวัยรุ่นที่อยู่ด้านหลัง “หวู่เฉิน ถ้าอยากอยู่ที่นี่ ฉันช่วยพูดกับผู้อาวุโสหานก็ได้นะ”
“ขอบคุณมาก หัวหน้าตำหนักตู้!” หวู่เฉินประสานมืออย่างสำนึกบุญคุณ
“อือ” ตู้ชิงหย่วนพยักหน้า
ขณะที่เธอกำลังจะพูดต่อ ก็พลันเลิกคิ้ว หานเจี้ยนชิวก็ตาโต ครู่ต่อมา ทั้งคู่ก็หน้าซีด
“สะพานเบื้องบนกำลังจะลงมาในอีกครึ่งเดือนนับจากนี้?”
“เร็วเหลือเกิน!” หานเจี้ยนชิวตัวแข็ง
สะพานเบื้องบนเป็นเส้นทางเดียวที่นำไปสู่หอเทพเจ้า มันจะลงมาเพียงหนึ่งครั้งในทุกๆ 100 ปี หากพวกเขาพลาดโอกาสนี้ ก็ต้องรอไปจนถึงอีก 100 ปีข้างหน้า
ถ้าสะพานเบื้องบนลงมาตามกำหนดเวลาเดิม จางเซวียนจะมีเวลามากพอสำหรับการฝึกฝนจนได้เป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ซึ่งนั่นจะช่วยเพิ่มโอกาสการคว้าสิทธิ์ของการเป็นผู้ท้าทายหอเทพเจ้า
ด้วยศิลปะเพลงดาบที่เหนือชั้นของเขา จางเซวียนจะมีโอกาสฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ อีกครึ่งหนึ่งมาให้สำนักดาบเมฆเหินได้
แต่ถ้าสะพานเบื้องบนลงมาในอีก 1 เดือนนับจากนี้ จางเซวียนไม่มีทางทำสำเร็จได้ทันเวลาแน่
แถมตอนนี้อีกฝ่ายก็กำลังมุ่งหน้าสู่ทะเลพลัดดาว พวกเขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ที่ไหน หาทางติดต่อเขาก็ไม่ได้…
สถานการณ์ดูไม่ดีเลย
“ไปที่หอนิรันดร์กันเถอะ!”
หานเจี้ยนชิวนำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลออกมาอันหนึ่งทันทีและเพ่งสมาธิเข้าไป ตู้ชิงหย่วนรีบทำแบบเดียวกัน
นี่คือตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลที่มีแต่นักรบชั้นยอดของทวีปที่ถูกลืมเท่านั้นถึงจะใช้ได้ วัตถุประสงค์ของมันก็เพื่อเปิดพื้นที่ที่เหมาะสมให้พวกเขาได้มารวมตัวและหารือเรื่องใหญ่ๆร่วมกัน
แน่นอนว่าไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าหอนิรันดร์จะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับการสื่อสารพูดคุย เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักของพวกเขา นี่คือเหตุผลที่ทำให้บรรดาเจ้าสำนักมักเลือกพบปะกันเป็นการส่วนตัวหากจะหารือเรื่องสำคัญ
แต่ครั้งนี้เป็นการพบปะกันแบบธรรมดาเพื่อหารือเรื่องที่รู้กันอยู่แล้ว จึงไม่น่ามีปัญหามากนัก
…..
ภายในห้องปิดสนิทห้องหนึ่งในหอนิรันดร์ เหล่าคนสำคัญปรากฏตัวขึ้นทีละคน บรรดาเจ้าสำนักต่างรับรู้ข่าวเดียวกัน จึงพากันรีบเดินทางมาที่หอนิรันดร์
ทันทีที่เหล่าผู้นำของ 6 สำนักปรากฏตัว หานเจี้ยนชิวกวาดสายตาไปโดยรอบก่อนจะตั้งคำถาม “ตอนนี้พวกคุณมีแผนการเรื่องสะพานเบื้องบนอย่างไร?”
“การลงมาของสะพานเบื้องบนเป็นเรื่องสำคัญ พวกเราต้องรับมือด้วยความระมัดระวัง ผู้อาวุโสหาน…เจ้าสำนักดาบเมฆเหินคนใหม่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึงไม่มาที่นี่?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งตั้งคำถาม
เพราะหานเจี้ยนชิวประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อ 2-3 วันก่อน จึงเป็นที่รู้กันทั่วทั้งทวีปที่ถูกลืมว่าจางเซวียนซึ่งเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหินคนใหม่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ซึ่งเพียงเท่านั้นก็เกินพอจะทำให้เขามีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้แล้ว
“ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างการปลีกวิเวก ผมเข้าไปรบกวนเขาไม่ได้” หานเจี้ยนชิวตอบ
“แล้วหัวหน้าหอนานาอสูรคนใหม่, หัวหน้าเจิ้งหยางของพวกคุณล่ะ?” ผู้อาวุโสหันไปมองผู้อาวุโสฉิงหย่วน
“เขา…อยู่ระหว่างการปลีกวิเวกเหมือนกัน!” ผู้อาวุโสฉิงตอบอย่างเคร่งขรึม
“ทั้งคู่อยู่ระหว่างการปลีกวิเวก?” ผู้อาวุโสขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในรอบ 100 ปีที่สะพานเบื้องบนจะลงมา ทำให้พวกเรามีโอกาสเข้าท้าทายหอเทพเจ้า แต่สองเจ้าสำนักที่เป็นความหวังสูงสุดของพวกเรากลับอยู่ระหว่างการปลีกวิเวก…แล้วเราจะทำอย่างไร?”
เกิดความตื่นเต้นครั้งใหญ่ตอนที่พวกเขาได้ข่าวเรื่องการสถาปนา 2 เจ้าสำนักคนใหม่ แต่ทำไมทั้งคู่ถึงพากันปลีกวิเวกในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้?
“พวกเราจะพยายามดูว่าจะติดต่อท่านเจ้าสำนักและรายงานเรื่องนี้ให้เขารับรู้ได้หรือไม่ ระหว่างนี้ พวกคุณที่เหลือควรรีบเฟ้นหาสมาชิกที่ปราดเปรื่องและแข็งแกร่งที่สุดในสำนักของพวกคุณไว้ อีก 10 วันนับจากนี้ เราจะไปพบกันที่โขดหินสวรรค์สันโดษในทะเลพลัดดาว ก่อนที่สะพานเบื้องบนจะปรากฏ เราจะตรวจสอบพละกำลังของแต่ละสำนักเพื่อตัดสินใจว่าใครจะเป็นผู้นำในภารกิจครั้งนี้” หานเจี้ยนชิวพูด
“ก็ดี ตกลงตามนั้น”
ทุกคนพยักหน้า
นั่นคือหนทางที่ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ในเวลานี้
หอเทพเจ้าตั้งอยู่เหนือทะเลพลัดดาว สะพานเบื้องบนก็ปรากฏบริเวณนั้น ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องรวมพลที่นั่น
“พวกเราคงหายุทธวิธีที่เหมาะสมกว่านี้ได้หากได้รวมตัวกันก่อน…”
ในตอนนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากประตูทางเข้า แล้วร่างสูงร่างหนึ่งก็ปรากฏตัว
เมื่อเห็นร่างนั้น ทุกคนรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับประสานมือ “หัวหน้าขง!”
ผู้ที่เพิ่งเข้ามาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหัวหน้าหอนิรันดร์!
“ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก ผมได้ข่าวมาเหมือนกัน พวกคุณกรุณาส่งผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของสำนักของคุณไปที่โขดหินสวรรค์สันโดษโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ ทันทีที่เลือกตัวผู้นำในการปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จ ผมจะขอพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวเพื่อแจ้งให้เขาทราบเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับสะพานเบื้องบนและหอเทพเจ้า” หัวหน้าขงพูด
จากนั้นหัวหน้าขงก็หันไปยิ้มให้หานเจี้ยนชิว “ผมกำลังรอพบเจ้าสำนักคนใหม่ของคุณอยู่นะ, จางเซวียนน่ะ เมื่อเขาไปถึงโขดหินสวรรค์สันโดษแล้ว ช่วยแนะนำเขาให้ผมรู้จักด้วย ผมคาดหวังจะได้เห็นความเก่งกาจของเขา”
“แน่นอน หัวหน้าขง ผมจะพาเขาไปที่นั่นเพื่อแสดงความขอบคุณที่คุณให้การช่วยเหลือมาตลอด” หานเจี้ยนชิวตอบพร้อมกับพยักหน้า
“เอาล่ะ แล้วค่อยพบกันที่โขดหินสวรรค์สันโดษ” หัวหน้าขงหัวเราะหึๆก่อนจะออกจากห้อง
คนอื่นๆทยอยออกตามกันไป
เมื่อออกจากหอนิรันดร์ ตู้ชิงหย่วนกลับคืนสู่สภาวะเดิม เธอยืนอยู่บนเรือและมองหน้าหานเจี้ยนชิวพร้อมกับประสานมือ “ผู้อาวุโสหาน ฉันต้องกลับตำหนักเพื่อเฟ้นหานักรบที่เหมาะสม ต้องขอตัวก่อน!”
เธอหวังจะได้พบจางเซวียนที่นี่ แต่เรื่องสะพานเบื้องบนสำคัญกว่ามาก ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็น่าจะไปปรากฏตัวเพื่อรอคอยการลงมาของสะพานเบื้องบนอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
“ลาก่อน!” หานเจี้ยนชิวพยักหน้า
“หวู่เฉิน, เด็กชายคนนี้น่ะ เป็นเพื่อนสนิทของเจ้าสำนักจาง ขอรบกวนให้คุณช่วยดูแลเขาด้วย” ตู้ชิงหย่วนพูดยิ้มๆ
จากนั้นเธอก็ออกเรือมุ่งไปทิศเหนือ เพียงครู่เดียวก็ลับตา
“คุณรู้จักคุ้นเคยกับเจ้าสำนักของเราหรือ?” หานเจี้ยนชิวมองเด็กชายวัยรุ่นที่อยู่ตรงหน้าอย่างสงสัย
หวู่เฉินพยักหน้ารับ
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามผมมา” หานเจี้ยนชิวพูด
ด้วยการโบกมือ เขาห่อหุ้มร่างของเด็กชายวัยรุ่นแล้วดึงขึ้นสู่กลางอากาศ ทั้งคู่บินกลับสำนักดาบเมฆเหินพร้อมกัน
ตอนนี้จางเซวียนไม่ได้อยู่ที่สำนัก พวกเขาจึงต้องหาทางแจ้งข่าวสำคัญนี้ให้อีกฝ่ายรับรู้ให้ได้
เพียงแต่…จะใช้วิธีไหน?
จางเซวียนออกเดินทางไปตำหนักคว้าดาวหลายวันแล้ว เขาอาจอยู่ที่ไหนก็ได้ อาจอยู่นอกเหนืออาณาบริเวณการสื่อสารของตราหยกสื่อสาร ดังนั้นความหวังของพวกเขาก็คือพบจางเซวียนที่หอนิรันดร์
แต่ถ้าจางเซวียนไม่ได้เข้าสู่หอนิรันดร์และพลาดเรื่องราวที่พวกเขาตั้งใจจะแจ้งล่ะ?
แต่เขากำลังมุ่งหน้าไปทะเลพลัดดาว**ก็น่าจะพอได้ข่าวจากที่นั่น หานเจี้ยนชิวคิด
เขาไม่รู้ว่าตอนนี้จางเซวียนอยู่ที่ไหน แต่ตราบใดที่อีกฝ่ายยังมุ่งหน้าไปทะเลพลัดดาว อะไรๆก็คงง่ายขึ้น
ขอแค่หนึ่งในพวกเขาไปถึงที่นั่นก่อน ก็น่าจะใช้ตราหยกสื่อสารส่งข้อความหากันได้เมื่ออยู่ในอาณาบริเวณการทำงานของมัน
เมื่อตัดสินใจแล้ว หานเจี้ยนชิวรีบกลับสู่สำนักดาบเมฆเหินเพื่อเฟ้นหากลุ่มนักรบที่จะมุ่งหน้าไปโขดหินสวรรค์สันโดษด้วยกัน
ข้อบังคับเคร่งครัดในการเข้าสู่สะพานเบื้องบนก็คือระดับวรยุทธของนักรบผู้นั้นจะต้องไม่เหนือกว่านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ หรือพูดอีกอย่างก็คือ นักรบระดับกึ่งสรวงสวรรค์จะถูกห้ามไม่ให้เข้าสู่สะพานเบื้องบน
ส่วนอีกข้อหนึ่งก็คือ ผู้นั้นจะต้องมีอายุต่ำกว่า 100 ปี
ข้อบังคับอันเข้มงวดทั้ง 2 ข้อนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมากมายของทั้ง 6 สำนักหมดสิทธิ์ไป แม้ในสำนักดาบเมฆเหิน ก็เหลือตัวเลือกที่เหมาะสมอยู่ไม่มากนัก
หานเจี้ยนชิวรีบตรวจสอบรายชื่อของผู้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ และเลือกนักรบที่ทรงพลังไว้ได้จำนวนหนึ่ง เผื่อในกรณีที่พวกเขาหาตัวจางเซวียนไม่พบ จากนั้น ตัวเขากับหวู่เฉินและนักรบอีกสองสามคนก็ขึ้นขี่อสูรบินได้เพื่อมุ่งหน้าไปยังทะเลพลัดดาว
…..
ภาพแบบเดียวกันเกิดขึ้นที่หอนานาอสูร
หัวหน้าของพวกเขาหายตัวไป ติดต่ออีกฝ่ายก็ไม่ได้ ทางหอนานาอสูรจึงทำได้แค่จัดเตรียมกำลังพลเพื่อตามหาเขา
…..
จางเซวียนสูดหายใจลึก จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
หลังจากการทำงานหนักและเหน็ดเหนื่อย ในที่สุดเขาก็หลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณ 3 ตัวจากร่างของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั้ง 3 คนจากหอเทพเจ้าได้สำเร็จ แต่ด้วยระดับวรยุทธของจิตวิญญาณที่มีจำกัด ผลงานที่ได้จึงยังไม่สมบูรณ์ ความแข็งแกร่งของหุ่นโลหะไร้วิญญาณยังอ่อนด้อยไปสักหน่อย
แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยการผนึกกำลังกันของหุ่นโลหะไร้วิญญาณทั้ง 3 ตัวนี้ ขอแค่หอเทพเจ้าไม่ส่งนักรบระดับกึ่งสรวงสวรรค์มาโจมตี เขาก็คงเล่นงานคู่ต่อสู้ให้พ่ายแพ้ได้ไม่ยาก
ขณะที่จางเซวียนกำลังเดินออกจากห้อง ไก่น้อยก็เดินเตาะแตะมาหา
“นายท่าน ผมคิดแล้วคิดอีกนะ ผมว่าผมรู้ว่าความสามารถของผมคืออะไร!”
ไก่น้อยกระพือปีกเล็กจ้อยขณะพยายามกระโจนขึ้นเกาะไหล่จางเซวียน มันมองหน้าจางเซวียนด้วยนัยน์ตากลมดำราวลูกปัดที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ
“ความสามารถของแกคืออะไร?” จางเซวียนถาม
“ผม…กินได้!” ไก่น้อยผงกหัวอย่างภาคภูมิใจ “ถ้าคุณนำของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์มาให้ผมอีกชิ้นล่ะก็ ผมจะกลืนมันลงไปรวดเดียวเลย…”
จางเซวียนยกมือกุมหน้าอก
เขาคือคนที่ทำให้ใครๆโมโหมาตลอด แต่ตั้งแต่พบเจ้าไก่หน้าด้านตัวนี้ เขารู้สึกเหมือนความดันเลือดจะพุ่งปรี๊ดอยู่บ่อยๆ
เขาทำอะไรผิดนักหนา สวรรค์ถึงลงทัณฑ์ด้วยการส่งเจ้านี่มาให้
ถ้ามันเป็นอสูรอมตะทั่วๆไป เขาคงเฉดหัวมันไปนานแล้ว แต่จะให้เขาทำอย่างไรได้? ไก่ตัวนี้ดูจะเป็นอสูรในตำนานที่เมื่อนำไปต้มแล้วได้ซุปไก่ชั้นดี…
เมื่อหวนนึกดู ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของไก่น้อยในการกลืนกินอาวุธของฝ่ายตรงข้าม เขาคงถูกเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากหอเทพเจ้าปลิดชีวิตไปแล้ว ถึงอย่างไร เขาก็ติดหนี้บุญคุณกับเจ้าลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยตัวนี้อยู่
เอาเถอะตอนนี้ฉันจะกล้ำกลืนฝืนทนแกไปก่อน!