ราชันเร้นลับ 932 : หน้าบาง

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

“…” เทพธิดาตอบกลับ… เห็นถ้อยคำที่เรียงจากผง ท่าทีแรกของไคลน์มิได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของวิวรณ์ แต่เป็นความตกตะลึงเมื่อพบว่า เรื่องราวที่ดูเหมือนจะไร้สาระในตอนแรก กลับกลายเป็นจริงขึ้นมาในที่สุด

แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แถมยังมองว่าโอกาสประสบความสำเร็จค่อนข้างสูง แต่ไคลน์ก็ยังตกอยู่ในภวังค์ประหลาดใจเป็นเวลานาน กว่าจะหลุดพ้นก็ต้องผ่านไปหลายสิบวินาที

ถัดมาไม่นาน ไคลน์บรรจงหายใจเข้าออก ยกมือขวาขึ้น ขยับสี่จุดบนหน้าอกตามเข็มนาฬิกา

“เทพธิดาจงเจริญ!!”

มันสิ้นสุดพิธีกรรม กลับมาสนใจเนื้อหาของวิวรณ์อีกครั้ง

ถูกวิญญาณมารสิงร่าง จำเป็นต้องหาวิธีปัดเป่า?

อินซ์·แซงวิลล์ถูกวิญญาณมารสิงร่าง? ตั้งแต่ลำดับ 9 ถึง 5 มันเป็นผู้วิเศษของเส้นทาง ‘มรณา’ แถมลำดับครึ่งเทพก็ยังสลับมาเป็นเส้นทางรัตติกาลที่เชี่ยวชาญการรับมือกับวิญญาณ สิ่งมีชีวิตประเภทวิญญาณอาฆาตและวิญญาณมารน่าจะหวาดกลัวมันไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงถูกวิญญาณมารสิงเอาได้?

เว้นเสียแต่ว่า วิญญาณมารจะมีระดับสูงมาก หรือไม่ก็มีความพิเศษอย่างมาก

น่าเสียดาย สำหรับวิญญาณมารตัวจริงเสียงจริง เราเคยเห็นเพียงตนเดียว นั่นคือวิญญาณมารโบราณที่ถูกผนึกไว้ในซากปรักหักพังใต้ดินของอลิสต้า·ทูดอร์ เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมันมากนัก จึงไม่ค่อยเข้าใจธรรมชาติของวิญญาณมาร… จริงสิ… สำหรับเรื่องนี้ ไว้เขียนจดหมายถามชารอนวันหลังก็ได้… นอกจากนั้นยังสามารถถามเดอะซันน้อย ให้อีกฝ่ายฝากไปถามอาวุโส ‘คนเลี้ยงแกะ’ โลเฟียร์ที่ ‘ต้อนแกะ’ วิญญาณมารเข้าไปในตัว

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่อินซ์·แซงวิลล์จะมองหาครึ่งเทพจากนิกายวิญญาณเพื่อแก้ไขปัญหา หากเป็นด้านการขับไล่วิญญาณมาร ถ้าไม่นับโบสถ์รัตติกาลและสุริยันเจิดจรัส ก็น่าจะเป็นนิกายวิญญาณที่เชี่ยวชาญที่สุด… หืม… อาจต้องการเพิ่มโบสถ์เทพสงครามเข้าไปด้วย เส้นทางที่ใกล้เคียงกันมักมีเอกลักษณ์หลายๆ อย่างคล้ายกัน…

อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้… อินซ์·แซงวิลล์ไม่ต้องการให้เรื่องที่มันถูกวิญญาณมารเข้าสิง รู้ไปถึงหูของราชวงศ์และนิกายแม่มดที่เป็นฝ่ายเดียวกัน ไม่อย่างนั้น มันไม่จำเป็นต้องถ่อมาไกลถึงทวีปใต้ตามลำพัง! ขั้วอำนาจทั้งสองเกิดก่อนยุคสมัยที่ห้าเสียอีก ด้วยมรดกอันยาวนาน ย่อมต้องมีสมบัติปิดผนึกสักชิ้นสองชิ้นที่สามารถขับไล่วิญญาณมาร หรือต่อให้ไม่มีจริงๆ แต่การติดต่อนิกายวิญญาณผ่านนิกายแม่มด ย่อมปลอดภัยกว่าการติดต่อโดยตรงอยู่แล้ว…

ท่ามกลางความคิดมากมาย ไคลน์กางกระดาษจดหมายลงบนโต๊ะ ลงมือเขียน

“ด้วยข้อมูลที่คุณให้มา ผมสามารถเชื่อมโยงเข้ากับเบาะแสที่เคยรวบรวมได้ในอดีต… และต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากตัวตนอันยิ่งใหญ่ ผมได้รับข้อสรุปที่ชัดเจน:”

“อินซ์·แซงวิลล์ถูกวิญญาณมารเข้าสิง จำเป็นต้องให้นิกายวิญญาณช่วยปัดเป่า”

“ลำพังข้อเท็จจริงนี้ พวกเราสามารถวิเคราะห์เพิ่มเติมได้หลายเรื่อง:”

“อินซ์·แซงวิลล์มักจะแสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องระหว่างคำพูดและพฤติกรรมอยู่บ่อยครั้ง บ้างก็เบี่ยงเบนไปจากเส้นทางปกติอย่างไร้เหตุผล บ้างก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่ามันจะทำ บ้างก็ทำพลาดโง่ๆ ชนิดที่พวกเราไม่เข้าใจ… หากปัญหาเหล่านี้ยังไม่ถูกแก้ไข มันจะต้องคอยติดต่อกับนิกายวิญญาณอย่างต่อเนื่อง และอาจถี่ขึ้นในอนาคต…”

“ใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นจุดตั้งต้นในการสืบสวน บางทีพวกเราอาจจับหางของอินซ์·แซงวิลล์ได้ในสักวัน แต่ผมคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่พวกเราจะล็อกเป้าไปที่มัน ห้ามประมาทความบังเอิญที่เกิดจากสมบัติปิดผนึกระดับ 0 เด็ดขาด”

เขียนถึงตรงนี้ ไคลน์อดไม่ได้ที่จะนึกถึงการเผชิญหน้าในอดีตระหว่างตนกับอินซ์·แซงวิลล์

การสืบสวนของนักสืบเชอร์ล็อกไม่ได้พุ่งเป้าที่มันโดยตรง แต่เกือบจะทำให้แผนการที่สมรู้ร่วมคิดกับราชวงศ์และนิกายแม่มดต้องพังครืน เป็นเหตุให้อินซ์·แซงวิลล์ต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง นั่นคือการเสกอุกกาบาตจากท้องฟ้า หมายจะฆ่าเชอร์ล็อก·โมเรียตี้และกำจัดเงื่อนงำให้สิ้นซาก แต่ท้ายที่สุด ชายหนุ่มได้รับความช่วยเหลือจากมิสเตอร์อะซิก ทำให้รอดพ้นจากสถานการณ์อันแสนสิ้นหวัง และอินซ์·แซงวีลล์ต้องโผล่ออกมาหน้าฉาก

ในสถานการณ์ดังกล่าว ถ้ามิสเตอร์อะซิกฟื้นฟูพลังจนไปถึงระดับเดิม ป่านนี้อินซ์·แซงวิลล์คงตายไปแล้ว… แต่การจะทำให้สถานการณ์แบบเดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง สำหรับตอนนี้นับว่าเป็นเรื่องยาก… การที่มันยอมปรากฏตัว ไม่ใช่เพราะนักสืบเชอร์ล็อกหรือเพราะ ‘กงสุลมรณะ’ อะซิก·อายเกสเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงทริสซี่·ชีคและแหวนที่น่าจะเป็นสมบัติปิดผนึกระดับ 0 หากเธอไม่พยายามหลบหนีในตอนนั้น อินซ์·แซงวิลล์ก็คงไม่ต้องถูกบังคับให้ออกหน้าฉาก… ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะเขียน

“หากคุณสืบทราบที่มาและเป้าหมายของวิญญาณมารตนนั้นได้ เรื่องราวอาจง่ายขึ้นมาก…”

เมื่อเขียนเกี่ยวกับอินซ์·แซงวิลล์เสร็จ หัวใจไคลน์เริ่มสั่นคลอน มันต้องการพูดถึงอีกเรื่องหนึ่ง แต่หลังจากร่างตัวอักษรไปได้เพียงสองสามคำ ชายหนุ่มหยุดปากกา ยกมือซ้ายขึ้นมาหยิกแก้มตัวเอง คล้ายกับกำลังกระอักกระอ่วนปนลังเล

พึมพำบางสิ่งเงียบๆ สักพัก ในที่สุดไคลน์ก็เขียนเนื้อหาส่วนต่อไปอย่างราบรื่น

“ต่อให้ไม่มีความช่วยเหลือจากสมบัติปิดผนึกระดับ 0 แต่อินซ์·แซงวิลล์ก็เป็นศัตรูที่ทั้งคุณและผมไม่สามารถรับมือได้ตามลำพัง พวกเราต้องเตรียมตัวมากกว่านี้”

“ถ้าคุณส่ง ‘หนอนกาลเวลา’ มาให้ผมจำนวนหนึ่ง ผมสามารถนำไปสร้างเป็นยันต์ขั้นสูงที่สามารถสยบครึ่งเทพได้ ชื่อของมันคือยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ สามารถสลับชะตากรรมของตนเองและเป้าหมายได้ในเวลาสั้นๆ”

วางปากกาลง ไคลน์ไม่อ่านทวน พับกระดาษจดหมายเก็บอย่างรวดเร็ว ใส่ซองด้วยท่าทีขึงขัง

มันหยิบฮาร์โมนิก้านักผจญภัยและเหรียญทองออกมาถือ เป่าอัญเชิญมิสผู้ส่งสาร ยื่นจดหมายที่ตอบกลับเลียวนาร์ดให้ โดยคราวนี้มิได้กำชับให้ส่งไปยังบ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์ แต่เป็นตำแหน่งปัจจุบันของเลียวนาร์ด ไคลน์เชื่อว่าอีกฝ่ายคงยังไม่เคลื่อนที่ออกจากระยะการตรวจจับของมิสไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์

จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ส่ายหัวเล็กน้อยและพูด

การขอร้องคนอื่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด โดยเฉพาะคนหน้าบางแบบเรา…

มันสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของหุ่นเชิดเอ็นโซและลูเธอร์ไวล์อีกครั้ง เนื่องจากพวกมันถูก ‘เทวทูตโชคชะตา’ โอโรเลอุสเห็นขณะสำรวจกัลเดรอน

ระหว่างนี้เอง ไคลน์พลันผุดแนวคิดใหม่ที่น่าสนใจ เตรียม ‘ส่ง’ พวกมันเข้าไปในมิติเหนือหมอกสีเทาและใช้ร่างวิญญาณที่แท้จริงของหัวขโมยโลกวิญญาณช่วยปลอมตัว!

หัวขโมยโลกวิญญาณสามารถเปลี่ยน ‘อวตารวิญญาณ’ ของมันให้กลายเป็นร่างวิญญาณได้ จากนั้นก็สั่งให้ร่างวิญญาณแปลงกายเป็นสัตว์วิญญาณชนิดอื่น ตะกอนพลังของมันจะต้องมีพลังในทำนองนี้แน่ เพียงแต่ว่า การใช้งานนั้นค่อนข้างยาก แถมยังมาพร้อมกับผลข้างเคียงรุนแรง

อย่างไรก็ตาม สำหรับไคลน์ที่ครอบครองมิติลึกลับ เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา เพราะมันไม่คิดจะใช้ตะกอนพลังในการต่อสู้จริง และการปรับแต่งรูปลักษณ์ของหุ่นเชิด ไม่จำเป็นต้องใช้พลังที่สมบูรณ์แบบหรือเร่งด่วนอะไรนัก และเหนือสิ่งอื่นใด ผลข้างเคียงในเชิงลบไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาใส่ใจ ต่อให้ถูกตะกอนพลังของครึ่งเทพกัดกร่อนแล้วอย่างไร? แค่ทิ้งไว้ในกองขยะก็พอ

หลังจากผ่านขั้นตอนที่ซับซ้อน ไคลน์ขึ้นมานั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล มือข้างหนึ่งถือร่างวิญญาณที่แท้จริงของหัวขโมยโลกวิญญาณขนาดเท่าฝ่ามือ ตามด้วยการแผ่พลังวิญญาณเข้าไปโดยไม่มองตรงๆ

ภาพที่มันเห็นไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก รอบๆ หุ่นเชิดยังคงมีด้ายวิญญาณมายาสีดำที่กระจุกตัวหนาแน่น แต่เมื่อแผ่พลังวิญญาณเข้าไปควบคุม ไคลน์พบว่าไม่เพียงตนจะมีสิทธิ์ควบคุม ‘ด้ายวิญญาณ’ ของหุ่นเชิด แต่ยังสามารถสั่งให้ด้ายวิญญาณของตัวเองทะลวงผ่านเข้าไปในร่างของหุ่น

เมื่อทั้งสองฝ่าย ‘เชื่อมต่อ’ แบบสองทาง ไคลน์พลันรู้สึกว่าหุ่นเชิดและร่างต้นกลายเป็นหนึ่งเดียว พลังพิเศษของร่างต้นสามารถถูกใช้งานผ่านด้ายวิญญาณ รวมไปถึง ‘พลัง’ ของผู้ไร้หน้าอย่าง ‘แปลงโฉม’ !

หลังจากทดลองทำอย่างเชื่องช้าและยากลำบาก ไคลน์รู้สึกเวียนหัว รู้สึกถึงความโกลาหลทางอารมณ์ มีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะคลุ้มคลั่งอ่อนๆ

นี่คืออิทธิพลที่มิอาจเลี่ยงหลังจากใช้พลังวิญญาณสัมผัสกับ ‘ออร่าเทพ’ โดยตรง

ชายหนุ่มรีบเคลื่อนเศษเสี้ยวพลังของมิติหมอก พยายามรักษาเสถียรภาพของร่างต้นให้คงที่

หลังจากเผชิญความเจ็บปวดอีกสักพัก ไคลน์บรรลุจุดประสงค์ที่ต้องการ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซมีรูปลักษณ์เหมือนกับชนพื้นเมืองของทวีปใต้มากขึ้น เป็นประเภทที่อพยพมาจากฟาร์มเกษตร ส่วน ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์กลายเป็นลูกครึ่ง ใบหน้าประเภทหนังหุ้มกระดูกที่เคยน่าสะพรึงกลัวกลับกลายเป็นตรงกันข้าม ใบหน้าลูเธอร์ไวล์ค่อนไปทางอวบอิ่ม สำหรับหน้ากากสีเงินสว่างที่มีพลังในการปลอบโยนดวงวิญญาณ ไคลน์เองก็จนปัญญา จำเป็นต้องแปะติดไว้กับหน้าอกลูเธอร์ไวล์ พยายามแนบชิดผิวหนังให้มากที่สุด – วิธีจะช่วยให้พลังหน้ากากยังคงอยู่ ถึงจะไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับการสวมบทใบหน้า แต่ก็ช่วยประคองเสถียรภาพในปัจจุบัน

“น่าเสียดาย… ถ้าเปลี่ยนหน้ากากเป็นเครื่องประดับแบบอื่นได้ก็คงดี ปัญหาจะบรรเทาลงหลายส่วน…” หลังจากโยนร่างวิญญาณที่แท้จริงของหัวขโมยโลกวิญญาณกลับไปที่กองขยะ ไคลน์ใช้มือลูบหน้าผาก ปล่อยความคิดให้ล่องลอย “อา… เรายังมีตะกอนพลังของ ‘นักปลอบวิญญาณ’ สามารถนำไปสร้างสมบัติวิเศษได้ จากนั้นก็ใช้แทนหน้ากากนี่… ไม่ได้… เราเตรียมจะคืนตะกอนพลังให้ศาสนจักร… ค่อยคืนผ่านทางเลียวนาร์ด…”

หลังจากความรู้สึกอึดอัดเริ่มบรรเทา ไคลน์หยิบนาฬิกาพกเรือนทองออกมาเปิดฝา

ถัดมา มันอัญเชิญกระดาษกระดาษคนและเคลื่อนพลังของมิติลึกลับ ผสมผสานทั้งสองสิ่งเข้าด้วยกันและโยนเข้าไปในจุดแสงที่ทำเครื่องหมายพิเศษ

นั่นคือจุดแห่งแสงตัวแทนเดนิส สาวกเพียงหนึ่งเดียวของเดอะฟูล!

จากมุมมองของไคลน์ ‘พลเรือเอกแห่งดวงดาว’ แคทลียามีนิกายมอสส์อยู่เบื้องหลัง ส่วน ‘พลโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่าก็เป็นสมาชิกโบสถ์ปัญญาความรู้ และแอนเดอร์สัน·ฮู้ดก็ไม่ค่อยรู้ความลับของเกอร์มัน·สแปร์โรว์มากนัก ยิ่งเพื่อพิจารณาจากอุปนิสัยส่วนตัว แอนเดอร์สันไม่ใช่คนที่ชอบพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตราย ไม่ต้องกังวลว่าจะถูก ‘สอบปากคำ’ โดยชุมนุมแสงเหนือ มีเพียงเดนิสเท่านั้นที่น่าเป็นห่วงกว่าใคร อีกฝ่ายพเนจรอยู่ในไบลัมตะวันตก ยังกลับฝันทองคำไม่ได้สักพัก ความแข็งแกร่งก็ค่อนข้างต่ำ แถมยังสวมถุงมือที่ทำให้ตัวเองหุนหัน อาการน่าเป็นห่วงมาก

อาศัยข้อเท็จจริงเหล่านี้ เดอะฟูลจำเป็นต้องทำงานให้หนักขึ้น คอยโอบกอดเดนิสด้วย ‘เทวทูตกระดาษ’ ทุกวันเพื่อขัดขวางการทำนายจากศัตรู

เลียวนาร์ดไม่คาดคิดว่าไคลน์·โมเร็ตติจะตอบกลับเร็วเช่นนี้ จึงเปิดซองจดหมายด้วยสีหน้าผิดจาก จากนั้นก็ก้มหน้าอ่านเนื้อหาที่เขียนไว้ด้านใน

และต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากตัวตนอันยิ่งใหญ่… เขาหมายถึงเดอะฟูล?

อย่างที่คิด ไคลน์สืบเรื่องอินซ์·แซงวิลล์ไปได้ค่อนข้างไกล… แค่เราเอ่ยถึงนิกายวิญญาณ เขาก็ได้ข้อสรุปทันที…

ถูกวิญญาณมารเข้าสิง… ทำไมหมอนั่นถึงถูกวิญญาณมารเข้าสิงได้?

แล้วเราจะทำข้อเท็จจริงนี้ไปใช้ประโยชน์ในแง่มุมไหน?

หนอนกาลเวลา… นี่มัน… เลียวนาร์ดที่อ่านลงมาถึงท้ายจดหมาย สีหน้าเผยความซับซ้อนเล็กๆ

ภายในใจ พาลีส·โซโรอาสเตอร์ยังคงนิ่งเงียบ ไม่กล่าวคำใดออกมา

………………………………………………..