สามวันหลังจากนั้น
ณ ชานเมืองฝั่งตะวันตกของนครเตโช
ฟ้าเพิ่งสางก็มีคนกลุ่มหนึ่งมารออยู่ที่นั่นแล้ว
“ทุกท่าน ข้าจะแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จัก ท่านนี้คือหลินซย่า เป็นนักชำนาญวิญญาณที่เชี่ยวชาญการทำนายโชคเคราะห์ เสาะหาชีพจรปราณ ครั้งนี้จะข้ามแม่น้ำพรมแดนไปฝึกปราณที่แดนชัยบูรพา ระหว่างทางรบกวนทุกท่านให้การดูแลด้วย”
ไป่เฟิงหลิวแนะนำอย่างคล่องแคล่ว
หลินซย่าก็คือชื่อใหม่ที่หลินสวินใช้อำพรางตัว และหลังจากตัดสินใจว่าจะข้ามแม่น้ำพรมแดน เขาก็ได้ใช้เคล็ดวิชามหาไร้รูปเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์และบุคลิกไปแล้ว
คนทั้งกลุ่มกำลังพินิจหลินสวินที่อยู่ข้างๆ ไป่เฟิงหลิว พบว่าเป็นเด็กหนุ่มที่มีพลังปราณเพียงระดับหยั่งสัจจะ อีกทั้งรูปลักษณ์ก็ไม่ได้โดดเด่น จึงไม่สนใจเลยสักนิด พลันเก็บสายตากลับไป
“หลินซย่า ข้าจะแนะนำสหายยุทธ์เหล่านี้ให้เจ้า…” ไป่เฟิงหลิวพูดพล่ามอยู่พักใหญ่ เห็นได้ชัดว่าเขาคุ้นเคยกับคนกลุ่มนี้เป็นอย่างดี
เพียงแต่หลินสวินกลับขมวดคิ้วอย่างยากจะสังเกตเห็น
คนขบวนนี้ถือว่าแข็งแกร่ง ทั้งหมดสิบหกคน แต่ละคนเฉียบแหลมมากประสบการณ์ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดมีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติ ผู้ที่อ่อนแอที่สุดยังมีพลังปราณถึงระดับหยั่งสัจจะ
แต่สำหรับหลินสวิน กองกำลังเช่นนี้อยากจะข้ามแม่น้ำพรมแดนที่อันตรายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันยังไม่กล้าก้าวเข้าไปง่ายๆ ก็เห็นจะไม่เพียงพอ
‘ไม่ต้องห่วง พวกนี้ล้วนเป็นตัวอันตรายที่โหดเหี้ยมอำมหิต และมักจะกบดานอยู่บริเวณแม่น้ำพรมแดน เป็นขบวนผจญภัยที่มากประสบการณ์’
ไป่เฟิงหลิวดูเหมือนอ่านความฉงนในใจหลินสวินออก พลันสื่อจิตอธิบาย ‘แม่น้ำพรมแดนนั่นอาจจะอันตรายมาก แต่สำหรับตัวอันตรายพวกนี้ กลับมีวิธีการของตนที่จะเอาตัวรอด ครั้งนี้พวกเขาถูกจ้างวานให้คุ้มกันบุคคลลึกลับคนหนึ่งข้ามแม่น้ำพรมแดนไปแดนชัยบูรพา การที่ให้เจ้าเคลื่อนไหวไปกับพวกเขา ประการแรกสามารถปิดบังฐานะ ประการที่สองสามารถอำนวยความสะดวก ตอนข้ามแม่น้ำพรมแดนค่อนข้างปลอดภัยกว่า’
หลินสวินพยักหน้า
เขาก็เคยได้ยินมาว่า แม้แม่น้ำพรมแดนจะอันตรายมาก แต่ภายในก็ซ่อนวัตถุดิบวิญญาณและสมบัติหายากจำนวนไม่น้อย
ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนก็มีนักผจญภัยและพวกชอบเสี่ยงมากมายที่เดินทางเข้าไป บ้างก็ปรารถนาความมั่งคั่ง บ้างก็ปรารถนาวาสนา
ในทำนองเดียวกันก็มีคนชั่วที่กระทำความผิดอย่างใหญ่หลวง เลือกที่จะหนีเข้าไปหลบการตามฆ่าในแม่น้ำพรมแดน
จนปัจจุบันในแม่น้ำพรมแดนนั่น มีสถานที่นอกกฎหมายที่นักผจญภัยรวมตัวกัน และยังกลายเป็นอิทธิพลชั่วร้ายมากมายทั้งใหญ่และเล็ก
แน่นอนว่านี่คือพื้นที่รอบนอกของแม่น้ำพรมแดน
ในส่วนลึกของแม่น้ำพรมแดนยังคงเป็นเหมือนสถานที่ต้องห้าม แม้จะเป็นพวกนักผจญภัยหรือโจรชั่วก็น้อยมากที่จะมีคนกล้าเข้าไป
เห็นได้ชัดว่าขบวนที่ไป่เฟิงหลิวหามานี้เป็นการรวมตัวของกลุ่มนักผจญภัย ทั้งผ่านลมฝนมานาน ประสบการณ์หลากหลาย
“ไปเถอะ อีกไม่นานข้าก็จะไปแดนชัยบูรพา ที่นั่นเป็นถึงสถานที่หัวใจสำคัญของดินแดนรกร้างโบราณ ถูกเรียกว่าเป็น ‘แหล่งกำเนิดแห่งเหล่าอริยะ’ เช่นเดียวกัน ในอนาคตข้าจะสามารถเป็นราชันแห่งข่าวสารที่ชื่อเสียงสะเทือนไปทั้งอดีตและปัจจุบันได้หรือไม่ ล้วนต้องดูว่าข้าจะสามารถสร้างผลงานโดดเด่นเหนือผู้อื่นที่แดนชัยบูรพาได้หรือไม่!”
ก่อนจากกันไป่เฟิงหลิวเผยความภาคภูมิใจ ปณิธานแรงกล้า ฮึกเหิมเต็มประดา
“รักษาตัวด้วย” หลินสวินพยักหน้า
ในด่านแรกของเทศกาลโคมกถามรรค หลินสวินได้ดอกบัวเพลิงมาไม่น้อย เขาหลอมไปแล้วดอกหนึ่ง ได้รับวิชามรรคธารดาราเพลิงหลอมมา
ส่วนที่เหลือก็ถูกเขาแบ่งให้เยวี่ยเจี้ยนหมิงกับไป่เฟิงหลิว
เรียกได้ว่าในแดนฐิติประจิม สหายที่หลินสวินคบไม่ได้มาก เยวี่ยเจี้ยนหมิงและไป่เฟิงหลิวเป็นสองคนที่เขาเชื่อใจที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
……
ฟิ้ว!
ในชั้นเมฆ ยานสำเภาลำหนึ่งบดขยี้คลื่นอากาศแล่นไปทางตะวันออกสุดของแดนฐิติประจิม
บนยานสำเภา สมาชิกขบวนนักผจญภัยกำลังหารือกันอยู่ ส่วนหลินสวินกำลังใคร่ครวญบางอย่างอยู่ในห้องห้องหนึ่ง
พวกเขาออกเดินทางมาได้หลายชั่วยามแล้ว หลังจากปฏิสัมพันธ์ในช่วงสั้นๆ ทำให้หลินสวินพอจะรู้จักขบวนนักผจญภัยขบวนนี้คร่าวๆ แล้ว
หัวหน้าเป็นชายเฉลียวฉลาดที่บุคลิกห้าวหาญราวกับเสือ ชื่อว่าโค่วซิง รูปร่างผอมสูง ผิวสีทองแดง สีหน้าเคร่งขรึม
เขาแบกดาบคู่หนึ่ง ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเผยให้เห็นถึงความมากประสบการณ์ มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นสูง
นอกจากนี้ยังมีชายหญิงคู่หนึ่งเป็นที่สนใจของหลินสวิน
คนหนึ่งฉายาว่า ‘หน้าเขียว’ รูปร่างกำยำทรงพลัง บนผิวหนังปกคลุมไปด้วยรอยสักหนาแน่น โดยเฉพาะส่วนใบหน้า ถูกปกคลุมด้วยรอยสักสีเขียว ให้ความรู้สึกสยดสยองอย่างที่สุด
จากที่ไป่เฟิงหลิวแนะนำก่อนหน้านี้ คนผู้นี้มาจาก ‘เผ่าเลือดเขียว’ มีพลังหยั่งรู้ต่ออันตรายที่เฉียบแหลมอย่างที่สุดแต่กำเนิด เขามีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้น นิสัยเงียบขรึมพูดน้อย
อีกคนหนึ่งฉายาว่า ‘จงอางแดง’ มีเสน่ห์น่าหลงใหล รูปร่างเย้ายวนร้อนแรงอย่างที่สุด มีนัยน์ตาดอกท้อที่น่าดึงดูด ใบหูทั้งสองข้างมีงูสีแดงตัวเล็กๆ สองตัวห้อยอยู่ นางเองก็มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้นเช่นเดียวกับเจ้าหน้าเขียว อุปนิสัยฉุนเฉียว
เห็นได้ชัดว่าขบวนนี้มีสามคนนี้เป็นผู้นำ คนที่เหลือแม้พลังปราณไม่เหมือนกัน แต่กลิ่นอายก็ดุร้ายอย่างที่สุด ดูก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพที่ผ่านประสบการณ์มามาก
นอกจากนี้ในขบวนยังมี ‘ผู้ลึกลับ’ อีกคน
ครั้งนี้ขบวนนี้ก็ถูกผู้ลึกลับคนนี้ว่าจ้างมา
ตอนที่ก้าวขึ้นยานสำเภาลำนี้ หลินสวินเคยเห็นอีกฝ่าย แต่กลับรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เพราะผู้ลึกลับคนนี้เป็นเด็กสาวที่กะปลกกะเปลี้ยคนหนึ่ง
นางอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี หน้าตาสะสวย บุคลิกอ่อนโยน ปลอมตัวเป็นชายด้วยชุดสีดำทั้งตัว เพียงแต่คิ้วงามของเธอขมวดแน่น สีผิวดูขาวซีดผิดปกติ เวลาเดินราวกับต้นหลิวที่พลิ้วไปตามสายลม ให้ความรู้สึกอ่อนแอเหมือนคนป่วย
ในบทสนทนาของพวกโค่วซิง หน้าเขียวและจงอางแดง ต่างเรียกหญิงสาวคนนี้ว่า ‘แม่นางเยวี่ย’
พอรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้ยังมีหลินสวินอีกคน แม่นางเยวี่ยคนนี้ดูต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด หลังจากเจรจาจึงยอมให้หลินสวินเดินทางด้วยในที่สุด
แม่นางเยวี่ยเองก็จะเดินทางไปแดนชัยบูรพา เพียงแต่หลินสวินสังเกตได้อย่างมีไหวพริบว่า อีกฝ่ายเหมือนมีเรื่องที่ทุกข์ใจอย่างมาก ขมวดคิ้วแน่นมาตลอดทางโดยไม่เคยผ่อนคลายลง ทั้งยังเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ดูเงียบสงบมาก
เดิมทีหลินสวินตั้งใจจะสืบข้อมูลเกี่ยวกับแดนชัยบูรพาจากอีกฝ่าย แต่เห็นเช่นนี้ก็คงต้องล้มเลิกความคิด
วู้ม!
ไม่นานหลินสวินก็วางผนึกต้องห้ามง่ายๆ เพื่อใช้แยกการลอบสอดแนมจากโลกภายนอก
จากนั้นซย่าจื้อปรากฏตัวขึ้น นางเพิ่งตื่น พอเห็นหลินสวินประโยคแรกที่พูดก็คือ “หลินสวิน ข้าหิวแล้ว”
หลินสวินจนคำพูด โชคดีที่เขาคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าต้องมีฉากนี้ จึงเตรียมอาหารมาล่วงหน้าแล้ว
เม็ดข้าวเหนียวนุ่มที่ขาวและใสราวกับหิมะถูกตักมาวางบนใบบัวสีเขียว กลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว ไอวิญญาณเต็มเปี่ยม
นอกจากนี้ยังมีเนื้อฉลามสมุทรตุ๋นและปีกหงส์เขียวย่างอย่างละหนึ่งจานใหญ่ ครบทั้งรูปรสกลิ่นสี เพียงพอให้สิบกว่าคนกินร่วมกัน
แน่นอนว่าอาหารประเภทนี้หายากอย่างที่สุด เป็นทรัพย์หลังศึกที่หลินสวินเก็บมาด้วยตอนฆ่าซาหลิวฉานและโจมตีชิงเหลียนเอ๋อร์จนบาดเจ็บสาหัส
ตอนนี้ถูกเขาปรุงเป็นอาหารให้ซย่าจื้อได้กิน หากผู้แข็งแกร่งของทั้งสองเผ่ามาเห็นเข้าต้องโกรธจนระเบิดแน่
ซย่าจื้อถือถ้วยตะเกียบ นั่งเงียบอยู่ตรงนั้น จากนั้นเริ่มกินอย่างไม่เร็วไม่ช้า แต่ด้วยความที่กินจุจึงไม่เคยหยุดเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
หลินสวินยิ้มมองภาพนี้ พักใหญ่จึงนึกบางอย่างขึ้นได้ พลันจุ๊ปากพูดอย่างเสียดาย “เสียดายที่เนื้อสุนัขสวรรค์มายาทมิฬถูกข้ากินไปหมดแล้ว เนื้อนั่นอร่อยมาก ไม่ว่าจะตุ๋น ผัด ย่าง ทอด ล้วนเรียกได้ว่าไร้ที่เปรียบ”
ซย่าจื้อไม่ได้สนใจเขา ยังคงกินต่อ ร่างอันผอมบางของนางเหมือนหลุมที่ไม่มีที่สิ้นสุด กินข้าวไปถ้วยแล้วถ้วยเล่า ใบบัวสีเขียวข้างๆ กองเป็นปึกหนา
หากไม่ใช่เพราะหลินสวินเตรียมตัวมาดี คงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของซย่าจื้อได้จริงๆ
ครู่ใหญ่ซย่าจื้อจึงวางถ้วยและตะเกียบลง เชยดวงตาที่กระจ่างใสราวกับเสี้ยวพระจันทร์ขึ้นมองหลินสวินแล้วพูดอย่างจริงจัง “ต่อไปมีของดีอะไร อย่ากินคนเดียว”
หลินสวินเองก็ตอบอย่างจริงจัง “ต่อไปจะไม่ทำอีก”
ซย่าจื้อขานรับว่าอืม จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “ข้ามีคำถามหนึ่ง”
“เจ้าว่ามา” หลินสวินถือชาถ้วยหนึ่งขึ้นมาพลางเอ่ยอย่างประหลาดใจ
ซย่าจื้อใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงพูดว่า “หลินสวิน อยู่ข้างนอกเจ้ามีผู้หญิงกี่คนแล้ว”
พรวด!
หลินสวินพ่นชาในปากออกมา สำลักจนไอไม่หยุด เขาจ้องมองแม่นางน้อยที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาแปลกประหลาด พร้อมพูดอย่างไม่อภิรมย์ “ทำไมจู่ๆ เจ้าถามคำถามแบบนี้ ข้าเหมือนคนที่ชอบหว่านเสน่ห์โดยใช่เหตุหรือ”
ซย่าจื้อขมวดคิ้วที่ดำราวกับน้ำหมึก ใคร่ครวญครู่หนึ่งจึงพูดว่า “เหมือน”
หลินสวินจนคำพูด ฟ้าเห็นก็คงสงสาร เขาฝึกปราณมาถึงตอนนี้ ยังไม่เคยคบหาผู้หญิงคนไหนอย่างจริงจัง จะ… จะมีผู้หญิงข้างนอกได้อย่างไร
บางครั้งหลินสวินยังรู้สึกว่าตนโดดเดี่ยวยิ่งกว่าภิกษุ แต่ตอนนี้กลับถูกซย่าจื้อ ‘ใส่ความ’ นี่จะยอมไม่ได้เด็ดขาด!
เพียงแต่เมื่อเขากลั่นกรองอยู่ครู่หนึ่งเพิ่งเตรียมจะพูด พลันเห็นซย่าจื้อพูดว่า “เจ้าไม่ต้องอธิบาย ข้าไม่ชอบให้เจ้าโกหกข้า”
“ข้า…” หลินสวินแทบจะโกรธจนเป็นลม นี่มันเข้าใจผิดเกินไปแล้วจริงๆ ถ้าเขามีหญิงรู้ใจมากมายขนาดนั้นก็ว่าไปอย่าง แต่ประเด็นคือจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวต่างหาก!
“ไม่ว่าอย่างไร ในอนาคตหากเจ้าจะแต่งงานก็ต้องผ่านด่านข้าก่อน” ซย่าจื้อมองหลินสวิน ดวงหน้าเล็กขาวเนียนที่สวยงามไร้ที่ติเต็มไปด้วยความจริงจัง
“มีสิทธิ์อะไร” หลินสวินหัวเสีย
“เพราะถ้าอยากให้ใครอีกคนนอกเหนือจากเจ้ามาอยู่ในโลกของข้า… จะยากมาก” ซย่าจื้อตอบราวกับนี่เป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว
หลินสวินพูดไม่ออก จู่ๆ เขาก็ค้นพบว่า เมื่อเผชิญหน้ากับซย่าจื้อที่จริงจังขึ้นมา ไม่ว่าตนจะพูดอะไรก็ดูไร้ประโยชน์ยิ่ง เพราะ…
อีกฝ่ายไม่ฟังเลยสักนิด!
“หากรู้เช่นนี้แต่แรก ข้าควรปฏิสัมพันธ์และคบหากับผู้หญิงให้มาก…” หลินสวินเหม่อ รู้สึกเสียดายมากที่ในอดีตใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเกินไป ไม่ได้จีบผู้หญิงสวยๆ สักคนสองคนมาทำให้ความรู้สึกในเส้นทางการฝึกปราณหลากหลายขึ้น ไม่คุ้มเลยจริงๆ
“เจ้าพูดอะไรนะ” ซย่าจื้อเลิกคิ้ว ดวงหน้าเล็กที่งดงามสดใสอย่างที่สุดแฝงอาการซักไซ้อย่างยากจะเห็น
“ไม่มีอะไร ข้ากำลังคิดเรื่องที่จะเดินทางไปแดนชัยบูรพา”
หลินสวินเบี่ยงประเด็นอย่างเด็ดขาด เขารู้สึกว่าหากถกกันเช่นนี้ต่อไป ภายใต้คำพูดอันนิ่งสงบที่คิดเองเออเองของซย่าจื้อ ตนจะต้องล่มสลายแน่
“งั้นเจ้าคิดไปเถอะ ข้าจะนอนแล้ว” สีหน้าของซย่าจื้อไม่ได้ดูจริงจังแล้ว หลังจากอิ่มท้องนางก็จะเริ่มง่วงเหมือนเคย
“อย่าเพิ่ง ดูบางสิ่งกับข้าก่อน” หลินสวินรีบเรียกนางไว้ จากนั้นหยิบใบไม้ต้นข่าวสารสีทองอร่ามใบหนึ่งออกมาจากอกอย่างระมัดระวัง
……………….