ตอนที่ 642 สงครามแห่งศตวรรษ (3)

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 642 สงครามแห่งศตวรรษ (3) โดย Ink Stone_Fantasy

แอนโทนี มาร์คัสเตะเสาเหล็ก 27 นิ้วหักในครั้งเดียว เตะหมียักษ์ตายในสามครั้ง กำลังขาของเขาที่มากขนาดนี้ถือว่าเป็นศักยภาพสูงสุดของมนุษย์ที่ได้ถูกพัฒนาแล้ว

แม้ว่าแขนซ้ายของเยี่ยเทียนที่มีพลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมจะสั่นไม่หยุด อยากใช้พลังลมปราณหลอมปราณสู่จิตสลายพลังอันแข็งแกร่งที่พุ่งเข้าใส่เขา แต่ก็มีเสียง “แคร่ก” ดังขึ้น ข้อไหล่เจ็บจี๊ดขึ้นมาและน่าจะหลุดออกไปแล้ว

ร่างของเยี่ยเทียนโซเซถอยไปข้างหลัง ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเจ็บแปล๊บที่ชายโครงขวา เยี่ยเทียนหายใจเข้าลึก ๆ ส่วนเท้าใช้ท่าร่างเพื่อทรงตัวให้อยู่

การทำแบบนี้ทำให้แขนซ้ายของเยี่ยเทียนต้องรับแรงมากกว่าเดิม ไม่น่าจะใช่ข้อไหล่หลุดอย่างเดียว เหมือนกระดูกจะร้าวแล้วด้วย

เยี่ยเทียนส่งเสียงงึมงำออกมา ตัวของเขาก้มลงไปกับพื้น ทันใดนั้นเสียงลมอันแข็งแกร่งกวาดผ่านบริเวณหัว มันเป็นเสียงจากการลอยตัวเตะของมาร์คัสที่ตั้งใจเตะชายโครงขวาของเขาแต่ไม่โดน

ในการแข่งขันมวยใต้ดิน คนสองคนที่มีความสามารถเสมอกัน เวลาที่สู้กันจะทรงพลังมาก ไม่ใช่ลมบูรพาสยบลมประจิมก็คือลมประจิมสยบลมบูรพา เยี่ยเทียนรู้ดีว่าคนที่มากประสบการณ์อย่างแอนโทนี มาร์คัสไม่ยอมให้โอกาสนี้เสียไปแน่ ๆ

ฉะนั้นตอนที่ก้มตัวลง ขาข้างขวาของเยี่ยเทียนก็สะบัดออกเหมือนหางแมลงป่อง เหมาะเจาะกับตอนที่แอนโทนี เตะชายโครงขวาไม่โดน ทำให้หลบได้ทัน

แอนโทนี มาร์คัสเองก็คิดไม่ถึง กระดูกของเยี่ยเทียนที่ร้าวไปแล้วยังสามารถรับมือได้อย่างฉลาดแหลมคม

ร่างของแอนโทนี มาร์คัสเสียศูนย์ไปแล้ว เขารู้สึกชาไปทั้งหัว เพราะปลายเท้าของเยี่ยเทียนเตะเข้าชายโครงซ้ายของแอนโทนี มาร์คัส

“แคร่ก!”

แรงเตะที่ดูไม่แรง แต่ลำโพงของเวทีกลับส่งเสียงกระดูกร้าวออกมาอีกครั้ง จากนั้นร่างที่ใหญ่ราวรถถังของแอนโทนี มาร์คัสปลิวไปด้านหลังเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต

ฉากสุดระทึกที่เกิดขึ้นบนเวที ทำให้ผู้ชมรอบทิศถึงกับต้องกลั้นหายใจ ไม่มีใครคิดว่าเยี่ยเทียนที่ดูเหมือนใกล้แพ้แล้วจะสู้สุดใจจนบาดเจ็บหนักทั้งคู่

“เจ๋งมาก เพราะแบบนี้สินะถึงกล้ารับคำท้าของแอนโทนี มาร์คัส!”

“เราพนันคนจีนชนะ พวกเขามักสร้างสิ่งมหัศจรรย์ออกมา!”

“คนจีนน่ากลัวมากจริง ๆ เขาเป็นถังหลงอีกคนเหรอ?”

หลังจากที่ร่างของทั้งสองแยกออกจากกัน ข้างล่างเวทีเกิดเสียงโห่ร้องขึ้นมาไม่หยุดหย่อน การต่อสู้ของเยี่ยเทียนที่แสดงออกมาเปลี่ยนความคิดของพวกเขาทั้งหมด ถึงขั้นคิดว่าหนุ่มคนนี้ถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับแอนโทนี มาร์คัสจริง ๆ

แม้แต่คนที่อยู่ในยุคของถังหลง ยังเอาเยี่ยเทียนไปเชื่อมต่อกับนักชกทรราชผู้นั้น ถังหลงกับเยี่ยเทียนเป็นคนจีนทั้งคู่ รูปร่างหน้าตาก็คล้ายคลึงกัน และยังมีพลังอันแข็งแกร่งที่สามารถทำให้คู่ต่อสู้ยอมแพ้เหมือนกันอีก

ถังหลงเคยทำให้มวยใต้ดินในยุคนั้นกลายเป็นยุคมืด ซึ่งทุกคนไม่รู้ว่าการปรากฏตัวของเยี่ยเทียนจะเป็นรุ่นต่อของถังหลงและคนจีนจะพลุ่งพล่านนองเลือดอีกครั้งหรือเปล่า?

“นี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากได้ เวลาที่คนเราอยู่ใกล้ความตายมากที่สุด ความรู้สึกนั้นมหัศจรรย์จริง!”

มุมปากของเยี่ยเทียนมีรอยยิ้มออกมา เขาโตจนปานนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ใกล้ความตายมากที่สุด

ถ้าไม่ใช่เพราะการรับรู้พลังลมปราณชีวิตที่สัมผัสได้ถึงการเตะกวาดของแอนโทนี มาร์คัส ตอนนี้สมองของเขาคงแหลกและหล่นไปกลางเวทีแล้ว

ความเป็นกับความตายทำให้เยี่ยเทียนตื่นตัวอีกครั้งเพราะเขาเหมือนจะเห็นมือที่กุมชะตาชีวิตข้างนั้นได้ลาง ๆ แต่ในตอนนี้เขาไม่สามารถสัมผัสมันได้อย่างละเอียด

จึงใช้มือขวาจับแขนซ้ายไว้และดันขึ้นเพื่อให้กระดูกที่หลุดต่อเข้าไหล่อีกครั้ง เยี่ยเทียนแค่อยากสัมผัสความเป็นกับความตายจากการแข่งขันอันโหดเหี้ยมนี้เท่านั้น แต่ไม่ได้แปลว่าเขาอยากตาย

แม้จะอดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ ก็ไม่อยากให้มีผลกระทบต่อสภาพของเขา เพราะการปะลองระดับนี้ ถ้าพลาดแค่นิดเดียว ผลที่ตามมาอาจเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้

“เอาอีก!”

เยี่ยเทียนสะบัดแขนข้างซ้ายหนึ่งครั้งและยิ้มที่มุมปาก ส่วนร่างกายขยับไปด้านหน้าซึ่งอยู่ห่างจากแอนโทนี มาร์คัสแค่ 1 เมตรเท่านั้น จากนั้นเตะเข้าไปที่ขาของเขาอย่างแรง

ที่จริงเยี่ยเทียนไม่ถนัดใช้ขาโจมตีคู่ต่อสู้ แต่การต่อสู้ที่ดุเดือดแบบนี้ การใช้ขาเป็นอาวุธถือเป็นความคิดที่ดีที่สุด เพราะตอนที่หมัดของต่อยไม่โดนคู่ต่อสู้ แต่ขาสามารถเตะโดนตัวได้

ในการแข่งขันมวยใต้ดิน 90%ของคนที่ตายคาเวทีล้วน เกิดจากขาทั้งนั้น ถ้าอยากชนะการแข่งขัน เยี่ยเทียนต้องบุกโดยใช้ขาให้ชิน

โชคดีที่การฝึกฝนของเขาถึงระดับหลอมปราณสู่จิตแล้ว การส่งพลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมทั้งหมดไปที่ขาทำให้แรงขาของเขาไม่ด้อยไปกว่าแอนโทนี มาร์คัส

แม้แต่จำนวนครั้งก็ยังพอ ๆ กัน ถ้าไม่ใช่เพราะต้องทำให้ชินกับการใช้ขาโจมตีแบบนี้ บวกกับความเร็วที่ช้ากว่าแอนโทนี มาร์คัสอยู่แล้ว เยี่ยเทียนคงไม่ต้องสู้อย่างลำบากขนาดนี้

แต่หลังจากที่บาดเจ็บทั้งคู่ ดูเหมือนสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แอนโทนี มาร์คัสไม่บุกเข้าหาเยี่ยเทียนตรง ๆ แต่กลับหลบไปข้างหลัง ผู้ชมที่อยู่ข้างล่างก็เสียววาบไปตามกัน

“แอนโทนี มาร์คัสจะแพ้แล้วเหรอ? เขาเป็นหุ่นยนต์นักฆ่าเลยนะ!”

“ปีศาจนรกใกล้จะจบสิ้นแล้วล่ะ หนุ่มคนนี้กำลังจะปกครองโลกของมวยใต้ดิน!”

แอนโทนี มาร์คัสก็เหมือนกับถังหลง ใช้กำลังที่แข็งแกร่งจัดการคู่ต่อสู้จนตาย และไม่เคยมีครั้งไหนที่ยอมอ่อนข้อ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พวกที่พนันแอนโทนี มาร์คัสเริ่มกลัว

ส่วนเถ้าแก่ที่มีประสบการณ์มากล้นในสนามมวยใต้ดินกลับมองเห็นสิ่งอื่นแทน พวกเขามองว่ากำลังที่แข็งแกร่งของเยี่ยเทียนกับความนิ่งในความเป็นกับความตายนั้น เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของผู้ที่จะครองโลกมวยใต้ดิน

“อ๊าก!”

ไม่รู้ว่าเป็นเสียงจากชายโครงซ้ายหรือเสียงโห่ร้องด้านล่างเวที จู่ ๆ ดวงตาสองข้างของแอนโทนี มาร์คัสก็เต็มไปด้วยเส้นเลือด ความกดดันที่เยี่ยเทียนสร้างให้เขา ทำให้เขายิ่งบ้าคลั่ง

ฉายาราชาแห่งมวยใต้ดินอันยาวนาน ทำให้แอนโทนี มาร์คัสติดนิสัยความหลงตัวเองมาก เมื่ออยู่บนเวที เขาจะเป็นราชา เป็นผู้ตัดสิน และห้ามใครเหยียบย่ำศักดิ์ศรีเด็ดขาด

แม้เยี่ยเทียนจะเตะชายโครงทั้งสองข้างจนหัก และอาจจะลามไปถึงภายใน แต่บาดแผลที่มากกว่านี้แอนโทนี มาร์คัสก็เคยเจอมาแล้ว สุดท้ายก็จัดการคู่ต่อสู้ได้อยู่ดี

นั่นเป็นเรื่องเมื่อปี 1992 สงครามกับ “ปลาปิรันย่า” เทเกอร์ โฮเกน ทั้งคู่เป็นมวยปล้ำที่มีเอกลักษณ์ ใช้เทคนิคที่เรียบง่ายแต่พรั่งพรูดุเดือดที่สุด

ทั้งสองคนจัดการคู่ต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่เพราะฝีมือเสมอกัน ทำให้ใช้เวลาไปกว่า 15 นาที 38 วินาที ตลอดการแข่งขันเต็มไปด้วยความดุเดือด สองแขนของโฮเกนกับซี่โครงถูกเตะจนหักตามลำดับ สุดท้ายสูญเสียการป้องกัน ถูกมาร์คัสเตะจนเสียชีวิต

แต่แขนขวากับซี่โครงสามซี่ของมาร์คัสก็หักเช่นกัน หลังจากจบการแข่งขัน แอนโทนี มาร์คัสก็เกือบไม่ไหว และการแข่งในครั้งนั้นเป็นครั้งที่ทำให้เขาขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของชีวิตนักมวย แถมยังได้ฉายาปีศาจนรกมาด้วย

ในเวลานี้แอนโทนี มาร์คัสรู้สึกกดดันมากกว่าตอนที่สู้กับโฮเกนเสียอีก แต่มันก็ได้กระตุ้นความโหดร้ายของเขาออกมา หลังจากเปล่งเสียงคำรามเสร็จ เขาบุกไปที่เยี่ยเทียนทันที

สองคนที่เพิ่งห่างกัน ก็ประชิดกันอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เร็วจนเวียนหัว ผู้ชมด้านล่างเวทีเพิ่งสัมผัสได้ถึงความโหดเหี้ยมของการต่อสู้ผ่านหน้าจอใหญ่กับฟังเสียงจากลำโพง

“ปัง!”

สองขาปะทะกันอีกครั้ง เยี่ยเทียนไม่รู้เหมือนกันว่าสองขาปะทะกันรวมแล้วเกิดขึ้นกี่ครั้ง แต่น่องขาขวาของเขาเริ่มเจ็บ กระดูกตรงน่องน่าจะร้าวแล้วเช่นกัน

เยี่ยเทียนยอมรับ ความแกร่งของแอนโทนี มาร์คัสเกินความคาดหมายของเขา เพิ่งสู้กันไปแค่สี่ห้านาที แต่เยี่ยเทียนกลับเผชิญความตายมาแล้วถึงสามครั้ง

และสามครั้งนี้เป็นจุดสูงสุดของความเป็นความตายเลยก็ว่าได้ แม้กระทั่งจมูกยังได้กลิ่นเหม็นเน่าของความตายเลย เขาไม่สงสัยเลยว่าถ้าความเร็วของเขาช้าลงเพียงนิดเดียว ตอนนี้เขาคงกลายเป็นศพที่นอนอยู่กลางเวทีแล้วก็ได้

ถึงจะเป็นแบบนั้น เยี่ยเทียนก็ได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย ไหล่ซ้ายเพิ่งต่อเข้าที่ ไม่นานก็ถูกแอนโทนี มาร์คัสเตะจนหลุดอีก

ชายโครงขวาถูกหมัดหนักของคู่ต่อสู้ต่อยเข้าอย่างจัง แม้โครงกระดูกไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ภายในได้รับการสั่นเสือน อย่างแรงจนมีเลือดไหลออกจากปาก

ส่วนแอนโทนี มาร์คัสก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่ แก้มซ้ายถูกหมัดของเยี่ยเทียนเต็ม ๆ ใบหน้ามีแต่เลือดจนไม่เห็นเนื้อหนัง ฟันหลุดออกมาถึง 5 ซี่

นอกจากนี้ขาที่ถูกปลายเท้าของเยี่ยเทียนเตะเข้าจังๆ บวกกับซี่โครงซ้ายที่หักไปแล้ว ทำให้การเคลื่อนไหวของเขาไม่เร็วเท่าเมื่อครู่ แรงของขาก็อ่อนลงไปมาก

ทั้งแอนโทนี มาร์คัสและเยี่ยเทียนต่างก็ไวต่อกลิ่นของความตาย แม้จะเจ็บหนักทั้งคู่ แต่ทั้งคู่ก็หลบทัน จู่ ๆ ทั้งคู่ก็รู้สึกทำอะไรซึ่งกันและกันไม่ได้ สถานการณ์จึงเริ่มตึงเครียดขึ้นมา

ผู้ชมที่อยู่ข้างล่างอึ้งจนพูดไม่ออกตั้งนานแล้ว พวกเขาเชื่อว่าถ้าเปลี่ยนคนแข่งหนึ่งคน การแข่งขันรอบนี้คงจะจบลงตั้งนานแล้ว

หรือพูดได้ว่า ไม่ว่าการแข่งในครั้งนี้ใครแพ้หรือชนะ สุดท้ายคนที่รอดชีวิตลงจากเวทีได้ จะถูกเพิ่มชื่อเข้าไปในศตวรรษที่ 21 และไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ทุกคนจะพูดขึ้นมาซ้ำ ๆ !

“หืม? เกิดอะไรขึ้น?”

หลังจากประทะกันรอบสุดท้าย ร่างของทั้งคู่ก็แยกจากกัน จู่ ๆ เยี่ยเทียนพบว่าลมหายใจของคู่ต่อสู้วุ่นวายมาก ร่างของแอนโทนี มาร์คัสที่แข็งแกร่ง ดูเหมือนกำลังจะมีปัญหา

แม้แอนโทนี มาร์คัสจะไม่เคยฝึกกำลังภายใน แต่พลังลมปราณที่พลุ่งพล่านก็ไม่ด้อยไปกว่าตัวเขาเอง ตอนนี้เยี่ยเทียนรู้สึกว่าพลังลมปราณของคู่ต่อสู้กำลังถดถอยลงเรื่อย ๆ

……………………………………………