หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1213 ฆ่าให้เจ้าดู
“ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ ประมุขตำหนักมู่?****”
เมื่อมู่เฉินพูดคำเหล่านั้นออกมา สมาชิกตระกูลลั่วเสินและเสี่ยหลิงจื่อก็ขมวดคิ้วเบาๆ ในฐานะหนึ่งในมหาทวีปพวกเขาเคยได้ยินชื่อนี้มาอยู่แล้ว ทว่าไม่คุ้นเคยกับภูมิภาคทางเหนือเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตำหนักมู่…
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เสี่ยหลิงจื่อก็ค่อยๆ คลายความกังวลในใจ ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เฉินมาจากเผ่าโบราณ แต่เมื่อมองดูแล้วภูมิหลังของเจ้าหนูนี่ก็ไม่น่ากลัวอะไรเลย
จอมยุทธ์หนุ่มขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นน่าตกตะลึงโดยธรรมชาติ แต่ในสายตาของเขามู่เฉินเป็นเพียงคู่ต่อสู้ที่สร้างความปวดหัวในการสังหารเล็กน้อยเท่านั้น
ในฐานะประมุขตระกูลเสี่ยเสิน เสี่ยหลงจื่อมีประสบการณ์มาก ดังนั้นเขาจึงมีนิสัยร้ายกาจยิ่ง
“ตำหนักมู่… ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
สายตามืดมนของเสี่ยหลิงจื่อมองไปที่มู่เฉินพลางพูดต่อย่างไม่แยแส “ไอ้หนูเห็นว่าไม่ง่ายสำหรับเจ้าที่ฝึกฝนมาได้ไกลขนาดนี้ ข้าจะทำเป็นว่าไม่เคยเห็นถ้าเจ้าจะจากไปตอนนี้ มิฉะนั้นข้าจะให้เจ้ารู้ว่าโง่แค่ไหนที่ทำให้ตระกูลเสี่ยเสินขุ่นเคือง”
เขารู้สึกว่าตนเองให้หน้ามู่เฉินมากพอ หากชายหนุ่มมองเห็นสถานการณ์ทะลุปรุโปร่งก็จะรู้ว่าในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้เพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ได้
ทว่าขณะที่เขาคิดเช่นนี้กลับเห็นมู่เฉินยิ้มบางก่อนจะยกนิ้วชี้ไปในระยะไกล
“ไอ้แก่ที่ทำตัวอาวุโส…ไสหัวไป!”
ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก น้ำเสียงอัดแน่นด้วยจิตสังหารเยือกเย็นดังก้องไปทั่ว
ทุกคนมีสีหน้าแข็งทื่อเมื่อมองไปที่มู่เฉินอย่างตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตกใจมากกับคำพูดนี้
เสี่ยหลิงจื่อเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายตัวจริงนะ!
มิหนำซ้ำยังมีตระกูลทรงพลังเป็นภูมิหลัง!
การเผชิญหน้ากับบุคคลยิ่งใหญ่อย่างนี้ ถึงแม้ว่ามู่เฉินจะไม่ธรรมดาด้วยขุมพลังที่มี แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะท้าทายกับตระกูลเสี่ยเสินเพียงผู้เดียว
ภายใต้ความเงียบใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อก็เปลี่ยนเป็นมืดสนิท เขาจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน ครู่ต่อมารอยยิ้มก็ค่อยๆ โค้งขึ้นที่มุมปาก
“ไอ้เด็กไม่กลัวตาย!”
เสี่ยหลิงจื่อยิ้มน่าขนพองสยองเกล้า อึดใจก็โบกมือ “ในเมื่อแกหยิ่งนัก… เสี่ยถง เสี่ยโส่ว เสี่ยยี ฆ่ามันให้ตายที่นี่ซะ”
ในตอนท้ายน้ำเสียงก็เย็นเยือกถึงขีดสุด กระทั่งอากาศรอบด้านเขายังถูกแช่แข็ง
วาบ!
เกลียวแสงสีแดงเลือดสามสายปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเสี่ยหลิงจื่อ ก่อนที่ร่างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนของตระกูลเสี่ยเสินจะยืนอยู่ข้างหลัง ทุกคนจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยแววเยาะเย้ยราวกับว่ากำลังดูแกะเตรียมตัวถูกบูชายัญ
โห่
เมื่อเห็นว่าตระกูลเสี่ยเสินส่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนเพื่อจัดการกับมู่เฉิน ความปั่นป่วนแผ่ซ่าน ทุกคนรู้สึกว่าตระกูลเสี่ยเสินไร้ยางอายนัก ทว่าพวกเขาก็พูดอะไรไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่การประลองแบบมีกติกา แต่เป็นสงครามที่เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของเผ่าพันธุ์
เรื่องบาดหมางและความชั่วร้ายที่อยู่ในนั้น ทำให้ไม่มีใครประหลาดใจกับทุกวิธีที่ใช้
ดังนั้นเหล่าจอมยุทธ์ในดินแดนซีเทียนเล็กที่เฝ้ามองก็ได้แต่ส่ายหัว พวกเขารู้สึกสงสารมู่เฉินจับใจ ด้วยความสามารถของเขาอนาคตต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แต่น่าเสียดายที่จะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่าจอมยุทธ์หนุ่มคนนี้จะสามารถหลบหนีจากมือฝ่ายตรงข้ามสามคนไปได้
“เสี่ยหลิงจื่อถามตาแก่คนนี้ก่อนที่จะทำอะไรป่าเถื่อนในเขตแดนของตระกูลลั่วเสิน!”
ท่ามกลางสายตาเสียดายของผู้คน ลั่วเทียนเสินก็คำรามขณะมองไปที่เสี่ยหลิงจื่อ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกมาจากร่างเขา ร่างเวทสวรรค์ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นที่ด้านหลัง
มู่เฉินเร่งรุดมาจากแดนไกลเพื่อลั่วหลี ดังนั้นไม่ว่าจะทำอย่างเขาก็ต้องปกป้องชายหนุ่มคนนี้ ไม่เช่นนั้นเขาจะเผชิญหน้ากับหลานสาวได้อย่างไร? หากทำไม่สำเร็จก็สู้ตายแบบสมเกียรติดีกว่า
“จุ๊ๆ ไม้ผุๆ อย่างแกที่ถูกวางยาพิษคำสาปเลือดปีศาจของข้าจนตอนนี้ยังไม่หายดี มีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนี้?”
ทว่าเผชิญกับลั่วเทียนเสินที่เปล่งรัศมีเกรี้ยวกราด เสี่ยหลิงจื่อก็หัวเราะด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยอาการเยาะเย้ย
เขาก้าวออกไปมหาสมุทรเชี่ยวกรากที่เต็มไปด้วยเลือดก็ก่อตัวข้างหลัง ควบแน่นเป็นร่างเวทสวรรค์ขนาดใหญ่โต เมื่อร่างนี้หายใจออกก็เกิดละอองเลือดพร้อมกับพิษที่กัดกร่อน
“พวกเจ้ายังไม่ลงมืออีก?”
หลังจากเสี่ยหลิงจื่อเรียกคลื่นหลิงเพื่อคุมเชิงลั่วเทียนเสิน เขาก็มองไปที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนอย่างเย็นชา ตะโกนเสียงเข้ม
“รับทราบ!”
จอมยุทธ์ทั้งสามของตระกูลเสี่ยเสินไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งผ่านขอบฟ้ามุ่งหน้าไปหามู่เฉิน
“สกัดพวกมัน!”
ใบหน้าของลั่วเทียนเสินเขียวคล้ำขณะที่ตะโกน
ลั่วชิงหยาและลั่วซิวพุ่งออกไปอย่างไม่เกรงกลัว รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดเข้าหาทั้งสาม จอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตระกูลลั่วเสินก็พุ่งเข้าสู้รบ
ทว่าการกีดขวางของพวกเขาไม่มีผลกระทบต่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งสาม ลำแสงเลือดพุ่งออกมาสามสาย แนวป้องกันถูกทำลายทันที
เวลานี้ตระกูลลั่วเสินพ่ายแพ้หมดท่า
ความหวังในใจพลเมืองตระกูลลั่วที่เพิ่มขึ้นจากการปรากฏตัวของมู่เฉินก็เหี่ยวเฉาลง ใบหน้าของพวกเขากลายเป็นซีดเผือด แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของตระกูลลั่วเสิน
ตราบใดที่มู่เฉินถูกฆ่าใครจะสามารถช่วยเหลือตระกูลลั่วเสินได้อีก?
ลั่วเทียนหลงก็พยายามจะเข้าไปช่วยมู่เฉิน แต่ถูกผู้อาวุโสสาขาทั้งสามขัดขวางไว้ ถ้าไม่ใช่ว่าทั้งสามคนไม่ได้คิดสู้เสี่ยงชีวิต แม้แต่เขาก็คงตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังแล้ว
“ลั่วเทียนหลงอย่าขัดขืน แกไม่สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ได้แล้ว พวกข้าทำสิ่งนี้เพื่อรักษาตระกูลลั่วเสิน ไม่งั้นการทำลายล้างกวักมือเรียกเราแน่!” ทั้งสามคนพูดด้วยเสียงเข้ม พวกเขาไม่ต้องการเห็นลั่วเทียนหลงตายที่นี่ หากพวกเขาได้อีกฝ่ายมาเป็นพวกก็จะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
“ไอ้เด็กนั่นสมควรต้องตายสำหรับการท้าทายตระกูลเสี่ยเสิน ทำไมตระกูลลั่วเสินต้องสูญเสียเพื่อมันด้วย?”
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความพยายามในการชักแม่น้ำทั้งห้า ลั่วเทียนหลงก็มองพวกเขาอย่างรังเกียจ เขาไม่คิดจะพูดให้มากความ พยายามมองหาหนทางเป็นอิสระ ทำให้ทั้งสามต้องสร้างปราการให้แข็งแกร่งขึ้น เขาราวกับพยัคฆ์ในกรงดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นจนบาดแผลกระจายทั่วร่าง
ทั่วทั้งพื้นที่ตกสู่ความโกลาหลอีกครั้ง
ขณะนี้บนตึกสูงในเมืองลั่วเสิน ร่างหลายร่างกำลังมองมาที่ฉากน่าสลดใจนี้
“เรายังไม่ลงมือตอนนี้เหรอ?” หลิ่วเทียนเต้ามองจอมยุทธ์สามคนที่พุ่งเข้าหามู่เฉินก็ถามเสียงต่ำ
มั่นถัวหลัวหลับตาตอบเสียงแผ่วเบา “พวกเจ้ารีบฟื้นตัว”
เนื่องจากทั้งสี่คนหมดแรงในการเดินทาง ดังนั้นสภาพของพวกเขาจึงไม่ค่อยดี ความสามารถในการกู้คืนพลังของพวกเขาไม่ได้เหมือนมู่เฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่ฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้า
โยวมิ่งลังเล “แต่นั่นเป็นระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนเชียวนะ”
เขาเตือนมั่นถัวหลัว แม้ว่ามู่เฉินจะไม่อ่อนแอ แต่ก็อาจเป็นอันตรายสำหรับเขาที่จะต้องเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคน
มุมปากของมั่นถัวหลัวโค้งขึ้นขณะที่มองโยวมิ่ง “งั้นพวกเจ้าก็รอดูความสามารถของประมุขตัวเองเลย”
“ตอนนี้รีบคืนพลังไปเงียบๆ เรื่องในวันนี้ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก”
พูดจบนางก็มองไปที่ระยะไกล
บนแม่น้ำลั่ว
มู่เฉินยืนนิ่งขณะมองจอมยุทธ์สามคนที่กำลังพุ่งเข้าหา ทว่าไม่มีความตื่นตระหนกใดๆ บนใบหน้าของเขา ในทางตรงกันข้ามใบหน้ากลับเต็มไปด้วยจิตสังหารเย็นเยือก
“มู่เฉิน”
เสียงของลั่วหลีดังขึ้นเมื่อนางเห็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งสามมุ่งหน้ามายังทิศทางนี้ ดวงตาของนางเปล่งแสงกังวลพลางเอ่ยเสียงเบา “ให้ข้าช่วยไหม?”
มู่เฉินยิ้มบาง “ภัยพิบัติของเจ้ากำลังจะมา”
ตอนนี้ชั้นเมฆซ้อนทับอยู่เหนือร่างนางซึ่งเป็นสัญญาณแห่งภัยพิบัติหลิง ยามนี้นางไม่มีเวลามาต่อสู้ได้
ลั่วหลีกัดริมฝีปาก
ฮา
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกแล้วหันไปยิ้มกับคนรัก “ลั่วหลี เจ้าเชื่อในตัวข้าไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาลั่วหลีก็ยิ้ม “เจ้าคิดอย่างไรล่ะ?”
มู่เฉินยิ้ม จากนั้นก็ก้าวย่างบนผิวน้ำอย่างช้าๆ ระลอกคลื่นกระเพื่อมไหวอยู่ใต้ฝ่าเท้า
“งั้นเจ้าก็มุ่งเน้นไปที่ภัยพิบัติหลิงซะ… สำหรับสุนัขสามตัวนี่ข้าจะฆ่าพวกมันให้เจ้าดูเอง”