ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 691 หักหน้าต่อหน้า

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ด้านในหุบเขา ละอองแสงหลั่งไหล ประกอบกันเป็นภาพมายา เกิดเป็นค่ายกลที่ทั้งมหึมาทั้งลี้ลับ

ค่ายกลหมุนวน ประกายแสงสีเหลืองหลายสายพุ่งออกมาจากแท่นบูชาตรงกลาง จากนั้นก็ส่องฟ้าดินที่อยู่รอบๆ

เจิ้งหมิงมองภาพนี้ ก่อนจะแค่นเสียงคำหนึ่ง “เป็นค่ายกลบูชาฟ้าจริงๆ…”

เยี่ยซินที่อยู่บนเรือเดิมทีเตรียมจะพูดช่วยคังผิง เวลานี้กลับสับสนเล็กน้อย “เมื่อครู่ไม่ใช่ค่ายกลเช่นนี้”

เฉินจื้อเหลียงแค่นเสียง “มีศิษย์พี่เจิ้งจับตาดูอยู่ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นผ่านความามารถของศิษย์พี่เจิ้ง ปลอมแปลงไม่ได้”

ในหุบเขาเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด บรรยากาศแปลกประหลาดยิ่ง

พวกคังผิงซึ่งอยู่ในหุบเขาพากันมองเรือยักษ์ที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าพร้อมกัน

แสงอัสดงรอบๆ เรือนภาร่อนวายุที่อยู่ข้างบนโชติช่วงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ลำแสงไหลเวียน พร้อมลงมือหรือถอยหนีตลอดเวลา

คังผิงสีหน้ายังคงไร้อารมณ์ แต่ว่าสายตาเคร่งขรึมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

คังฮูหยินใบหน้าเคร่งเครียด ยังคงระมัดระวังตัว แต่ความสุขุมก่อนหน้านี้หายไปแล้ว

ความเหี้ยมเกรียมบนแก้มอันเหลืองตอบของฉีเหว่ยเข้มข้นขึ้น สองมือเคลื่อนไหวโดยสัญชาตญาณ เหมือนคิดจะควักอะไรออกมา

เขาเป็นปรมาจารย์ค่ายกล มีของวิเศษติดตัวมากมาย สามารถใช้วางค่ายกลที่แข็งแกร่งได้ตลอดเวลา

คังจิ่นหยวนสีหน้าดุร้ายกว่าเดิม กัดฟันกรอด ร่างแข็งเกร็ง เกือบจะลงมือแล้ว

คังเม่าเซิงที่อยู่ข้างเขาเหมือนกับคังผิง ยังรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้ แต่ก็เคร่งขรึมถึงขีดสุดเช่นกัน เคร่งขรึมกว่าตอนที่เผชิญกับค่ายกลอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัติที่เกาะเฉวียนหลิงเสียอีก

ชั่วขณะนั้น อากาศบริเวณรอบๆ เหมือนกับแข็งตัวขึ้น

ไป๋จื่อคังที่อยู่บนเรือนภาร่อนวายุไม่ได้กล่าววาจา

ครั้งนี้หากเกิดความผิดปกติเล็กน้อย เรื่องนี้ไม่อาจจัดการในครั้งเดียวได้อีกแล้ว

ไป๋จื่อหมิงมองเยี่ยนจ้าวเกอ จากนั้นก็มองเจิ้งหมิงที่เป็นผู้บังคับเรือนภาร่อนวายุ ‘เปิดโปงอีกฝ่ายต่อหน้า เป็นการหักหน้ากันเกินไป เช่นนี้อีกฝ่ายจะอับอายกลายเป็นโทสะ ลงมือฆ่าปิดปากหรือไม่?’

ในเมื่อปิดบังไม่ได้ เช่นนั้นก็ปล้นกันอย่างเปิดเผย ฉีกหน้าและอาศัยวิธีการเหี้ยมโหดรับมือ

ไป๋จื่อหมิงย่อมต้องหวั่นวิตก พลังของคังผิงเมื่อครู่ปรากฏขึ้นเพียงแวบเดียว ก็ทำให้ทุกคนกริ่งเกรงแล้ว

เขาเองก็อยู่บนเรือนภาร่อนวายุ ครั้งนี้ดูเหมือนจะติดร่างแหไปด้วยเสียแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสได้ถึงสายตาของไป๋จื่อหมิง เขาหันไปมองอีกฝ่าย ก่อนจะยิ้มพลางพยักหน้า สีหน้าไร้ความหวาดกลัวและความกริ่งเกรงแม้แต่น้อย

คังผิงมีพลังแข็งแกร่งจริงๆ ใช้แค่ตามองก็ฆ่าจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเยี่ยนจ้าวเกอแตกต่างกับคนทั่วไป เมื่อครู่อาจจะติดอยู่ในกระแสเวลา ถูกคังผิงฆ่าอย่างไร้ร่องรอย

แต่ขอแค่ยอดฝีมือขั้นสะพานเซียนของราชวงศ์ต้าเสวียอ๋องคนอื่นไม่อยู่ ขณะเดียวกันในสถานการณ์ที่คังผิงไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์มากกว่าหนึ่งชิ้นในมือ เขาก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสามารถรั้งพวกเยี่ยนจ้าวเกอและเจิ้งหมิงไว้ได้

เมื่อมีเรือนภาร่อนวายุอยู่ด้วย ถึงจะไม่อาจบอกว่าสามารถเอาชนะคังผิงได้ แต่หากคิดหนีเต็มกำลัง ย่อมมีโอกาสมากมาย

ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่จะมา พวกเจิ้งหมิงก็ได้วางแผนไว้แล้ว พวกตนไม่อาจถูกฆ่าโดยไร้คราวข่าวเด็ดขาด

เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ประมุขอาคเนย์จะสืบเรื่องราวทันที

บางทีด้านหลังพวกคังผิงอาจจะมีเงาของบุคคลที่ยิ่งใหญ่คนอื่นอยู่ด้วย แต่ว่าถ้าลูกศิษย์ที่ถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเองตายอย่างไร้ร่องรอย ประมุขอาคเนย์ย่อมไม่มีวันเลิกรา

สามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิ ประมุขทั้งสิบ ในฐานะผู้ปกครองของโลกซ้อนโลก ระหว่างกันมีความเกี่ยวข้องซับซ้อน ประมุขอาคเนย์ก็ไม่ใช่มีแค่ตัวคนเดียว

เจิ้งหมิงมองหุบเขา กล่าวอย่างเชื่องช้า “ขอถามท่านคัง นี่คือค่ายกลอะไร ค่ายกลต้นปฐพีกำเนิดหรือ?

“ตัวข้าไม่ได้เก่งกาจ แต่ดูเหมือนไม่ใช่ หากท่านคังยังยืนกรานปฏิเสธก็ไม่เป็นไร อีกไม่นานจะมีศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นมาถึงที่นี่ พวกเรารออีกสักหน่อย ให้ศิษย์พี่ที่มีความสามารถด้านค่ายกลของข้ามาตรวจสอบ”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินก็ยิ้มขึ้น คำพูดของเจิ้งหมิงเป็นการบอกสถานการณ์ในตอนนี้ให้พวกคังผิงฟัง

แน่นอนว่าเรือนภาร่อนวายุก็ได้เตรียมตัวหนีไว้แล้วเช่นกัน

การจะรักษาเหตุผลหลักที่อีกฝ่ายจะไม่ลงมือ ต้องรับประกันว่าอีกฝ่ายไม่มีความมั่นใจพอจะรั้งพวกตนทั้งหมดไว้ที่นี่ได้

คังผิงเงยหน้า มองเรือนภาร่อนวายุกลางอากาศเงียบๆ เนิ่นนานให้หลังจึงค่อยๆ กล่าวว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้ว แต่ความจริงของเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเรื่องหลายเรื่อง ไม่เพียงแต่ข้า แม้แต่ท่านก็ไม่อาจแบกรับ”

เขาถอนใจ “ถ้าสะดวก ข้าขอบอกเหตุผลต่อหน้าองค์ประมุขอาคเนย์ ให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินใจ”

ฉีเหว่ยสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หันไปมองคังผิง

คังจิ่นหยวนร้องขึ้นอย่างตกใจ “ท่านพ่อ!”

คังเม่าเซิงที่อยู่ด้านข้างจับเขาไว้ พลางส่ายหน้า เขาใช้แรงสลัดหลุดจากมือของคังเม่าเซิง ทว่ากลับเห็นคังฮูหยินส่งสายตาให้

คังผิงค่อยๆ ยกมือขึ้น เพื่อบอกให้พวกเขาอย่ากล่าววาจา

คังจิ่นหยวนใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่ยอม แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงอีก ฉีเหว่ยที่อยู่ด้านข้างเงยหน้าส่งเสียงถอนใจยาว ทั้งหมดคือความคับแค้นและความไม่สมัครใจ

เจิ้งหมิงกับเฉินจื้อเหลียงที่อยู่บนเรือกลับถอนใจโล่งอกอย่างเงียบๆ

คังผิงยังเป็นคนมีเหตุผล เลือกก้มหัวชั่วคราว ไม่ได้เลือกเป็นสุนัขจนตรอก

เจิ้งหมิงเอ่ย “ความหมายในวาจาของท่านคังเหมือนมีความนัย ถ้าหากต้องการพบท่านอาจารย์ ข้ากับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องย่อมยินดี ภูเขาโถงทองยินดีต้อนรับการมาของท่าน”

เขาย่อมไม่เชิญคังผิงขึ้นเรือนภาร่อนวายุ นั่นเท่ากับเป็นการพาหมาป่าเข้ามาในห้องโถง

เจิ้งหมิงหันไปมองเฉินจื้อเหลียง “อีกสักครู่ ศิษย์น้องเฉินเจ้าพาท่านคังกลับเขาโถงทอง”

เขาโถงทองตั้งอยู่ที่ใจกลางเขตตะวันอาคเนย์ เป็นที่อยู่ของประมุขอาคเนย์

เฉินจื้อเหลียงพยักหน้า “ขอรับศิษย์พี่”

เขาลงจากเรือนภาร่อนวายุ มาถึงด้านหน้าพวกคังผิง ประสานมืออย่างใจเย็น “ท่านคังเดินทางตอนที่สะดวกได้เลย”

คังผิงมองรอบๆ เห็นละอองแสงที่ยังไม่หายไป เอ่ยปากกล่าวว่า “ไปได้ทุกเวลา พวกเราจะรีบออกเดินทางให้เร็วที่สุดดีกว่า

“แต่ยังมีอีกเรื่อง เยี่ยนจ้าวเกอผู้นั้น ได้กราบเข้าเป็นศิษย์ขององค์ประมุขอาคเนย์หรือไม่?”

เฉินจื้อเหลียงตอบ “สหายเยี่ยนผู้นั้นไม่ใช่ศิษย์ในสำนักของพวกเรา แต่นับเป็นแขกที่ร่วมทางกัน ถ้าหากเขายินดี สามารถติดตามข้ากลับเขาโถงทองได้”

เยี่ยนจ้าวเกอย่อมไม่ต้องไปก็ได้ แต่เฉินจื้อเหลียงกำลังบอกคังผิงว่า ชายหนุ่มอยู่ในการคุ้มครองของพวกเขาชั่วคราว

คังจิ่นหยวนแค้นจนกัดฟัน คังผิงกลับไร้โทสะ เพียงพูดอย่างราบเรียบ “อนาคตองค์ประมุขอาคเนย์จะตัดสินอย่างไร ท่านผู้เฒ่าย่อมตัดสินใจเอง แต่ขอข้าปากมากเล็กน้อย หากท่านตั้งใจเชิญเขาเข้าสำนัก ก็ต้องตรวจสอบเขาดีๆ”

“บนตัวคนผู้นี้มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงชิ้นหนึ่ง”

เฉินจื้อเหลียงงงันเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า “อัจฉริยะผู้มีความสามารถกลับมีโชควาสนายิ่งใหญ่นัก”

พวกเจิ้งหมิง ไป๋จื่อหมิง เหวินลั่วเสีย และเยี่ยซินที่อยู่บนเรือนภาร่อนวายุต่างประหลาดใจเหลือประมาณ

สายตาของทุกคนตกบนร่างเยี่ยนจ้าวเกอ เจิ้งหมิงกับเหวินลั่วเสียยังดีอยู่ ส่วนมากเป็นความรู้สึกตกตะลึง

เยี่ยซินประหลาดใจล้นเหลือ ตรงหน้าตนพลันปรากฏคนที่ครอบครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงคนหนึ่ง

‘จริงหรือปลอมกันแน่?!’ ไป๋จื่อหมิงสายตาปรากฏความอิจฉาถึงขั้นที่เป็นความริษยาอย่างไม่อาจควบคุม ‘ร้ายกาจนัก คนที่เพิ่งเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นาน มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นต่ำถือว่าไม่เลวแล้ว การมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางก็นับว่ามีโชควาสนาสูงส่งแล้ว เด็กน้อยผู้นี้ถึงกับครอบครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงเลยหรือ? หรือว่าคนพวกนั้นจงใจสร้างข่าวลวงเพื่อใส่ร้ายเขา”

ฉีเหว่ยที่อยู่ข้างคังผิงกล่าวอย่างเย็นชา “อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั้น คือของวิเศษที่ราชันพระอาทิตย์เคยพกติดตัว ตราประทับตะวัน”

ราชันพระอาทิตย์ ตราประทับตะวัน…

บนเรือนภาร่อนวายุพลันเงียบงันราวกับความตาย

………………..