บทที่ 819 วิธีที่ดีกว่า

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 819 วิธีที่ดีกว่า

เรื่องราวย่อมฟังดูคุ้นเคย

เพราะมันเป็นเรื่องราวความรักระหว่างอาจารย์ติงกับภรรยาของท่านนั้นเอง

คำนวณดูจากระยะเวลาแล้ว ตอนที่ติงซานฉือมาอาศัยอยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ภรรยาของท่านถูกจองจำอยู่ในหุบเขาเจ้าสมุทรพอดี

ต่อมา เหยียนอิงได้ทำการแหกคุกบุกช่วยเหลือมารดาออกมาจากที่คุมขัง มิหนำซ้ำ ยังเอาชนะคนใหญ่คนโตของทางวังบาดาลและวิหารใต้สมุทรได้อีกเป็นจำนวนมาก เพราะเหตุนี้ เด็กสาวจึงบังคับให้พวกเขาล้างบาปให้แก่มารดาของนาง… และเรื่องทุกอย่างก็เป็นเช่นนี้เอง

เมื่อรับรู้ข้อมูลนี้แล้ว เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าอาจารย์ติงของเขาช่างเป็นเศษสวะตัวจริงเสียงจริง

ตลอดเวลานับสิบปีที่ผ่านมา อย่าว่าแต่จะรับบุตรสาวมาดูแล ติงซานฉือไม่คิดจะลงทะเลไปช่วยเหลือคนรักของตนเองออกจากที่คุมขังเลยด้วยซ้ำ เขาเอาแต่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ทำตัวเป็นอาจารย์สอนวิชากระบี่อยู่ในสถานศึกษาธรรมดาห่างไกลความเจริญไปวันๆ

ต้องรอจนกระทั่งบุตรสาวของพวกเขาเติบโตและเข้าไปช่วยเหลือมารดาออกมาได้ด้วยตนเอง

ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดบุตรสาวของติงซานฉือถึงเกลียดชังบิดาขนาดนี้

เศษสวะระดับที่ทิ้งลูกทิ้งภรรยาขั้นนี้ หลินเป่ยเฉินไม่อาจหาญสู้จริงๆ

ไร้ความรับผิดชอบมากเกินไป

ถือเป็นสุดยอดเศษเดนของเศษสวะที่แท้จริง

ที่เขามีนิสัยไม่ดีเช่นนี้ ก็เพราะมีติงซานฉือเป็นอาจารย์นี่เอง

หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าด้วยความไม่พอใจ

ก่อนจะเริ่มต้นอ่านประวัติของเหยียนอิงต่อไป

จากข้อมูลในศิลาอาคมระบุว่า ปัจจุบันนี้ เหยียนอิงมีพลังอยู่ในขั้นเซียนระดับสอง

ถือว่ามีระดับพลังสูงส่งทีเดียว

แต่นางอาจไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

เหยียนอิงมีรูปแบบการต่อสู้พิเศษเฉพาะตัว โดยเฉพาะการยิงลำแสงสีฟ้าครามและลำแสงสีแดงสด แม้แต่เกาเฉิงฮั่นผู้มีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชนก็ไม่แน่ว่าจะสามารถรับมือนางได้ แต่ถ้าตัดทักษะเรื่องการยิงลำแสงทั้งสองชนิดนี้ออกไป ความสามารถด้านอื่นๆ ของเด็กสาวก็คงอยู่ในขั้นเซียนระดับหนึ่งเท่านั้น

เมื่อวันก่อน หลินเป่ยเฉินเห็นมากับตาว่ามนุษย์หน้ากากแปดรูซึ่งมีพลังระดับเซียนก้มหัวคำนับเหยียนอิงอย่างนอบน้อม นี่หมายความว่าหมอนั่นอาจเป็นข้ารับใช้คนสนิทของนางก็เป็นได้

เมื่ออ่านข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเด็กสาวบนรถเข็นจบลง หลินเป่ยเฉินก็สามารถระบุได้เลยว่าในสายตาของพวกเกาเฉิงฮั่นต่างก็มองนางเป็นเสี้ยนหนามคนสำคัญไปเรียบร้อยแล้ว

ขอแค่มีโอกาส พวกเขาก็จะต้องสังหารเหยียนอิงอย่างแน่นอน

แต่นางเป็นถึงบุตรสาวของอาจารย์ติงเชียวนะ

หลินเป่ยเฉินคงปล่อยให้ใครฆ่านางไม่ได้เด็ดขาด

ไม่งั้นเขาจะไปสู้หน้าอาจารย์ตัวเองได้อย่างไร

ด้วยเหตุนี้ เด็กหนุ่มจึงพยายามคิดหาวิธีที่ดีกว่า เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข

หลังจากใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย

“อันที่จริงนั้น…”

หลินเป่ยเฉินโยนศิลาอาคมกลับไปให้หลู่เหวินหยวน ก่อนหันหน้ากลับมามองเกาเฉิงฮั่นและพูดว่า “ข้ามีวิธีที่ดีกว่าแผนการของพวกท่านขอรับ เพราะแผนการของข้าก็คือข้าจะไปทำข้อตกลงกับผู้บัญชาการรบเหยียนอิง ให้นางถอนทัพออกจากกำแพงเมืองของเราไปซะ”

“แต่เจ้าจะทำได้อย่างไร?”

เกาเฉิงฮั่นและพรรคพวกมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยแววตาแห่งความคาดหวัง

หลินเป่ยเฉินยิ้มโปรยเสน่ห์ ตอบว่า “ข้าจะทำให้นางหลงรักข้าขอรับ”

“หลงรักเจ้าเนี่ยนะ?”

“หมายความว่าอย่างไรกัน?”

“นั่นมัน…”

เมื่อทุกคนได้ยินคำตอบของหลินเป่ยเฉินต่างก็พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินจึงอธิบายว่า “ทุกคนคงทราบดีว่าข้าคือเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่สุดในนครเจาฮุย เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็โต้เถียงไม่ได้… และถ้ามีใครคิดโต้เถียง ข้าก็จะฆ่ามันด้วยมือของตนเอง”

ทุกคนยังคงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

“พวกท่านคงเห็นด้วยกับข้าแล้วสินะ เหอเหอเหอ ช่างเป็นกลุ่มคนที่มีสายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก… และถ้าข้าอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิเมื่อไหร่ ข้าก็จะกลายเป็นเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่สุดในจักรวรรดิเมื่อนั้น…”

นี่มันตรรกะอะไรกันเนี่ย?

หลายคนหลุดส่งเสียงหัวเราะออกมา แต่ก็ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นแบบยอดนักสืบจิ๋วโคนันและกล่าวต่อ “สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกท่านคงรู้ดีว่าข้ามีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามมากแค่ไหน อิอิ ครั้งนี้แหละข้าจะยอมเสียสละตนเอง แม้อาจจะต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวไปสักหน่อยแต่ข้าก็จะต้องพิชิตใจผู้บัญชาการรบของชาวทะเลให้จงได้ ข้าจะทำให้เหยียนอิงออกคำสั่งถอนทัพกลับไปจากมณฑลเฟิงอวี่ และไม่มาโจมตีพวกเราอีก”

เกาเฉิงฮั่นก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกแล้วเช่นกัน

“เรื่องนี้… มันจะเป็นไปได้จริงหรือ?”

ว่ากันตามตรง แม่ทัพใหญ่รู้สึกว่าคำพูดของหลินเป่ยเฉินดูไม่น่าเชื่อถือเลยแม้แต่นิด

หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อยและตอบว่า “ไม่ลองก็ไม่รู้นะขอรับ แม้แต่อาจารย์หญิงของข้า… เอ๊ย แม้แต่มารดาของเหยียนอิงก็ยังเคยหลงรักมนุษย์หัวปักหัวปำมาแล้ว มันหมายความว่าอย่างไร? มันหมายความว่าความรักที่มีต่อมนุษย์ย่อมอยู่ในพันธุกรรมของนางด้วยเช่นกัน และเหยียนอิงก็ต้องหลงเสน่ห์ของข้าอย่างไม่ต้องสงสัย…”

“พันธุกรรมอย่างนั้นหรือ? มันคืออะไร?” เกาเฉิงฮั่นขมวดคิ้วด้วยความฉงน “เจ้าดูข้อมูลแล้วก็น่าจะรู้นะว่าเหยียนอิงเกลียดชังมือกระบี่ของจักรวรรดิเป่ยไห่ยิ่งกว่าอะไรดี แล้วนางจะมาหลงรักเจ้าได้อย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “พี่ใหญ่เคยได้ยินไหมขอรับว่าความรักชนะทุกอย่าง ยิ่งสตรีบอกว่านางเกลียดท่านมากเท่าไหร่ หากท่านสามารถทำให้นางหันมาสนใจในตัวท่านได้สำเร็จ นางก็จะยิ่งหลงรักท่านมากเท่านั้น และความเกลียดชังก็จะแปรเปลี่ยนไปกลายเป็นความรัก… แต่นี่เป็นทฤษฎีของนักรัก พวกท่านคงไม่เข้าใจ อีกอย่างเบ้าหน้าของพวกท่านก็ยังหล่อเหลาได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของข้าเลยด้วยซ้ำ”

ทุกคนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

ถึงจะรู้สึกหงุดหงิดใจสักเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำพูดของหลินเป่ยเฉินเป็นความจริง

ต้องไม่ลืมว่าคุณชายหลินเคยเป็นเด็กหนุ่มจอมเสเพล ไม่มีใครจะรู้จักวิธีเอาชนะใจสตรีได้มากไปกว่าเขาอีกแล้ว

แม้ว่าบัดนี้เด็กหนุ่มจะกลับตัวกลับใจเป็นคนดี

แต่ในอดีตนั้น เขาเป็นยิ่งกว่าเศษขยะโสโครกด้วยซ้ำไป

ดังนั้น หลินเป่ยเฉินซึ่งมีใบหน้าหล่อเหลา อีกทั้งยังมีพลังอยู่ในขั้นเซียน นิสัยหน้าด้านไร้ยางอาย ก็อาจจะมีวิธีพิชิตใจผู้บัญชาการรบของพวกชาวทะเลก็เป็นได้

บางทีนี่อาจเป็นวิธีที่ดีกว่าจริงๆ กระมัง?

บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ

เกาเฉิงฮั่นพยักหน้าอย่างใช้ความคิด

เขาเป็นยอดฝีมือที่มีพลังอยู่ในขั้นเซียน แต่ไม่ได้มีนิสัยเจ้าสำราญอย่างหลินเป่ยเฉิน ฉะนั้นคำที่จะพูดว่า ‘งั้นลองดูก็ได้’ จึงพูดออกมาได้ไม่ง่ายอย่างที่คิด

แต่เขาก็รู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินคงตัดสินใจได้ด้วยตนเองแล้ว

ไม่แน่ว่ามันอาจประสบผลสำเร็จก็ได้

“จริงด้วยสิขอรับ พี่ใหญ่เกา ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะรบกวนท่านสักนิด”

หลินเป่ยเฉินพูดขึ้นมา

เกาเฉิงฮั่นตอบว่า “อ้อ มีอะไรได้โปรดว่ามา”

หลินเป่ยเฉินหันไปมองคณะผู้ร่วมประชุมรอบโต๊ะทรายและกล่าวว่า “เชิญพวกท่านออกไปก่อน”

ผู้ร่วมวงประชุมพูดอะไรไม่ออก

ทำไมต้องไล่พวกเขาออกไปด้วยนะ?

“ท่านแม่ทัพ ข้าขอตัวก่อน”

หลู่เหวินหยวนเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินนำหน้าออกไปจากห้องประชุม

เพียงพริบตาเดียว ในห้องประชุมก็เหลือแค่หลินเป่ยเฉินกับเกาเฉิงฮั่นสองคนเท่านั้น

“พี่ใหญ่เกา ท่านพอมีคัมภีร์ฝึกพลังจิตติดมืออยู่บ้างหรือไม่ ข้าอยากจะได้คัมภีร์ฝึกพลังจิตที่สามารถใช้งานได้เลยหลังจากฝึกฝนเพียงหนึ่งถึงสองวัน…”

หลินเป่ยเฉินโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างใบหูเกาเฉิงฮั่น

เกาเฉิงฮั่นขมวดคิ้วเข้าหากันทันที

แค่ฝึกวิทยายุทธ์ธรรมดาหลินเป่ยเฉินยังแข็งแกร่งไม่มากพออีกหรือ?

คัมภีร์พลังจิตพวกนี้ เกาเฉิงฮั่นเองก็ฝึกฝนมายาวนานนับสิบปี แล้วจะมอบให้แก่หลินเป่ยเฉินง่ายๆ ได้อย่างไร?

“อยู่ดีๆ ทำไมเจ้าถึงสนใจจะฝึกพลังจิตขึ้นมาล่ะ?”

เกาเฉิงฮั่นถามด้วยความสงสัยใจ

“พอดีวันนี้ข้าพ่ายแพ้ในการต่อสู้พลังจิตกับใครบางคนมาน่ะขอรับ” หลินเป่ยเฉินตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “มันทำให้ข้าได้รู้ตัวว่าตนเองยังมีพลังจิตต่ำต้อย ห่างไกลกับขั้นพลังของตนเองมากเหลือเกิน ดังนั้นข้าจึงอยากเรียนรู้เพิ่มเติมขอรับ”

เมื่อได้ยินดังนั้น เกาเฉิงฮั่นก็พยักหน้าและพูดว่า “ข้าเองก็เห็นเช่นกันว่าจุดอ่อนของเจ้าคือพลังจิต แต่ข้าคิดว่ามันไม่สำคัญ จึงไม่ได้เตือนเจ้าในเรื่องนี้ สุดท้ายก็ปรากฏว่า… การที่เจ้าจะศึกษาวิชาด้านพลังจิตถือเป็นเรื่องดี แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าการฝึกวิชาของผู้ที่อยู่ในขอบเขตพลังขั้นเซียน จะแตกต่างไปจากการฝึกวิชาของผู้ที่อยู่ในขอบเขตพลังทั่วไปโดยสิ้นเชิง”

“สำหรับผู้ที่อยู่ในขอบเขตพลังทั่วไปนั้น ร่างกายจะดูดซับพลังปราณจากสิ่งต่างๆ เมื่อนำมาหลอมรวมในร่างกายก็จะกลายเป็นพลังลมปราณ และสำหรับมือกระบี่หรือผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปนั้น พลังจิตถือว่าไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะสำหรับมือกระบี่ขอแค่มีพลังลมปราณและร่างกายที่แข็งแรงก็พอแล้ว ส่วนการใช้พลังจิตนั้นจะมีบทบาทสำคัญสำหรับผู้ใช้ค่ายอาคม นักเล่นแร่แปรธาตุ และบรรดานักบวชที่ต้องรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่ผู้คนเท่านั้น…”

เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินยังคงรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ เกาเฉิงฮั่นก็อธิบายต่อไปด้วยความยินดี “แต่เมื่อเลื่อนขึ้นมาอยู่ในขอบเขตพลังขั้นเซียน การฝึกวิชาทุกอย่างจะเปลี่ยนไปโดยทันที เพราะการที่คนเราจะเลื่อนขึ้นสู่ขั้นเซียนได้นั้น ร่างกายจะต้องมีความเสมอภาคกันทั้งความแข็งแรงของร่างกาย ระดับพลังลมปราณในร่างกาย และระดับของพลังจิตในร่างกาย”

“เมื่อสามารถเลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตขั้นเซียนได้สำเร็จ พลังเหล่านี้ก็จะอัดแน่นอยู่ในสภาพสมบูรณ์สูงสุด แต่เจ้าสามารถเลือกฝึกได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่าจะทำให้ร่างกายแข็งแกร่งที่สุด ทำให้พลังลมปราณแข็งแกร่งที่สุด หรือจะทำให้พลังจิตแข็งแกร่งที่สุด เพราะการจะทุ่มเทเพิ่มเติมเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ระดับพลังในด้านใดด้านหนึ่งนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมหาศาล และแน่นอนว่าการฝึกพลังเหล่านี้ ไม่มีทางลัดที่สะดวกสบายแม้แต่ทางเดียว”

เกาเฉิงฮั่นยังคงมองหน้าหลินเป่ยเฉินและพูดต่อไป “จากมุมมองของข้า ระดับพลังของเจ้าในขณะนี้สมควรมุ่งเน้นเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่พลังลมปราณจะดีกว่า ส่วนการฝึกฝนด้านพลังจิตถือเป็นเรื่องที่สำคัญรองลงมา และยังไม่มีเหตุจำเป็นอันใดที่เจ้าจะต้องรีบร้อนฝึกฝนมันในตอนนี้”