ตอนที่ 603 พี่ต๋าจี่

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตลอดทางตั้งแต่เชิงเขาจนถึงยอดเขา พวกปีศาจหน้าตาประหลาดทั้งหลายต่างก็พากันคุกเข่าให้พวกนางมาตลอด จนกระทั้งตู๋กูซิงหลันเข้าไปยังในวัง เงาหลังหายลับไปจากสายตาแล้ว พวกปีศาจทั้งหลายจึงค่อยได้สติขึ้นมา 

 

 

พวกมันได้แต่ถอยออกมาปรึกษาหารือกันอย่างไม่ค่อยจะเต็มอกเต็มใจสักเท่าไร 

 

 

พวกมันกำลังครุ่นคิดว่าสาวน้อยเผ่ามนุษย์ผู้นั้นคือตัวอะไรกันแน่ ที่พวกมันไม่เข้าใจก็คือ ทั้งๆที่นางเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง แต่ว่าทำไมในร่างถึงได้มีราศีของผู้ปกครองเผ่าปีศาจได้? 

 

 

แม้แต่เขตอาคมของหุบเขาหมื่นปีศาจก็ไม่ได้มีผลอะไรกับนางทั้งสิ้น 

 

 

สาวน้อยผู้นั้นคือ…. สัตว์ประหลาดกระนั้นรึ! 

 

 

พอคิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้ พวกปีศาจทั้งหลายต่างก็พากันตัวสั่นสะท้านขึ้นมา 

 

 

ท่านเจ้าสำนักเดินอยู่ข้างกายของศิษย์น้อย เขาพลันชะงักฝีเท้า ริมฝีปากแดงขยับ หันไปเอ่ยกับเหล่าปีศาจในหุบเขาหมื่นปีศาจว่า “พวกเจ้าต่างหากที่เป็นตัวสัตว์ประหลาด พวกเจ้าทั้งตระกูลล้วนใช่” 

 

 

ปีศาจทั้งหลาย “…..” 

 

 

ทำไมฟังๆดูแล้วถึงรู้สึกว่าบุรุษผู้นั้นกำลังด่าผู้อื่น แต่พอคิดดูให้ดี ที่เขาพูดมาก็ไม่ผิด 

 

 

พวกมันเดิมทีก็เป็นสัตว์ประหลาดกันทั้งตระกูลอยู่แล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันได้แต่หันไปค้อนหางตาใส่เขารอบหนึ่ง 

 

 

ท่านเจ้าสำนักเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ว่า “พวกมันบอกว่าเจ้าเป็นสัตว์ประหลาด แต่ศิษย์น้อยเจ้าไม่ใช่ ข้าไม่อนุญาตให้พวกมันว่ากล่าวเจ้าเช่นนั้น” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “หา?” 

 

 

นางยิ่งทีก็ยิ่งไม่ค่อยเข้าใจประเด็นของฉุยซือเสียแล้ว? 

 

 

พูดกันตามจริงแล้วนะ ฉุยซือ หากเจ้าเป็นคนแบบนี้ระวังจะไม่มีสหายเอานะ รู้หรือไม่? 

 

 

ฟ่านอิงที่ยืนอยู่อีกด้าน ไม่รู้ว่าทำไม ถึงได้รู้สึกปวดฟันขึ้นมา 

 

 

เขาเองก็เคยรักคนผู้หนึ่งอย่างลึกซึ้งมาก่อน เขารู้ดีว่าเมื่อบุรุษเกิดจิตปฏิพันธ์ ก็จะไม่ยอมให้มีเม็ดทรายใดๆอยู่ในสายตา 

 

 

เจ้าสำนักหยินหยางจะใช่จีเฉวียนหรือไม่ เนื่องเพราะเคยใช้เหล็กแหลมพิสูจน์เลือดไปแล้ว เขาจึงมีความมั่นใจอยู่ถึงเจ็ดแปดส่วน 

 

 

แต่เพราะว่าเห็นแก่หน้าของแม่หนูน้อย ช่วงนี้จึงยังมิได้ไปหาเรื่องเขาก็เท่านั้น 

 

 

พอเห็นการกระทำของเขาในตอนนี้ ฟ่านอิงก็อดไม่ได้ที่จะคิดไปว่า หากว่าเขาคือจีเฉวียนขึ้นมาจริงๆ…..เช่นนั้นตนเองควรจะทำเช่นไร 

 

 

ฆ่าเขาทิ้งไป…..แม่หนูน้อยก็คงจะต้องเสียใจ 

 

 

หากไม่ฆ่าเขา….ความเคียดแค้นในใจของเขาก็ไม่มีวันได้ชำระ ต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้เรื่อยไป 

 

 

ที่จริงแล้วเขามีวิธีจัดการที่รวบรัดชัดเจนอยู่แล้ว แต่เพราะความขัดแย้งในใจ ดังนั้นแม้แต่วิธีนี้ก็ยังไม่ได้นำออกมาใช้ 

 

 

ตอนนี้เขาชักจะหวาดกลัวที่จะได้รู้ผลลัพธ์เสียแล้ว 

 

 

………….. 

 

 

ขณะที่ฟ่านอิงกวาดตามองไปนั้น ท่านเจ้าสำนักก็หันมามองพอดีเช่นกัน 

 

 

เขาชำนาญการใช้วิชาอ่านใจ เนื่องเพราะไม่เคยไว้วางใจฟ่านอิง ดังนั้นตั้งแต่ที่ฟ่านอิงร่วมทางกับพวกเขา ท่านเจ้าสำนักก็ใช้วิชาอ่านใจมาโดยตลอด 

 

 

ยังดีที่ ตลอดทางฟ่านอิงไม่ได้คิดอะไรมากมาย 

 

 

ความคิดที่มีอยู่ในตอนนี้ เกรงว่าจะมีแต่เรื่องฝ่าฟันอุปสรรคและจะต้องฮึกเหิมห้าวหาญอย่างไรเท่านั้น 

 

 

แต่ในขณะเดียวกัน อยู่ๆในใจของเขาก็มีแผนการอย่างหนึ่งขึ้นมา 

 

 

ทั้งสองต่างก็จมอยู่ในห้วงความคิดของตน มีแต่ตู๋กูซิงหลันเพียงผู้เดียวที่ห่วงใยพี่ชายผู้ปากมากของตนเอง 

 

 

นับตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในหุบเขาหมื่นปีศาจ ก็รู้สึกได้ถึงไอปีศาจที่เข้มข้นบนภูเขา 

 

 

พอมาถึงยอดเขา ถึงแม้ว่าจะมีแหวนที่ซูเยาให้นางเอาไว้คอยคุ้มครองอยู่ แต่ว่าก็ยังคงรู้สึกได้ว่ามีกลิ่นอายของปีศาจที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งสะกดข่มจนทำให้ผู้คนแทบจะหายใจไม่ออก 

 

 

ไอปีศาจกับไอของจิตวิญญาณนั้นมีความแตกต่างกัน 

 

 

ไอจิตวิญญาณค่อนไปทางนุ่มนวล มีประโยชน์มนุษย์สามารถนำไปใช้สอย 

 

 

ในขณะที่ไอปีศาจค่อนไปทางก้าวร้าว และรุนแรงมากกว่า 

 

 

หากมนุษย์สัมผัสถูก จะให้ความรู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทง ไม่เพียงเท่านั้น มันยังสามารถแทรกซึมเข้าไปในร่างกายมนุาย์ ทำลายอวัยะภายใน จนทำให้เกิดอันตรายได้ 

 

 

ไอปีศาจบนร่างของซูเยาย่อมรุนแรง แต่แน่นอนเลยว่าปีศาจอีกตนหนึ่งที่อยู่ในตำหนักแห่งนี้ยังแข็งแกร่งกว่าซูเยาหลายต่อหหลายเท่า 

 

 

ท่านเจ้าสำนักเดินนำไปด้านหน้า ระบบอ่านใจของเขายังไม่ได้ปิดตัวลง จึงสามารถดักจับความคิดในใจของศิษย์น้อยได้ 

 

 

ดังนั้นจึงเอ่ยปากออกมาว่า 

 

 

“เจ้าจิ้งจอกตัวนั้นเคยพูดเอาไว้ว่า เขามีพี่สาวอยู่คนหนึ่ง นามว่า….” 

 

 

ท่านเจ้าสำนักคิดย้อนกลับไป คิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยเอ่ยขึ้นมา 

 

 

“ต๋าจี่” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “ว่าอะไรนะ? ซูต๋าจี่หรือ?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันแปลกใจขึ้นมา…….แม่เจ้า จริงรึ นางรู้สึกว่าตนเองมาผิดเรื่องไปหรือเปล่า 

 

 

หากว่าจำได้ไม่ผิดละก็ ต๋าจี่สมควรจะอยู่โลกปัจจุบันมิใช่หรือ? 

 

 

ตามประวัติศาสตร์ของโลกปัจจุบัน ซูต๋าจี่ คือนางปีศาจตนแรกที่ได้ชื่อว่าล่มบ้านล่มเมือง อ้ายย่าห์ หญิงงามอันดับหนึ่งในโลกหล้า! 

 

 

ที่แท้เป็นพี่สาวของเจ้าจิ้งจอกน้อย? 

 

 

คิดๆดูแล้ว ขนาดตัวนางยังวิ่งกลับไปกลับมาระหว่างมิติของโลกปัจจุบันและโลกอดีตได้ คุณพี่ต๋าจี่จะไปมาสักรอบก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกประหลาดอันใด 

 

 

ท่านเจ้าสำนักเห็นนางตื่นตะลึงถึงเพียงนี้ ก็ทบทวนความทรงจำอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เจ้าจิ้งจอกประหลาดนั้นแซ่ซู….พี่สาวของมันก็สมควรจะแซ่ซู นามว่าซูต๋าจี่ ไม่ผิดแน่นอน” 

 

 

ท่านเจ้าสำนักทั้งรับผิดชอบและเอาจริงเอาจังอยู่เสมอ ข่าวสารที่ส่งให้กับศิษย์น้อยแน่นอนว่าต้องถูกต้องไร้ข้อผิดพลาด 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…..” 

 

 

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆนางก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา 

 

 

ตื่นเต้นที่จะได้พบกับ…..คนในตำนาน ไอดอลที่ชื่นชมบูชา 

 

 

นางชะงักฝีเท้า สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็คลำไปบนเสื้อผ้าตามลำตัว 

 

 

ท่านเจ้าสำนัก “ศิษย์น้อย หาอะไรอยู่หรือ?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “สมุดเล่มเล็กๆ….อยากให้ไอดอลเซ็นชื่อให้….” 

 

 

ท่านเจ้าสำนัก “ไอดอลคืออะไร?” 

 

 

เขาถามพลาง ก็หยิบที่เก็บของของตนเองขึ้นมาเปิดดู 

 

 

สมุดเล่มเล็กๆ ปกติก็ไม่ใช่สิ่งที่คนที่โตแล้วจะใช้กัน 

 

 

เซ็นชื่อคือะไร……ก่อนหน้านี้เขายังไม่มีแม้แต่ชื่อของตนเองเลย แน่นอนว่าต้องไม่เคยเซ็นชื่อมาก่อน 

 

 

“ไอดอลก็คือคนที่เราชื่นชอบชื่นชมอย่างยิ่ง” ตู๋กูซิงหลันทำตาหยี คิดอยู่ครู่หนึ่ง สมุดเล่มเล็กๆนางย่อมไม่มีอยู่แล้ว 

 

 

อีกสักครู่พอได้พบพี่ต๋าจี่ ก็ค่อยขอให้นางเขียนชื่อลงบนเสื้อของตนเอง เกรงว่าราคาคงต้องกลายเป็นแพงระยับ สะท้านสะเทือนโลกอย่างแน่นอน! 

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ ตู๋กูซิงหลันก็เหลือบมองดูเสื้อผ้าของตนเอง ราวกับว่าได้เห็นตั๋วเงินเดินได้ขึ้นมา 

 

 

ดังนั้นจึงอดไม่ไหวต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังกระตุกแขนเสื้อของเจ้าจิ้งจอกน้อยจ่าฝูง “เร็วๆเข้า พวกเรารีบไปขอเข้าพบพี่ต๋าจี่กันก่อน” 

 

 

เจ้าจิ้งจอกน้อยหันกลับมาเห็นแววตาที่เปล่งประกายสีทองระยิบระยับของนาง ก็ขนลุกขนพองขึ้นมา 

 

 

สวรรค์ทรงโปรดเถอะ แววตานั่น ช่างละโมบโลภมากยิ่งนัก อย่างกับตัวมันเองตอนได้เห็นเนื้อติดมันก็ไม่ปาน 

 

 

มันผวาจนตกใจขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าไต่ถามอะไรให้มากความ 

 

 

เมื่อพลังอันยิ่งใหญ่ของเจ้าแห่งปีศาจที่อยู่กับนางกดดันลงไปที่มัน มันย่อมไม่กล้าขัดขืนอยู่แล้ว 

 

 

จึงได้แต่พาตู๋กูซิงหลันเข้าไปในตำหนักด้วยความเชื่อฟัง 

 

 

วังของหุบเขาหมื่นปีศาจ เป็นตำหนักโดดเดี่ยวหลังเดียวบนยอดเขาที่สูงที่สุด เหล่าปีศาจที่รับใช้อยู่ภายในวังมีไม่มาก เห็นเพียงเงาผ่านไปผ่านมาแค่แวบๆเท่านั้น 

 

 

ยิ่งตู๋กูซิงหลันเข้าไปใกล้ตำหนักหนัก ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงไอปีศาจที่แข็งแกร่ง ที่แทบจะบาดลงไปในผิวเนื้อ 

 

 

พอเจ้าปีศาจจิ้งจอกพาพวกนางมาถึงหน้าประตูใหญ่ ก็ไม่กล้าเข้าไปข้างในแล้ว 

 

 

“องค์ราชินีทรงประทับอยู่ด้านใน พวกเจ้าเข้าไปเองเถอะ ข้าไม่กล้า” 

 

 

ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า องค์ราชินีทรงงดงามล้ำเลิศ หากแต่พระอารมณ์เลวร้ายอยู่เสมอ แม้แต่คนในเผ่าเดียวกันก็ไม่เคยไว้หน้า 

 

 

ดังนั้นทุกคนจึงพากันหวาดกลัวนาง ทั้งเคารพและยำเกรง 

 

 

…………………..