ซูเยาพูดพลางก็ยกสองนิ้วขึ้นมาทำท่าราวกับกล่าวคำสาบานอย่างไรอย่างนั้น
ต๋าจี่มองดูเขาแวบหนึ่ง จากการแสดงออกของนางดูไม่ออกเลยว่านางมีน้ำใจต่อน้องชายที่โง่เขลาเพียงนี้สักเท่าไร
เพราะแม้แต่ดวงตาที่แสนจะงดงามคู่นั้นก็ยังทอแววรังเกียจเดียดฉันท์
“รั้งตัวคนเอาไว้ก็ไม่อาจรั้งใจคนได้อยู่ดี โง่จริงๆ!”
นางเอ่ยเสียงเย็นชา พลางสะบัดมือเสียงดังพรึ่บพรั่บ สะกิดปลายเท้าขึ้นมา คนก็เหาะออกไปด้านนอกทั้งตัวแล้ว
“ขอบพระคุณอาเจ้ที่ส่งเสริม!” ซูเยาประคองมือคำนับแผ่นหลังของนาง ด้วยท่าทางที่ซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง
ตู๋กูซิงหลันเคยรู้จักแต่ซูเยาที่วางท่าหยิ่งทนงอยู่เสมอ เมื่ออยู่ต่อหน้าต๋าจี่ที่เป็นพี่สาวจึงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นซูเยาทำตนเป็นน้องชาย
ท่านเจ้าสำนักไม่สนใจแม้แต่จะเหลือบแลเงาหลังของต๋าจี่เสียด้วยซ้ำ
เขาก้าวเท้าไปที่ข้างกายศิษย์น้อย มองดูร่องรอยบอบช้ำบนลำคอของนาง สายตาก็มืดครึ้มลงไปอีกหลายส่วน
ฟ่านอิงกลับหันไปมองดูทิศทางที่ต๋าจี่เหาะจากไปแวบหนึ่ง
เมื่อครู่พอได้ยินต๋าจี่เอ่ยถึง ‘ฝ่ายนั้น’ และ‘เขา’ ขึ้นมา ฟ่านอิงก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร
“อาหลัน! ข้าคิดถึงเจ้ามากเลย!” ยามนี้ ซูเยาถึงได้กางสองแขนออกกว้าง คิดจะกอดตู๋กูซิงหลันให้เต็มรัก
ตู๋กูซิงหลันไม่ได้หลบ แต่เพราะถูกท่านเจ้าสำนักดึงไปด้านข้างอย่างกระทันหัน ร่างจึงไหววูบด้วยความเร็วไวแสงราวกระพริบตา
ซูเยาก็เปลี่ยนทิศทางหันตามไป
โผเข้าไปกอดรัดเอาไว้อย่างเต็มที่
อืม ร่างที่อยู่ในอ้อมแขนเย็นยะเยือกไปทั้งตัว แม่เอ๋ยตัวเย็นราวกับเป็นศพ
พอลืมตามองขึ้นมา ก็พึ่งจะได้เห็นว่าเขาถึงกับกอดจีต้าฉุยเข้าไปเสียเต็มเปา!
ท่านเจ้าสำนักตัวสูงกว่าซูเยา แลดูเหมือนจะผอม แต่ที่จริงก็บึกบึนพอควร
พอกอดลงไป ก็มีแต่อะไรแข็งๆ
ท่านเจ้าสำนักหลุบตาลง ดวงหน้าที่เดิมไร้อารมณ์ตอนนี้แสดงสีหน้าปฏิเสธอย่างชัดเจน
“บุรุษสตรีไม่อาจใกล้ชิด”
ซูเยา “เจ้ามันไม่ใช่สตรีเสียหน่อย!”
ตอนนี้เขาขยะแขยงเสียจนแทบจะอยากตัดกรงเล็บจิ้งจอกของตนเองทิ้งไปแล้วด้วยซ้ำ!
ท่านเจ้าสำนัก “บุรุษกับบุรุษก็ไม่อาจใกล้ชิดด้วยเช่นกัน เจ้าอย่าได้มาคิดเพ้อฝันกับข้า ข้าไม่คิดจะสนใจเจ้า”
ซูเยา “++!”
ตู๋กูซิงหลันที่อยู่ด้านข้างถึงกับตกตะลึงไปแล้ว
อาจารย์ต้าฉุยก็เป็นคนมีมุขขำขันหรือนี่?
เห็นซูเยาที่โกรธแค้นจนแทบจะกระอักเลือด ตู๋กูซิงหลันก็ต้องรู้สึกเห็นใจขึ้นมาอย่างเงียบๆ
“อาหลัน….”
ซูเยารีบหันไปหาอาหลัน ด้วยแววตาทอประกายของร้อง
ที่สื่อความหมายอย่างชัดเจนราวกับจะบอกว่า ‘ต้าฉุยผู้นั้น เขารังแกข้าอีกแล้ว’
ตู๋กูซิงหลันยกมือขึ้นมา คิดจะลูบไล้ขนปุกปุยบนศีรษะของเขา ท่านเจ้าสำนักก็ดึงคนถอยกลับไปใกล้ๆในทันที
“ศิษย์น้อย…..”
สีหน้าของเขาเรียบเฉย แต่ว่าน้ำเสียงกลับสามารถเรียนรู้มาจากซูเยาอยู่หลายส่วน
นั้นเป็นน้ำเสียงที่แฝงความออดอ้อนเอาไว้
ตู๋กูซิงหลัน “! ! !” จะว่าอย่างไรดี ชั่ววินาทีนั้น อยู่ๆนางก็รู้สึกกลัวจนขนลุกขึ้นมาครึ่งร่าง
ต่างก็เป็นยอดบุรุษโฉมงามเหมือนกัน ยามที่ซูเยาทำท่าออดอ้อนไปบ้าง ก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เห็นอยู่บ่อยๆ
แต่ว่ายามที่ท่านเจ้าสำนักหยินหยางทำขึ้นมาบ้างนั้น ภาพที่ได้เห็นยังดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าหนังผีเสียอีก!”
ท่านเจ้าสำนักชักจะเริ่มสงสัยในตัวเองขึ้นมาเสียแล้ว เขายังหน้าตาน่ากลัวกว่าผีสางอีกหรือ? ถึงได้ทำให้ศิษย์น้อยตกใจถึงเพียงนั้น?
สมควรจะกลับกันมากกว่า ซูเยาต่างหากที่หน้าตาเหมือนผี
เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านเจ้าสำนักจึงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ศิษย์น้อย เจ้ารู้สึกว่าอาจารย์ไม่น่าดูกระนั้นหรือ?”
ตู๋กูซิงหลันขนลุกซู่ยังไม่ยอมหาย ก็เห็นท่านเจ้าสำนักกระพริบตาปริบๆ
แต่ท่าทางเช่นนั้น มองดูก็รู้ว่าเขาพยายามเล่นหูเล่นตา แต่ก็ทำได้ไม่สำเร็จ
นางรู้สึกว่าโลกนี้มีภาพหลอนหรือเปล่า
หรือว่าบนหุบเขาหมื่นปีศาจจะมีอาถรรพ์อะไรบ้างอย่าง ดูสิ ท่านเจ้าสำนักตอนนี้….อยู่ๆก็เหมือนถูกผีเข้า
ท่านเจ้าสำนัก “……”
ช่างเถอะ สมองของศิษย์น้อยเหมือนทำมาจากท่อนซุง ให้คิดอย่างไรก็คงคิดไม่ออก!
ในหัวใจมีแต่ความหงุดหงิด จนต้องปิดวิชาอ่านใจทิ้ง
เพราะเกรงว่าหากยังอ่านใจของศิษย์น้อยต่อไป มีหวังต้องถูกนางยั่วโมโหจนโกรธตาย!
ตู๋กูซิงหลันต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งถึงได้สามารถสงบศึกระหว่างท่านเจ้าสำนักกับซูเยาลงได้
จากนั้นก็รีบเปลี่ยนหัวข้ออย่างว่องไวว่า
“เอาละเอาละ พวกเรามาพูดเรื่องสำคัญกันดีกว่า”
ท่านพี่ต๋าจี่เหาะไปแล้ว ช่วงระยะสั้นๆคงยังหาตัวไม่พบ ตู๋กูซิงหลันถึงค่อยคิดขึ้นมาได้ว่าพี่รองที่ปากมากของตนนั้นนอนรออยู่ที่นี่ จึงได้หันไปถามซูเยา
ด้านนอกประตู ตู๋กูเจวี๋ยที่เจ็บปวดจนสลบไปหลายครั้ง ตอนนี้ถึงกับดีใจซาบซึ้งจนน้ำตาไหลพราก
ในที่สุดน้องเล็กก็จำได้แล้วใช่ไหม? ว่าในโลกนี้ นางยังมีพี่ชายอย่างเขาอยู่คนหนึ่ง
ฮือ ฮือ ฮือ ดีใจเหลือเกิน อยากจะร้องไห้แล้ว
เจ้าปีศาจสุนัขน้อยจึงได้ค่อยๆลากตู๋กูเจวี๋ยที่จะตายแหล่มิตายแหล่เข้ามา
ตู๋กูซิงหลันเห็นพี่รองของตนเอง ก็รีบขยับเข้าไปหา ยื่นมือไปรับตัวเขามาจากเจ้าสุนัขปีศาจน้อย
นางรู้จักจับชีพจรอยู่บ้าง จึงถือโอกาศนี้จับชีพจรไปพร้อมกัน
ชีพจรไม่ค่อยสม่ำเสมอ ไหลสะดุดอยู่ตลอดเวลา พิษที่รุนแรงนั้นถูกสกัดเอาไว้ในเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปด ตอนนี้ยังมิได้กำเริบออกมาแต่อย่างใด
ต้องขอบคุณบิดาคนงามที่มอบร่างกายที่แข็งแกร่งเพียงนี้ให้กับเขา
หากว่าพี่รองเป็นเพียงแค่คนธรรมดาผู้หนึ่ง เกรงว่าคงเน่าตายไปตั้งนานแล้ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าพิษนี้จะสามารถยับยั้งเอาไว้ได้นานแค่ไหน หากว่ากำเริบขึ้นมาอีกครั้ง เกรงว่าร่างกายที่เป็นสายเลือดมังกรทมิฬเพียงครึ่งเดียวคงจะต้านทานไม่อยู่
ตู๋กูซิงหลันย่อมทั้งห่วงและกังวลใจ
“อาหลัน ไปพูดคุยกับพี่ชายเจ้าที่ตำหนักของข้าเถอะ ตำหนักหลักหนาวเย็นเกินไป จะทำให้เจ้าไม่สบายเปล่าๆ”
ซูเยาพยายามทำให้นางรู้ถึงการคงอยู่ของตัวเขาอยู่ตลอดเวลา
ถึงจะเป็นตัวสำรอง ก็ต้องมีคุณค่าของตัวสำรองไม่แน่ว่าอาจจะสร้างความรู้สึกดีๆเพิ่มขึ้นมาก็เป็นได้ ถึงตอนนั้นจะได้เปลี่ยนจากตัวสำรองเป็นตัวจริง
ในใจของซูเยายังคงมีความหวังอยู่ แม้จะเป็นเพียงเส้นบางๆ
ตู๋กูซิงหลันเห็นแก่ที่ร่างกายของพี่รองกำลังอ่อนแอไม่อาจต้านทานแรงลม ในตำหนักหลังนี้ก็ยังมีไอปีศาจรุนแรงไม่เป็นผลดีต่อมนุษย์ พี่รองถูกพิษ สถานที่เช่นนี้ไม่ควรอยู่นานเกินไป
ตู๋กูซิงหลันมิได้ปฏิเสธ นางแบกพี่รองของตนเองขึ้นมา
เหล่าบุรุษทั้งหลาย “…….”
พวกเขาล้วนไม่ทันได้ห้ามปราม ก็เห็นตู๋กูซิงหลันแบกตู๋กูเจวี๋ยติดตามซูเยาไปแล้ว
ซูเยาเห็นจนไม่รู้สึกแปลกใจอีกต่อไป เขารู้จักอุปนิสัยของตู๋กูซิงหลันเป็นอย่างดี ทั้งเขายังไม่เข้าไปช่วยอุ้มตู๋กูเจวี๋ยอีกด้วย
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะอุ้ม….
อืม ชั่วชีวิตนี้คนเดียวที่เขาอยากจะอุ้มก็คือตู๋กูซิงหลันเท่านั้น
ท่านเจ้าสำนักปวดตา และก็ยังปวดใจ
ได้แต่ต้องโทษที่ศิษย์ของตนเองแข็งแกร่งเกินไป ถึงจะแบกบุรุษที่หนักหนึ่งร้อยสี่สิบห้าสิบชั่ง ก็ยังสบายๆราวกับหิ้วไก่ตัวหนึ่ง
มีบางครั้ง ที่เขาอยากจะให้ศิษย์น้อยมาพึ่งพาตนเองมากกว่านี้หน่อย
แต่พอคิดๆดูแล้ว ตัวเขาเองเป็นใครตนเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
ช่วงนี้อาการที่เปลี่ยนเป็นกระดูกขาวกำเริบรุนแรงกว่าเดิม แล้วเขาจะเอาอะไรไปเป็นที่พึ่งให้กับศิษย์น้อย?
หากนางรู้จักเข้มแข็งด้วยตนเอง ว่าไปแล้วก็นับว่าดีไม่น้อย
เผื่อวันหนึ่งเขาไม่อยู่อีกต่อไป ใต้หล้านี้ก็ไม่มีใครที่จะรังแกนางได้
………………………….
ตำหนักของซูเยา
รูปแบบการตกแต่งดูแล้วแทบจะไม่มีสิ่งใดที่แตกต่างไปจากตำหนักหย่งเฉิงอ๋องเลย
พอตู๋กูซิงหลันเดินเข้าไป ก็ให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับไปยังต้าโจวอีกครั้ง
…………………..