ตอนที่ 607 ทั้งปวดตา และปวดใจ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ซูเยาพูดพลางก็ยกสองนิ้วขึ้นมาทำท่าราวกับกล่าวคำสาบานอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

ต๋าจี่มองดูเขาแวบหนึ่ง จากการแสดงออกของนางดูไม่ออกเลยว่านางมีน้ำใจต่อน้องชายที่โง่เขลาเพียงนี้สักเท่าไร 

 

 

เพราะแม้แต่ดวงตาที่แสนจะงดงามคู่นั้นก็ยังทอแววรังเกียจเดียดฉันท์ 

 

 

“รั้งตัวคนเอาไว้ก็ไม่อาจรั้งใจคนได้อยู่ดี โง่จริงๆ!” 

 

 

นางเอ่ยเสียงเย็นชา พลางสะบัดมือเสียงดังพรึ่บพรั่บ สะกิดปลายเท้าขึ้นมา คนก็เหาะออกไปด้านนอกทั้งตัวแล้ว 

 

 

“ขอบพระคุณอาเจ้ที่ส่งเสริม!” ซูเยาประคองมือคำนับแผ่นหลังของนาง ด้วยท่าทางที่ซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเคยรู้จักแต่ซูเยาที่วางท่าหยิ่งทนงอยู่เสมอ เมื่ออยู่ต่อหน้าต๋าจี่ที่เป็นพี่สาวจึงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นซูเยาทำตนเป็นน้องชาย 

 

 

ท่านเจ้าสำนักไม่สนใจแม้แต่จะเหลือบแลเงาหลังของต๋าจี่เสียด้วยซ้ำ 

 

 

เขาก้าวเท้าไปที่ข้างกายศิษย์น้อย มองดูร่องรอยบอบช้ำบนลำคอของนาง สายตาก็มืดครึ้มลงไปอีกหลายส่วน 

 

 

ฟ่านอิงกลับหันไปมองดูทิศทางที่ต๋าจี่เหาะจากไปแวบหนึ่ง 

 

 

เมื่อครู่พอได้ยินต๋าจี่เอ่ยถึง ‘ฝ่ายนั้น’ และ‘เขา’ ขึ้นมา ฟ่านอิงก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร 

 

 

“อาหลัน! ข้าคิดถึงเจ้ามากเลย!” ยามนี้ ซูเยาถึงได้กางสองแขนออกกว้าง คิดจะกอดตู๋กูซิงหลันให้เต็มรัก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่ได้หลบ แต่เพราะถูกท่านเจ้าสำนักดึงไปด้านข้างอย่างกระทันหัน ร่างจึงไหววูบด้วยความเร็วไวแสงราวกระพริบตา 

 

 

ซูเยาก็เปลี่ยนทิศทางหันตามไป 

 

 

โผเข้าไปกอดรัดเอาไว้อย่างเต็มที่ 

 

 

อืม ร่างที่อยู่ในอ้อมแขนเย็นยะเยือกไปทั้งตัว แม่เอ๋ยตัวเย็นราวกับเป็นศพ 

 

 

พอลืมตามองขึ้นมา ก็พึ่งจะได้เห็นว่าเขาถึงกับกอดจีต้าฉุยเข้าไปเสียเต็มเปา! 

 

 

ท่านเจ้าสำนักตัวสูงกว่าซูเยา แลดูเหมือนจะผอม แต่ที่จริงก็บึกบึนพอควร 

 

 

พอกอดลงไป ก็มีแต่อะไรแข็งๆ 

 

 

ท่านเจ้าสำนักหลุบตาลง ดวงหน้าที่เดิมไร้อารมณ์ตอนนี้แสดงสีหน้าปฏิเสธอย่างชัดเจน 

 

 

“บุรุษสตรีไม่อาจใกล้ชิด” 

 

 

ซูเยา “เจ้ามันไม่ใช่สตรีเสียหน่อย!” 

 

 

ตอนนี้เขาขยะแขยงเสียจนแทบจะอยากตัดกรงเล็บจิ้งจอกของตนเองทิ้งไปแล้วด้วยซ้ำ! 

 

 

ท่านเจ้าสำนัก “บุรุษกับบุรุษก็ไม่อาจใกล้ชิดด้วยเช่นกัน เจ้าอย่าได้มาคิดเพ้อฝันกับข้า ข้าไม่คิดจะสนใจเจ้า” 

 

 

ซูเยา “++!” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันที่อยู่ด้านข้างถึงกับตกตะลึงไปแล้ว 

 

 

อาจารย์ต้าฉุยก็เป็นคนมีมุขขำขันหรือนี่? 

 

 

เห็นซูเยาที่โกรธแค้นจนแทบจะกระอักเลือด ตู๋กูซิงหลันก็ต้องรู้สึกเห็นใจขึ้นมาอย่างเงียบๆ 

 

 

“อาหลัน….” 

 

 

ซูเยารีบหันไปหาอาหลัน ด้วยแววตาทอประกายของร้อง 

 

 

ที่สื่อความหมายอย่างชัดเจนราวกับจะบอกว่า ‘ต้าฉุยผู้นั้น เขารังแกข้าอีกแล้ว’ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยกมือขึ้นมา คิดจะลูบไล้ขนปุกปุยบนศีรษะของเขา ท่านเจ้าสำนักก็ดึงคนถอยกลับไปใกล้ๆในทันที 

 

 

“ศิษย์น้อย…..” 

 

 

สีหน้าของเขาเรียบเฉย แต่ว่าน้ำเสียงกลับสามารถเรียนรู้มาจากซูเยาอยู่หลายส่วน 

 

 

นั้นเป็นน้ำเสียงที่แฝงความออดอ้อนเอาไว้ 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “! ! !” จะว่าอย่างไรดี ชั่ววินาทีนั้น อยู่ๆนางก็รู้สึกกลัวจนขนลุกขึ้นมาครึ่งร่าง 

 

 

ต่างก็เป็นยอดบุรุษโฉมงามเหมือนกัน ยามที่ซูเยาทำท่าออดอ้อนไปบ้าง ก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เห็นอยู่บ่อยๆ 

 

 

แต่ว่ายามที่ท่านเจ้าสำนักหยินหยางทำขึ้นมาบ้างนั้น ภาพที่ได้เห็นยังดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าหนังผีเสียอีก!” 

 

 

ท่านเจ้าสำนักชักจะเริ่มสงสัยในตัวเองขึ้นมาเสียแล้ว เขายังหน้าตาน่ากลัวกว่าผีสางอีกหรือ? ถึงได้ทำให้ศิษย์น้อยตกใจถึงเพียงนั้น? 

 

 

สมควรจะกลับกันมากกว่า ซูเยาต่างหากที่หน้าตาเหมือนผี 

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านเจ้าสำนักจึงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ศิษย์น้อย เจ้ารู้สึกว่าอาจารย์ไม่น่าดูกระนั้นหรือ?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันขนลุกซู่ยังไม่ยอมหาย ก็เห็นท่านเจ้าสำนักกระพริบตาปริบๆ 

 

 

แต่ท่าทางเช่นนั้น มองดูก็รู้ว่าเขาพยายามเล่นหูเล่นตา แต่ก็ทำได้ไม่สำเร็จ 

 

 

นางรู้สึกว่าโลกนี้มีภาพหลอนหรือเปล่า 

 

 

หรือว่าบนหุบเขาหมื่นปีศาจจะมีอาถรรพ์อะไรบ้างอย่าง ดูสิ ท่านเจ้าสำนักตอนนี้….อยู่ๆก็เหมือนถูกผีเข้า 

 

 

ท่านเจ้าสำนัก “……” 

 

 

ช่างเถอะ สมองของศิษย์น้อยเหมือนทำมาจากท่อนซุง ให้คิดอย่างไรก็คงคิดไม่ออก! 

 

 

ในหัวใจมีแต่ความหงุดหงิด จนต้องปิดวิชาอ่านใจทิ้ง 

 

 

เพราะเกรงว่าหากยังอ่านใจของศิษย์น้อยต่อไป มีหวังต้องถูกนางยั่วโมโหจนโกรธตาย! 

 

 

ตู๋กูซิงหลันต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งถึงได้สามารถสงบศึกระหว่างท่านเจ้าสำนักกับซูเยาลงได้ 

 

 

จากนั้นก็รีบเปลี่ยนหัวข้ออย่างว่องไวว่า 

 

 

“เอาละเอาละ พวกเรามาพูดเรื่องสำคัญกันดีกว่า” 

 

 

ท่านพี่ต๋าจี่เหาะไปแล้ว ช่วงระยะสั้นๆคงยังหาตัวไม่พบ ตู๋กูซิงหลันถึงค่อยคิดขึ้นมาได้ว่าพี่รองที่ปากมากของตนนั้นนอนรออยู่ที่นี่ จึงได้หันไปถามซูเยา 

 

 

ด้านนอกประตู ตู๋กูเจวี๋ยที่เจ็บปวดจนสลบไปหลายครั้ง ตอนนี้ถึงกับดีใจซาบซึ้งจนน้ำตาไหลพราก 

 

 

ในที่สุดน้องเล็กก็จำได้แล้วใช่ไหม? ว่าในโลกนี้ นางยังมีพี่ชายอย่างเขาอยู่คนหนึ่ง 

 

 

ฮือ ฮือ ฮือ ดีใจเหลือเกิน อยากจะร้องไห้แล้ว 

 

 

เจ้าปีศาจสุนัขน้อยจึงได้ค่อยๆลากตู๋กูเจวี๋ยที่จะตายแหล่มิตายแหล่เข้ามา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเห็นพี่รองของตนเอง ก็รีบขยับเข้าไปหา ยื่นมือไปรับตัวเขามาจากเจ้าสุนัขปีศาจน้อย 

 

 

นางรู้จักจับชีพจรอยู่บ้าง จึงถือโอกาศนี้จับชีพจรไปพร้อมกัน  

 

 

ชีพจรไม่ค่อยสม่ำเสมอ ไหลสะดุดอยู่ตลอดเวลา พิษที่รุนแรงนั้นถูกสกัดเอาไว้ในเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปด ตอนนี้ยังมิได้กำเริบออกมาแต่อย่างใด 

 

 

ต้องขอบคุณบิดาคนงามที่มอบร่างกายที่แข็งแกร่งเพียงนี้ให้กับเขา 

 

 

หากว่าพี่รองเป็นเพียงแค่คนธรรมดาผู้หนึ่ง เกรงว่าคงเน่าตายไปตั้งนานแล้ว 

 

 

เพียงแต่ไม่รู้ว่าพิษนี้จะสามารถยับยั้งเอาไว้ได้นานแค่ไหน หากว่ากำเริบขึ้นมาอีกครั้ง เกรงว่าร่างกายที่เป็นสายเลือดมังกรทมิฬเพียงครึ่งเดียวคงจะต้านทานไม่อยู่ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันย่อมทั้งห่วงและกังวลใจ 

 

 

“อาหลัน ไปพูดคุยกับพี่ชายเจ้าที่ตำหนักของข้าเถอะ ตำหนักหลักหนาวเย็นเกินไป จะทำให้เจ้าไม่สบายเปล่าๆ” 

 

 

ซูเยาพยายามทำให้นางรู้ถึงการคงอยู่ของตัวเขาอยู่ตลอดเวลา 

 

 

ถึงจะเป็นตัวสำรอง ก็ต้องมีคุณค่าของตัวสำรองไม่แน่ว่าอาจจะสร้างความรู้สึกดีๆเพิ่มขึ้นมาก็เป็นได้ ถึงตอนนั้นจะได้เปลี่ยนจากตัวสำรองเป็นตัวจริง 

 

 

ในใจของซูเยายังคงมีความหวังอยู่ แม้จะเป็นเพียงเส้นบางๆ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเห็นแก่ที่ร่างกายของพี่รองกำลังอ่อนแอไม่อาจต้านทานแรงลม ในตำหนักหลังนี้ก็ยังมีไอปีศาจรุนแรงไม่เป็นผลดีต่อมนุษย์ พี่รองถูกพิษ สถานที่เช่นนี้ไม่ควรอยู่นานเกินไป 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมิได้ปฏิเสธ นางแบกพี่รองของตนเองขึ้นมา 

 

 

เหล่าบุรุษทั้งหลาย “…….” 

 

 

พวกเขาล้วนไม่ทันได้ห้ามปราม ก็เห็นตู๋กูซิงหลันแบกตู๋กูเจวี๋ยติดตามซูเยาไปแล้ว 

 

 

ซูเยาเห็นจนไม่รู้สึกแปลกใจอีกต่อไป เขารู้จักอุปนิสัยของตู๋กูซิงหลันเป็นอย่างดี ทั้งเขายังไม่เข้าไปช่วยอุ้มตู๋กูเจวี๋ยอีกด้วย 

 

 

ถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะอุ้ม…. 

 

 

อืม ชั่วชีวิตนี้คนเดียวที่เขาอยากจะอุ้มก็คือตู๋กูซิงหลันเท่านั้น 

 

 

ท่านเจ้าสำนักปวดตา และก็ยังปวดใจ 

 

 

ได้แต่ต้องโทษที่ศิษย์ของตนเองแข็งแกร่งเกินไป ถึงจะแบกบุรุษที่หนักหนึ่งร้อยสี่สิบห้าสิบชั่ง ก็ยังสบายๆราวกับหิ้วไก่ตัวหนึ่ง 

 

 

มีบางครั้ง ที่เขาอยากจะให้ศิษย์น้อยมาพึ่งพาตนเองมากกว่านี้หน่อย 

 

 

แต่พอคิดๆดูแล้ว ตัวเขาเองเป็นใครตนเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ 

 

 

ช่วงนี้อาการที่เปลี่ยนเป็นกระดูกขาวกำเริบรุนแรงกว่าเดิม แล้วเขาจะเอาอะไรไปเป็นที่พึ่งให้กับศิษย์น้อย? 

 

 

หากนางรู้จักเข้มแข็งด้วยตนเอง ว่าไปแล้วก็นับว่าดีไม่น้อย 

 

 

เผื่อวันหนึ่งเขาไม่อยู่อีกต่อไป ใต้หล้านี้ก็ไม่มีใครที่จะรังแกนางได้ 

 

 

…………………………. 

 

 

 

 

 

ตำหนักของซูเยา 

 

 

รูปแบบการตกแต่งดูแล้วแทบจะไม่มีสิ่งใดที่แตกต่างไปจากตำหนักหย่งเฉิงอ๋องเลย 

 

 

พอตู๋กูซิงหลันเดินเข้าไป ก็ให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับไปยังต้าโจวอีกครั้ง 

 

 

…………………..