บทที่ 1065 เฉินหานผู้โศกเศร้า!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

“ทำไมข้าถึงได้ซวยนัก!” ในใจเฉินหานแทบคลั่ง เขาหนีหัวซุกหัวซุนเร็วกว่าเก่า ความเร็วของเขาแม้จะมากแต่หวังเป่าเล่อที่ไล่หลังมานั้นกลับมีความเร็วที่สูงกว่า การไล่ตามซึ่งดำเนินต่อเนื่องไม่หยุดยั้งทำให้หมอกรอบด้านหมุนคว้างรุนแรงขึ้น เพราะเครื่องสังหารกำหนดเป้าหมายแล้ว เหตุการณ์นี้ทำให้ไอสังหารของเฉินหานที่แผ่ออกมานี้กำลังจะระเบิดร่างของตนเอง

“เจ้านี่…วิปลาสไปแล้ว!!” เฉินหานหนังศีรษะชาดิก เขารู้สึกเพียงว่าร่างกายของตนเองเจ็บแปลบ แรงสังหารยังกระทบจิตวิญญาณของเขากลายๆ กระทั่งเขามีความรู้สึกว่า สิ่งที่โจมตีใส่ตนเองอยู่นี้มิใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เจ้านี่คือแสง โลหิต และพลังกลืนกินที่ไร้ขีดจำกัด

ไม่เช่นนั้นล่ะก็ ทำไมร่างกายของตนจึงเจ็บปวดเหมือนถูกแสงหลอมร่าง ทำไมเขาไม่อาจคุมโลหิตในร่างตนเองได้ ราวกับว่าโลหิตในร่างถูกปราณด้านหลังชักนำ และราวกับว่าเส้นเลือดทั้งหมดของเขาจะกลับย้อนเป็นเนื้อเดียวกัน เห็นได้ชัดว่า…เขาและหวังเป่าเล่อนั้นมาจากคนละเผ่าพันธุ์จริงๆ

ไม่เช่นนั้นล่ะก็ นอกจากความรู้สึกทางโลหิตและลำแสงที่ว่าแล้ว เขายังสัมผัสถึงขุมพลังกลืนกินอีกอย่างที่สำแดงพลังไม่หยุดขนาดว่าเขาใช้ความเร็วระดับยอดของตนแล้วก็ตาม ก็ยังไม่อาจสลัดหวังเป่าเล่อได้พ้น

“ว๊ากกกกก!! มองเห็นเครื่องสังหารด้านหลังยิ่งเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เท่าไร ในใจของเฉินหานก็รู้สึกทุกข์ระทมเท่านั้น

“สวี่อินหลินเป็นคนต้นคิด ทำไมเจ้าไม่ไปตามนาง! เจ้าหนูจากเต๋าเก้ารัฐนั่นเป็นคนลงมือคนแรก ทำไมเจ้าไม่ไปตามเขา แล้วยังมีเจ้าชายอันธพาล นายน้อยลำดับเก้าของราชันเทวะไกก้านั่นด้วย ไอ้หมอนั่นยโสโอหัง เจ้าไปเล่นงานมันสิ!”

“ทำไมมาไล่ตามข้าเล่า ตามข้ามาทำไม เจ้าคิดจะรังแกคนซื่อๆ อย่างนั้นหรือ!!”

“หนวกหู!” หวังเป่าเล่อเสียงเย็นชาตอบกลับ อีกทั้งยังเพิ่มพลังปราณถึงขีดสุด ในชั่วพริบตาแห่งเสียงคำราม ภายในหมอกคนทั้งสองซึ่งไล่กวดหน้าหลังต่างใช้ความเร็วของตนถึงขีดสุด เสียงลมหวีดหวิวดังกระจายทั่ว ลมเหล่านี้ไม่ได้หอบกระจายไปยังสถานที่ห่างไกลใด เพียงแต่พากันพัดหมุนอยู่รอบด้านทั้งสองด้วยความรวดเร็วมากขึ้น

เสมือนกับว่าไอหมอกทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่อาจจะหยุดเงาร่างของทั้งสองคนนี้ได้ แม้กระทั่งพวกผู้เข้าทดสอบที่เหลือซึ่งยืนอยู่ใกล้กับสถานที่ที่พวกเขาวิ่งผ่าน เมื่อพบเห็นพวกเขาเข้า คนเหล่านี้ก็แสดงสีหน้าแข็งค้าง พร้อมใจกันหลีกทางให้

แท้จริงแล้วเป็นเพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่ส่งมาในหมอก คลื่นพลังนั้นน่าหวาดผวาอย่างยิ่ง!

ถัดมาหลังจากชั่วเสียงคำราม แว่วเสียงร้องของเฉินหานดังลอดมาจากในหมอก เสียงกรีดร้องนี้น่าเวทนาสุดขีด ทำให้เหล่าคนรอบด้านที่ได้ยินล้วนทยอยกันวิ่งหนี ตัวเฉินหานในยามนี้มือพิการไปข้างหนึ่งแล้ว…

เขาเลือกใช้วิชาระเบิดอวัยวะตนเอง แม้วิชานี้จะแลกมาด้วยการเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว แต่ภายหลังใช้จะก่อสภาวะอ่อนแรงหนักให้แก่ผู้ใช้ ยิ่งไปกว่านั้นคือความเจ็บปวดระดับสูงสุด เช่นนี้ทำให้เฉินหานต้องกรีดร้องโหยหวน

ยามนี้หลังจากเขาเสียแขนไปหนึ่งข้าง เขาก็ทวีความเร็วเพิ่มขึ้นอีกจนสุดท้ายแล้วจึงฝืนทำระยะห่างออกมาได้ส่วนหนึ่ง เฉินหานเกือบจะร้องไห้แล้วจริงๆ เขารู้สึกว่าตนเองโชคดีมาตลอดแต่คล้ายว่าหลังจากเจอหวังเป่าเล่อทุกอย่างก็กลับตาลปัตร

“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…ทุกคนล้วนระลึกชาติก่อนได้ แล้วทำไมเจ้าวิปริตมันถึงแข็งแกร่งปานนี้ ชาติก่อนของมันคืออะไรกันแน่!” เฉินหานเริ่มรู้สึกสงสัยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องมีตรงไหนสักที่ที่มีปัญหาแน่ ไม่เช่นนั้นล่ะก็ ผู้ที่ดวงชะตาดีเลิศเช่นเขา เหตุใดถึงพ่ายแพ้ได้ เมื่อเฉินหานหวนคิดถึงตัวเขาเองในโลกก่อนหน้า เขาก็ยิ่งอยากร้องไห้

“ชาติที่หนึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ถูกเผ่าเทพเหยียบตาย ชาติที่สองเป็นคนธรรมดาถูกผีดิบกัดตาย ชาติที่สามคนก็ไม่ใช่ เป็นดอกไม้ดอกหนึ่ง ชาติที่สี่ยิ่งแล้วใหญ่ ข้ากลายเป็นแบคทีเรียในลำไส้ของคนอื่น!!!”

“คนอย่างข้าเฉินหาน ตอนเจ็ดขวบก็ได้รับการการอวยยศจากผู้อาวุโส ยามเริ่มแรกข้าก็ได้รับฐานะมหาศิษย์แห่งเต๋าจากสวรรค์ บากบั่นจนได้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพ เพื่อจะโจมตีเขตจักรพิภพที่สามข้าก็ยอมเกิดใหม่อีกครั้ง หลังจากนั้นพออายุสิบสี่วิถีเต๋าสวรรค์แต่ละชิ้นส่วนก็หลอมรวมสู่ร่างของข้า…และหลังจากเกิดใหม่ครั้งที่สาม พอข้าอายุยี่สิบเอ็ดปีก็จับเส้นทางแห่งกฎได้ ทำให้ตนเองแข็งแกร่งกว่าเก่า…”

“เพื่อที่จะทลายเขตจักรพิภพ ข้าก็ยอมเกิดใหม่อีกหน คราวนี้พออายุยี่สิบแปดปีก็พบเข้ากับโลหิตศักดิ์สิทธิ์เหมันต์ที่หาได้ยาก ทำให้คุณสมบัติวิญญาณเปลี่ยน…ส่วนการเกิดใหม่ยามนี้ ข้าเคยคาดเดาว่า ในตอนที่ข้าอายุสามสิบห้าปี ก็จะได้ถือครองมหาวิถีเต๋าของชาติก่อน ข้าในปีนี้อายุสามสิบห้า…” เฉินหานยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ใจ ยิ่งไขว่คว้า ไม่ว่าเขาจะทุกข์ใจหรือดิ้นรนมากแค่ไหน ก็ไม่ได้ช่วยเรื่องที่อยู่ตรงหน้าเขาเลย…

เพียงเวลาไม่นาน เสียงคำรามก็ดังอีกครั้ง!

ในครานี้ เฉินหานเสียแขนอีกข้างไป…

การโจมตียังคงดำเนินต่อ…ครึ่งก้านธูปให้หลัง หลังจากเสียงดังก้องนั้นสะท้อนไปมา เสียงกรีดร้องของเฉินหานก็ยิ่งดังกว่าเก่า เพราะว่าในครั้งนี้…เขาระเบิดขาขวาของตนเอง

หลังจากนั้นก็เป็นขาซ้าย หลังจากนั้นก็เป็นส่วนเอว หลังจากนั้นก็เป็นครึ่งท่อนบน…

หนึ่งชั่วยามให้หลัง เหลือเพียงแค่ส่วนศีรษะของเฉินหาน ดวงตาของเขาเศร้าหมอง และจำต้องยินยอมหยุดในที่สุด เขาเหลือบตาไปด้านหน้าเพียงชั่วแวบหนึ่ง ก็ปรากฏหวังเป่าเล่ออยู่เบื้องหน้า

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ…” เฉินหานที่เหลือแต่เพียงหัวกะโหลก เอ่ยปากอย่างน่าสงสาร

“ระเบิดตัวเองสิ เจ้าวิ่งหนีเก่งนักหรือ มาเลยๆ ข้าจะรอเจ้า” หวังเป่าเล่อนั้นจ้องเขม็งไปที่ศีรษะของเฉินหาน ต่อให้เป็นเขาในยามนี้พลังฝึกตนก็ยังปรวนแปรเช่นกัน เพราะว่าอีกฝ่ายหนีด้วยความเร็วสูงเกินไปทั้งยังยอมถึงขั้นระเบิดตนเองเพื่อสกัดกั้นเขา ทำให้ตัวเขาเสียเวลาต้องไล่ตามอย่างเหนื่อยล้า

ฉะนั้นในยามนี้หลังจากที่ไล่ตามอีกฝ่ายสำเร็จ หวังเป่าเล่อกลับไม่รีบร้อนเหมือนเดิมแล้ว เขามองดูเฉินหานแล้วเอ่ยเสียงเย็น

“ศิษย์พี่…ไม่อาจระเบิดได้อีกแล้ว…” เฉินหานน้ำตาหลั่งริน

“เพราะอะไร?” หวังเป่าเล่อถามทั้งที่รู้

“ศิษย์พี่ ข้า ข้าเหลือแค่หัวแล้ว…”

“ข้าเห็นแล้ว มาสิ พูดอะไรสักอย่างที่ข้าอยากฟัง ไม่งั้นเจ้าก็ควรระเบิดส่วนที่เหลือเสีย”

“ศิษย์พี่ อาจารย์ลุง อาจารย์พ่อ…ท่านปรมาจารย์ ท่านปู่ นายท่าน ข้าผิดไปแล้วขอรับ!!” เฉินหานโอดครวญ เขาอยากใช้การสารภาพนี้มาแลกโอกาสรอดชีวิต แต่หวังเป่าเล่อเหมือนไม่เห็นใจการโอดครวญของเฉินหานเลย ยามนี้หวังเป่าเล่อถลึงตา

“พูดจาไม่น่าฟังนัก เอาล่ะ ทำไมยังไม่ฆ่าตัวตายอีก? หรือจะให้ข้าช่วยเจ้า!” พูดแล้ว หวังเป่าเล่อก็ขยับร่าง เคลื่อนกายเข้าใกล้ในทันที จากนั้นก็ยกมือขวาให้กฎแห่งโลหิตขึ้นมา ในฝ่ามือนั้นพลันปรากฏเงาร่างสาดสู่สายตาของเฉินหาน ราวกับว่าเบื้องหน้าบังเกิดทะเลโลหิตแห่งหนึ่ง ในนั้นอัดแน่นด้วยปราณแค้นจำนวนเหลือคณานับ หวังเป่าเล่อบังคับให้เฉินหานจมดิ่งลงไป

“พี่ชาย ท่านลุง ท่านพ่อ…” ในช่วงเวลาวิกฤติของชีวิต เฉินหานเองก็ไม่ต้องการศักดิ์ศรีอีกแล้ว เขารีบส่งเสียงโหยหวน ดวงตาเหลือเพียงความสิ้นหวัง เฉินหานเห็นเหล่าผู้คนที่ตนสังหารไปและสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า หากตนเองถูกทะเลโลหิตโอบล้อมเมื่อใด เขาก็จะกลายเป็นหนึ่งในผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมเหมือนคนเหล่านั้น

การตายอยู่ที่นี่ต่างไปจากการตายอยู่ข้างนอก เพราะด้านนอกตนเองยังสามารถกลับมาเกิดใหม่ได้ในอีกหลายปีให้หลังหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่สัญชาตญาณบอกกับเขาว่า…หากเขาฆ่าตัวตายอยู่ที่นี่ เกรงว่าตนเองจะไม่อาจกลับชาติมาเกิดได้อีกแล้ว นี่จะไม่ให้เขาร้อนรนมากได้อย่างไร แต่ว่าในตอนที่เขาโศกเศร้าว่าจบสิ้นแล้วแน่ มือของหวังเป่าเล่อก็พลันหยุดชะงักเบื้องหน้าหน้าผากของเขา

“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”

เฉินหานที่สิ้นหวังไปแล้ว ในยามนี้ตะลึงไปครู่หนึ่ง ราวกับคว้าเชือกช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ เขารีบเอ่ยปาก

“พี่ชาย? ท่านลุง? ท่านพ่อ?! ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านพ่อ!!” เฉินหานตอบโต้ได้ไวนัก เขารีบตัดคำทั้งสองก่อนหน้าออก แล้วร้องท่านพ่อเสียงดัง

การเรียกขานที่เหมือนหายไปนานเช่นนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อราวกับระลึกบางอย่างได้ พร้อมถอนหายใจ หลังจากย้อนระลึกไปหลายชาติ เขาก็เกือบจะลืมเสียแล้วว่าตนนั้นชอบบังคับให้ผู้อื่นเรียกตนว่าบิดา

“ท่านพ่อข้าผิดไปแล้ว เสี่ยวหานผิดไปแล้ว!!” หลังสัมผัสได้ถึงการถอนหายใจของหวังเป่าเล่อ เฉินหานก็พลันตื่นเต้นขึ้นมา มันรีบเอ่ยปากรวดเร็ว น้ำเสียงจริงใจอย่างยิ่ง สุดท้ายแล้วถึงกับเป็นฝ่ายยื่นพลังสารัตถะของตนเองไปให้ และยินยอมรับตราประทับของหวังเป่าเล่อมาสลักลงในสภาวะจิตของตน

เมื่อทั้งหมดเสร็จสิ้น เฉินหานก็ได้มอบความเป็นตายของตนไว้ในกำมือหวังเป่าเล่อแล้ว ยามนี้เฉินหานจึงค่อยผ่อนลมหายใจ แต่ความปวดร้าวและเศร้าระทมยังคงลอยอยู่ในสมองของเขา

“คนอย่างข้าเฉินหาน หนึ่งชาติชื่อเสียงระบือไกล ดวงโชคดีระดับสวรรค์ แต่ไม่คิดเลยว่าหลังเกิดใหม่ครั้งนี้ที่อายุสามสิบห้าปี สิ่งที่ได้กลับไม่ใช่สมบัติฟ้าดิน แต่เป็น…บิดาคนหนึ่ง…” พอคิดถึงจุดนี้ เฉินหานที่เหลือแต่เพียงศีรษะก็ลอยตามหวังเป่าเล่อมาอยู่ข้างกายเขา เมื่อถึงเขตว่างเปล่าอีกแห่งหนึ่งก็คิดอยากร้องไห้ออกมาดังๆ…

หากแต่ตอนนี้หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจเขาอีกแล้ว อีกฝ่ายนั่งสมาธิคล้ายกับจะรอให้วันที่ห้ามาถึง เฉินหานที่ลอยไปมาในอากาศพลันรู้สึกว่ากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้

“เฉินหานเช่นข้า ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพดีๆ นั้นไม่ยอมเป็น…ข้า ข้า ทำไมคิดไม่ตก ต้องกลับชาติมาเกิดด้วย…”

“ไม่ได้การข้าไม่ยอม มารดามันเถอะ เหตุใดเจ้าเด็กเต๋าเก้ารัฐนั่นถึงหนีไป นายน้อยลำดับเก้าราชันเทวะไกก้านั่นก็ปลอดภัยไร้กังวล ข้าต้องหาวิธี ให้พวกมันมีบิดาเพิ่มบ้างแล้ว!!” ดวงตาของเฉินหานทอประกายบ้าคลั่ง เขารู้สึกว่าหากสุดท้ายตนต้องกลายเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วผู้อื่นก็อย่าได้คิดว่าจะอยู่อย่างเป็นสุขเลย!

ระหว่างที่กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่นั้นเอง เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่าน ด้วยความรวดเร็ว…เสียงแหบชราที่ดังมาแต่แรกนั้นก็สะท้อนก้องในหมอกอีกครั้ง เสียงกังวานดังขึ้นในใจของเหล่าผู้เข้าทดสอบทุกคน

“วันที่ห้า ชาติที่ห้า!”

…………………………………………