ตอนที่ 652 มนุษย์พิฆาต พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 652 มนุษย์พิฆาต พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน Ink Stone_Fantasy

“เยี่ยเทียน ในบัตรใบนี้มีเงินห้าพันกว่าล้าน?”

ซ่งเวยหลันพอรู้มาว่าเยี่ยเทียนเคยได้สมบัติขุมทองกลับมาจากพม่าด้วยวิธีที่ไม่ค่อยซื่อตรงนัก แล้วก็รู้ว่าบุตรชายใช้เงินไปกับการสร้างค่ายกลฮวงจุ้ยที่ฮ่องกงไปหมด ตอนนี้จู่ๆบุตรชายก็มีเงินก้อนใหญ่ขึ้นมา พูดแล้วไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลย

“ผมหลอกแม่ทำไมเล่า? ถ้าไม่เอาผมจะเก็บจริงๆแล้วนะ!” เยี่ยเทียนเริ่มโมโห เขาเพิ่งได้มีความรู้สึกของการเป็นคนรวยได้เพียงครู่เดียว ยังไม่ทันไรก็หายวับไปกับตา

“คุณเยี่ย ขอบัตรใบนี้ให้ผมดูหน่อยได้ไหม?”

จ้าวหวามองดูบัตรใบมือของเยี่ยเทียนแล้วตาลุกวาว เขาคลุกคลีกับบัตรธนาคารมาทุกรูปแบบ แค่มองก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่เหมือนกับบัตรธรรมดา

“อ่ะนี่  บนกระดาษมีรหัสบัตรเขียนอยู่” เยี่ยเทียนส่งบัตรและซองกระดาษที่มีรหัสบัตรอยู่ภายในให้จ้าวหวา

จ้าวหวาพลิกบัตรไปมา แล้วโพล่งขึ้นอย่างตื่นเต้น “ท่านประธาน บัตรใบนี้เป็นบัตรของธนาคารสวิส ผู้ถือบัตรแบบนี้ได้จะต้องมีเงินไม่ต่ำกว่าพันล้านดอลลาร์!”

ธนาคารสวิสจะจัดทำบัตรแต่ละประเภทตามลักษณะของกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน

อย่างเช่นบัตรใบนี้เป็นบัตรที่จัดทำขึ้นพิเศษ ในเนื้อบัตรผสมทองคำปริมาณหนึ่งอยู่ด้วย ทั้งยังต้องใช้วิธีการแยกแยะแบบจำเพาะ ไม่ว่าถือบัตรนี้ไปที่ธนาคารสวิสสาขาใดก็แล้วแต่สามารถถอนเงินสดออกมาได้ทันที

“เยี่ยเทียน ลูก…ลูกไปเอาเงินพวกนี้มาจากไหน?”

เมื่อรู้ว่าบัตรเป็นของจริง ซ่งเวลหลันทนดูไม่ได้ ไม่ใช่เพราะปัญหาทางการเงินของบริษัทจะถูกแก้ไข แต่เป็นเรื่องที่บุตรชายของเธอไปนำเงินจากไหนมามากมายภายในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้เธอยากที่จะยอมรับได้

ซ่งเวยหลันนักธุรกิจหญิงที่มีความสามารถ ทนบากบั่นมายี่สิบกว่าปีจนสร้างกิจการทรัพย์สินใหญ่โต แต่เงินสดที่เธอจะนำออกมาได้ เกรงว่าจะไม่มีมากเท่าเยี่ยเทียน

“ไม่ต้องสนหรอกว่ามาจากไหน แม่เอาไปใช้ก็พอแล้ว แม่ครับ เราตกลงกันไว้ก่อนนะ เงินนี่ยังไงก็ต้องคืนผมนะครับ!”

เยี่ยเทียนไม่ใช่คนงก แต่เพราะเงินก้อนนี้เขาแลกมาด้วยชีวิต เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อยังไม่ทันร้อนได้กลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว ต่อให้เขาเป็นคนใจกว้างกว่านี้ก็ยังอดรู้สึกหดหู่ไม่ได้

“ดูท่าลูกงกเข้าสิ?”

ซ่งเวยหลันยิ้มออกมา “แม่จะคืนเงินต้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราสูงสุดของธนาคารซิตี้ ไม่ขาดสักแดงเดียว พอใจรึยัง?”

เรื่องเร่งด่วนแบบนี้ ซ่งเวยหลันจึงไม่เกรงใจลูกชายแล้ว หันไปพูดกับจ้าวหวาว่า “พี่หวา เงินก้อนนี้รอจนเที่ยวเสร็จกลับมาค่อยโอนเข้าบัญชี ให้ทางรัสเซียกับแอฟริกากลางดำเนินการต่อไปก่อน ส่วนที่ขาดส่วนอื่นฉันค่อยหาทางเอามาทีหลัง!”

เมื่อมีเงินก้อนนี้ ซ่งเวยหลันก็เบาใจลงมาก เธอเริ่มเชื่อถือในคำเตือนของเยี่ยเทียนมากขึ้น ถ้าบุตรชายเป็นแค่คนธรรมดา แล้วจะหาเงินมากมายมาได้เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?

“ครับ ท่านประธาน โปรดวางใจ ผมจะทำให้พวกคนญี่ปุ่นนั่นถอนตัวกลับไปแทบไม่ทัน!”

จ้าวหวาพยักหน้าด้วยความฮึกเหิม  โครงการที่รัสเซียคนญี่ปุ่นพวกนั้นใช้วิธีสกปรกหลายอย่าง แต่เมื่อมีเงินก้อนนี้แล้ว เขาสามารถสั่งสอนพวกคนที่หวังจะมาชุบมือเปิบได้เต็มที่

“ท่านประธาน คุณเยี่ย พวกคุณคุยกันไปก่อน ผมขอตัวไปจัดการเรื่องนี้!”

หลังจากที่เยี่ยเทียนมอบเงินออกไป ท่าทีของจ้าวหวาที่มีต่อเขากลับตาลปัตร คำชมเชยของซ่งเวยหลันไม่ได้เกินจริงเลย คนลูกเก่งกว่าคนแม่หลายเท่าจริง

“แม่ จัดการจบแล้วรีบกลับเมืองจีนเถอะ”

รอจนจ้าวหวาออกไปแล้ว เยี่ยเทียนบีบหว่างคิ้วอย่างอ่อนล้า “หลายปีนี้เหตุการณ์โลกไม่ค่อยสงบสุข ยังไงก็อย่าออกไปข้างนอกบ่อยเลย”

ดวงโลกาวินาศปรากฎขึ้นทำให้โลกทั้งใบเกิดความเปลี่ยนแปลง พลังไหลวน แม้แต่สงครามและโรคระบาดมีโอกาสจะเกิดขึ้นเช่นกัน แต่โลกทางฝั่งตะวันออกจะปลอดภัยมากกว่า

“แม่รู้แล้ว เรื่องนี้จบลง แม่จะกลับปักกิ่งแล้วไม่ไปไหนทั้งนั้น”

ซ่งเวยหลันพยักหน้า รู้สึกเอ็นดู ช่วยบุตรชายคลึงจุดกลางหว่างคิ้ว ในใจถูกปลอบประโลม ครึ่งชีวิตแรกของเธอเป็นอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อยยากลำบาก พอถึงวัยกลางคนกลับได้พึ่งพาบ่าอันใหญ่และอบอุ่นของบุตรชาย

เยี่ยเทียนนึกเรื่องบางอย่างออก มองไปทั่วห้องประชุมที่ตกแต่งอย่างหรูหรา “ใช่แล้ว แม่ครับ  แม่ให้คนในบริษัทออกไปพักร้อน มันไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ กิจการที่นี่ไม่เอาแล้วหรือครับ?”

ซ่งเวยหลันยิ้มออกมา “ที่นี่เราเช่าเอาทั้งนั้น ไม่มีค่าอะไรหรอก อีกไม่กี่วันแม่เอาเอกสารสำคัญย้ายออกไปก็เรียบร้อย อีกอย่างค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ให้บริษัทประกันเป็นคนรับผิดชอบ!”

“ก็จริง ขอแค่รักษาชีวิตคนไว้ก็พอ ข้าวของไม่สำคัญ ถ้าย้ายบริษัทจะเป็นการดึงดูดความสนใจของคนอื่น”

เยี่ยเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง มารดาของเขาสามารถหาวิธีแก้ปัญหาได้อย่างรัดกุม ถ้าย้ายบริษัทอย่างครึกโครม พอเกิดเรื่องขึ้นจะมีคนสงสัยเอาได้

“เสี่ยวเทียน เงินของลูกไม่ต้องถึงปีหรอก อย่างมากสามเดือนแม่ก็จะหามาคืนลูกจนครบ!” ประกายตาของซ่งเวยหลันลุกวาบขึ้น ตอนนี้เธอกลายเป็นหญิงแกร่งแห่งวอลล์สตรีทไปแล้ว

“สามเดือน? ไม่ใช่ว่าอีกปีหนึ่งถึงจะถอนเงินส่วนนั้นคืนมาได้ไม่ใช่หรือ?” เยี่ยเทียนถามอย่างแปลกใจ

ซ่งเวยหลันหัวเราะ “ถ้าสิ่งที่ลูกพูดเป็นความจริง แม่จะทำรายได้ก้อนใหญ่จากตลาดหุ้นและตลาดการค้าล่วงหน้า เงินแค่ไม่กี่พันล้านแค่นี้เล็กน้อย!”

สำหรับตลาดทุนไม่ว่าจะได้ข่าวดีหรือข่าวร้าย ก็มักมีคนทำกำไรขึ้นอยู่แล้ว หากเกิดวินาศภัยในอเมริกาจริง ซ่งเวยหลันจะทำเงินได้มหาศาลเป็นกอบเป็นกำ

เยี่ยเทียนไม่มีความรู้ด้านตลาดการเงิน ฟังซ่งเวยหลันอธิบายจบแล้วส่ายหัวไปมา “แม่ ช่างมันเถอะ เงินแบบนี้ อย่าไปหากำไรเยอะเลย เดี๋ยวจะอายุสั้นเอา”

เยี่ยเทียนหลุดบอกเรื่องภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้น ถือเป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์ ที่ส่งผลถึงดวงชะตาฟ้าดินแน่นอน

เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าอนาคตเขาจะต้องรับบทลงโทษจากสวรรค์ด้วยวิธีไหน ถ้ามารดายังจะใช้เงินดังกล่าวไปแสวงหาผลประโยชน์อีกละก็ เยี่ยเทียนเดาว่าสวรรค์อาจพิโรธ ฟาดสายฟ้าผ่าลงมาที่ตัวเขาจนตายคาที่

“ถ้างั้นก็ได้ ลูก ลูกกลับไปกับแอนนาก่อนเถอะ แม่จะจัดการเรื่องอีกนิดหน่อยแล้วค่อยกลับบ้าน!”

การที่ไม่ได้ใช้เงินปั่นหุ้นในตลาดหุ้นครั้งนี้ได้ ซ่งเวยหลันรู้สึกเสียดายนัก แต่สุขภาพและความสุขของคนในครอบครัวสำคัญกว่า หลังจากพิจารณาแล้ว เธอยกเลิกความคิดนั้นไป

“อย่าเลย  กลับด้วยกันเถอะครับ สถานที่แบบนี้ ไม่แน่ว่าจะเกิดเหตุวุ่นวายเมื่อไหร่ก็ได้”

เยี่ยเทียนส่ายหัว ในสายตาของของเขาพลังพิฆาตที่ปกคลุมไปทั่วทั้งตึกแฝดนี้ราวกับเป็นถังระเบิด หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เหตุร้ายดันเกิดขึ้นก่อนเวลาก็เป็นไปได้ เยี่ยเทียนจะให้แม่ของเขาอยู่ที่นี่เพียงลำพังได้อย่างไร?

ซ่งเวยหลันรู้ว่าบุตรชายกังวลใจ จึงยิ้มแล้วปลอบว่า “ได้ ถ้างั้นลูกอยู่เป็นเพื่อนแม่”

ทำงานจนถึงเที่ยงคืนกว่า เยี่ยเทียนและแม่ของเขากลับมาถึงที่พัก วันนี้ตะลอนไปตะลอนมาทั้งวัน ทั้งด้วยร่างกายที่มีบาดแผลทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกอ่อนพลียมาก

“เสี่ยวเทียน ลูกนอนหรือยัง?” เยี่ยเทียนเพิ่งดึงผ้าห่มออกจากเตียงก็ได้ยินเสียงมารดามาเคาะประตูห้อง

“แม่ มีอะไรครับ?” เยี่ยเทียนหยิบเสื้อมาคลุมตัวเพื่อปิดบังเฝือกที่รัดแขนตัวเองไว้แล้วถึงเปิดประตู

“โทรศัพท์ของลูก ศิษย์พี่ใหญ่โทรมา เขาตามหาที่อยู่แม่จนเจอได้อย่างไร?” ซ่งเวยหลันยื่นโทรศัพท์ไร้สายให้เยี่ยเทียน

“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมเยี่ยเทียน!” เยี่ยเทียนรู้สึกแปลกใจ ศิษย์พี่ใหญ่พักอยู่ที่ฮ่องกงอย่างสุขสบาย แล้วโทรศัพท์หาเขามีธุระอะไร?

“ศิษย์น้องเล็ก มือถือของนายมีไว้โชว์อย่างเดียวหรือ ฉันโทรเท่าไหร่ก็โทรไม่ติด!” เสียงของโก่วซินเจียดังลอดหูโทรศัพท์ออกมา

“อะแฮ่ม ศิษย์พี่ใหญ่ ผมลืมชาร์จแบต!” เยี่ยเทียนหัวเราะกลบเกลื่น เขาลืมชาร์จแบตที่ไหน แค่ไม่ได้พกโทรศัพท์ไว้กับตัวต่างหาก

“เธอยังอยู่ที่อเมริกาใช่ไหม?”

โก่วซินเจียอารัมภบทเล็กน้อยแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “ศิษย์น้องเล็ก หลายวันก่อนฉันรู้สึกจิตใจกระสับกระส่ายไม่เป็นสุข พอทำนายดูแล้ว พบว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่!”

“ศิษย์พี่ ผมก็ทำนายออกแล้ว?”

คำพูดของโก่วซินเจียถ้าเป็นคนอื่นฟังอาจจะคิดว่ากำลังถูกตาแก่ที่ไหนหลอกอยู่ก็เป็นได้ แต่เมื่อเป็นเยี่ยเทียนกลับรู้สึกเคารพในวิชาทำนาย ฝีมือการผูกกว้าทำนายของศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้แพ้ตนเลย

“ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอต้องรู้สึกเหมือนกัน ไม่พูดอ้อมค้อมหละ ที่ๆ เธออยู่ตอนนี้ไม่ค่อยปลอดภัย รีบกลับมาให้เร็วหน่อยไม่ได้หรือ!”

ฟังเยี่ยเทียนแล้วโก่วซินเจียแน่ใจขึ้นมาว่าการฝึกตนของเยี่ยเทียนจนสามารถรับรู้ถึงการเตือนภัยต่อเหตุอันตรายนั้นเก่งกล้ากว่าตนหลายเท่า จึงไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่

“ศิษย์พี่ใหญ่ เรื่องบางเรื่องหนียังไงก็ไม่พ้นนะ ผมรู้ดีอยู่แก่ใจ ผมจะระวังตัวไม่ให้เป็นอันตราย!”

เยี่ยเทียนถอนหายใจ ถ้าไม่ใช่เพราะมารดาของเขาอยู่ที่นี่ ตัวเขาคงจะหลบไปให้ไกลที่สุดแล้ว จะมาอยู่ที่นี่ต่อเพื่ออะไร?

วางสายแล้วเยี่ยเทียนหยิบเหรียญทำนายสามอันออกมา เดินไปที่โต๊ะเพื่อโยนเหรียญทำนาย เหรียญทั้งสามกว้าปรากฏผลว่าอันตรายผิดปกติ ทำให้จิตใจของเขายิ่งสงบนิ่งมากขึ้น

“หากฟ้าพิฆาตดวงดาวจะโคจร หากดินพิฆาตพวกงูสัตว์เลื้อยคลานจะผุดขึ้น แต่นี่ไม่ใช่ทั้งแผ่นดินไหว แล้วก็ไม่ใช่คลื่นยักษ์!”

ดูจากกว้าทำนายเยี่ยเทียนพูดพึมพำคนเดียว “หากมนุษย์พิฆาต พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน นี่ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นภัยจากน้ำมือมนุษย์!”

เมื่อก่อนไม่มีโอกาสสงบจิตใจเพื่อทำนายอย่างจริงจัง จนถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนเห็นเค้าโครงจากการทำนายแล้วว่า ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในนครนิวยอร์คแห่งนี้ เกิดจากฝีมือมนุษย์แน่นอน

แต่เยี่ยเทียนคิดไม่ออกว่าสิ่งก่อสร้างอย่างตึกแฝดคู่นี้ ต่อให้รัฐบาลของอเมริกาอยากจะระเบิดมันเอง เกรงว่าต้องใช้ระเบิดถึงกี่ตัน ต้องเป็นคนประเภทไหนที่เก่งกาจพอที่จะพังทลายตึกขนาดใหญ่หลังนี้ได้?

“หรือจะเป็นพวกอับดุลลาห์?”

จู่ๆเงาของชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหัวของเยี่ยเทียน โดยเฉพาะคำพูดคำนั้นของอับดุลลาห์ทำให้เยี่ยเทียนเกิดความหวาดระแวงอย่างน่าขนลุกขึ้นมา

“ให้ตายสิ คนพวกนี้มันบ้าไปแล้ว!”

แม้จะไม่กล้าฟันธงว่าเหตุวินาศภัยที่จะเกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับอับดุลลาห์ แต่เยี่ยเทียนรู้ว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายนี้ สำหรับคนบางคน เมื่อตัดสินใจเด็ดขาดแล้ววันหน้าก็ต้องทำให้สำเร็จ

………………………………………………………..