มู่เฉียนซีถลึงตาใส่เขา “จัดการ? จะจัดการอย่างไร? อย่าบอกข้านะว่า เจ้าจะไปที่ตําหนักตงจี๋และทําลายผู้คนในตอนนี้? ”

ผู้ที่สามารถเป็นผู้หญิงของราชาแห่งแดนนรก สามารถลอบทําร้ายจิ่วเยี่ยและรู้อารมณ์ของจิ่วเยี่ยได้ จะไปเปิดเผยที่อยู่ของนางมั่วซั่วได้อย่างไร? ช่างรนหาที่ตาย

นางต้องมีสิ่งที่ช่วยชีวิตหรือไพ่ตายที่ลากจิ่วเยี่ยมาพินาศด้วยกันได้อย่างแน่นอน อย่างไรเสียคําสาปในร่างของจิ่วเยี่ยก็ไม่ใช่เรื่องตลก

“อืม!” การทำให้กองกําลังสำนักนิกายระดับสามหายสาบสูญไปนั้นง่ายดายนัก

แม้ว่าขุมกําลังนั้นจะมีหมิงจีอยู่ แต่ก็สามารถจัดการได้

“ไม่ได้!” มู่เฉียนซีดึงเขาแล้วกล่าว

“เย่เฉิน พวกเรากลับทุ่งรกร้างเถอะ”

เขาดึงออกไปทันที เห็นมู่เฉียนซีดึงแขนเขาไว้แน่น จิ่วเยี่ยย่อมไม่มีทางสลัดนางออกไปได้

อีกด้านหนึ่ง ซิงเฉินและจื่อโยวก็หงุดหงิดมากเช่นกัน

จื่อโยวกล่าว “ด้วยอารมณ์ของเยี่ย มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่จะทําลายตําหนักตงจี๋เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกมันคุกคามสาวน้อยคนงาม แต่ถึงแม้ว่าจะมีคนข้างบนหนุนหลังตําหนักตงจี๋ก็ช่างเถอะ เรื่องนี้ยังจัดการได้อยู่ หมิงจีไม่กลัวที่จะเปิดเผยตัวเอง จะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน ”

ซิงเฉินกล่าวว่า “ใช่! บางทีอาจเป็นกลอุบายอื่นของหมิงจี ถ้านายท่านไม่มีคําสาปละก็ คงไม่จําเป็นต้องกลัวอะไรมากมาย แต่…”

ซิงเฉินถลึงตาใส่จื่อโยวแล้วกล่าวว่า “ต้องโทษเจ้าที่ปากไม่มีหูรูด”

จื่อโยวกล่าว “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าหมิงจีจะอยู่บนร่างของสตรีผู้นั้น ครั้งนี้เยี่ยทําลายตําหนักตงจี๋ เกรงว่าต่อไปก็คงจะต้องทําลายข้า”

จื่อโยวรู้สึกกลัวเล็กน้อยเมื่อคิดถึงเรื่องนี้!

“แต่ตอนนี้เยี่ยจะต้องไปหาสาวน้อยคนงามเป็นคนแรกแน่ หวังว่าสาวน้อยคนงามจะขวางเขาไว้ได้!” เขาทําได้เพียงแค่หวังว่าอย่างนั้น

แม้ว่าจื่อโยวและซิงเฉินจะไม่เปิดเผยสถานะของนางกับจิ่วเยี่ย มู่เฉียนซีกับมู่หรูเหยียนที่เป็นศัตรูกัน มู่หรูเหยียนและหมิงจีนั่นในร่างของนางก็จะไม่ปล่อยนางไปเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม มู่เฉียนซีได้ลากจิ่วเยี่ยขึ้นนั่งบนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภากลับไปยังทุ่งรกร้าง แม้ว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จะบินไปไกลแค่ไหน แต่จิ่วเยี่ยก็จะสามารถไปยังตําหนักตงจี๋ได้อยู่ดี

เซียวโม่ก็ติดตามพวกเขาขึ้นไปยังสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาด้วยเช่นกัน ตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของมู่เฉียนซีตกอยู่ที่จิ่วเยี่ย ทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันมาก!

เย่เฉินไม่ได้เป็นอะไร แต่เขาสัมผัสได้ชัดเจนถึงแรงกดอากาศรอบ ๆ กู้ไป๋อีที่ต่ำมาก

มู่เฉียนซีรู้ว่าจิ่วเยี่ยไม่มีทางตายแน่ นางกล่าวว่า “ภารกิจที่ข้ามอบให้เจ้า เจ้ายังทำไม่สําเร็จ เจ้าอย่าปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายจนทําให้เส้นทางการรักษาของข้ายากลำบากไปกว่าเดิมล่ะ เข้าใจหรือไม่? ”

จิ่วเยี่ยมองมู่เฉียนซีอย่างลึกซึ้งแล้วกล่าวว่า “นางต้องตาย!”

“ข้ารู้ว่าผู้หญิงคนนี้สร้างความวุ่นวายเป็นอย่างมาก แต่ก่อนที่เจ้าจะหาทางแก้ไขร่างกายของเจ้าได้ ทุกอย่างเจ้าต้องฟังนักปรุงยา ข้าบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้!” มู่เฉียนซีจิ้มที่หน้าของเขา

“ถ้าเจ้ายืนกรานที่จะทําแบบนี้ ข้าจะฉีดยาให้เจ้ากลายเป็นอัมพาต แล้วปล่อยให้เจ้านอนอย่างสงบเงียบซะ”

แม้จะไม่รู้ว่ายาของนางมีความสามารถมากขนาดนี้หรือไม่ แต่มู่เฉียนซีก็พูดประโยคนี้ออกมาอย่างโหดเหี้ยม

ใบหน้าของเซียวโม่แสดงถึงการยอมรับ เฉียนซีสุดยอดมาก นางสามารถรังแกผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างตามใจชอบ

“ซีข่มขู่ข้า?” จิ่วเยี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย

มู่เฉียนซีเงยหน้ามองเขา “ข่มขู่เจ้าแล้วอย่างไร? คิดที่จะเปลี่ยนข้าเป็นโครงกระดูกรึ? ลงมือสิ!”

จิ่วเยี่ยยื่นมือออกไปโอบมู่เฉียนซีเข้ามากอด เขาเข้ามาใกล้หูของมู่เฉียนซีแล้วกล่าวว่า “ข้าไหนเลยจะตัดใจทำได้ลง”

บรรยากาศที่เดิมทีตึงเครียด ตอนนี้ราวกับปรากฏฟองอากาศสีชมพูลอยละล่องขึ้นมาเต็มไปหมด นี่มันอะไรกัน!

มุมปากของเซียวโม่กระตุกเล็กน้อย แววตาของกู้ไป๋อีหม่นหมองลง

“เช่นนั้นต้องเชื่อฟังข้าทุกอย่าง”

“ตกลง ตามที่เจ้าว่าทุกอย่าง!”

“……”

เย่เฉินบ่นในใจ คิดไม่ถึงว่าท่านจิ่วเยี่ยที่เหมือนราวกับเทพมารกลับเป็นคนกลัวภรรยา!

จื่อโยวและซิงเฉินเองก็คิดไม่ถึงว่าเจ้านายของพวกเขาจะเป็นคนกลัวภรรยา และถูกมู่เฉียนซีข่มขู่จนต้องยอมจํานน

นางเอนกายพิงอ้อมกอดของจิ่วเยี่ย มู่เฉียนซียังคงรู้สึกได้ถึงความกดอากาศต่ำ

“ไม่ต้องห่วงข้าหรอก ต่อให้มีอันตราย ก็ไม่ใช่ว่ามีเจ้ากับอาถิงอยู่หรอกหรือ?”

เมื่อได้ยินคําพูดเหล่านี้ ความกดอากาศต่ำของจิ่วเยี่ยก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น เย่เฉินที่อยู่บนร่างของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาเองก็ยังรู้สึกขนลุกขนพอง

“มีข้าก็ไม่จําเป็นต้องใช้เศษสวะนั่น!” จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างเย็นชา

ศาลานิรันดร์ของจักรพรรดิแห่งกาลเวลา เมื่อถูกราชาจิ่วเยี่ยเอ่ยถึงก็ได้กลายเป็นเศษสวะเสียแล้ว

โชคดีที่อาถิงหลับสนิทไม่อย่างนั้นคงต้องต่อสู้กับจิ่วเยี่ยเป็นหมื่นรอบอย่างไม่ตายไม่เลิกราแน่

“ภารกิจหลักตอนนี้คือฟื้นฟูตัวเองให้หายดี” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเด็ดขาด

“อืม! ข้ารู้! ”

เมื่อเห็นทั้งสองกอดกัน กู้ไป๋อีก็แทบอยากจะกระโดดลงมาจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภา

เห็นนางกับหวงจิ่วเยี่ยสนิทสนมกัน กลับต้องทรมานถึงเพียงนี้

โลกของพวกเขาทั้งสองมีเพียงกันและกัน ความไว้วางใจและความผูกพันของนาง ความโปรดปรานและการเอาใจใส่ของเขา ล้วนทิ่มแทงหัวใจยิ่งนัก

สีหน้าของกู้ไป๋อีเปลี่ยนเป็นเย็นชายิ่งขึ้น

มู่เฉียนซีไม่รู้ว่าหลังจากที่พวกเขาเดินทางกลับ ได้เกิดเหตุร้ายขึ้นทางตะวันตกของทุ่งรกร้าง

สํานักขวางโซ่วใช้วิธีสายฟ้าฟาดเพื่อยึดทางใต้ของทุ่งรกร้าง

จากนั้นก็ได้นำยอดฝีมือจำนวนมากบุกตะลุยเข้าไปในตะวันตกของทุ่งรกร้างและขึ้นเป็นผู้นำเมืองต่าง ๆ เมื่อก่อนหน้านี้คือเมืองซีเจว๋ บัดนี้เป็นเมืองเซี่ยเย่

ในตอนนี้บนกําแพงสูงตระหง่าน มีเงาร่างหลายร่างยืนอยู่ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์และยอดฝีมือทั้งหลายกําลังเตรียมพร้อมอยู่

พวกเขามองกลุ่มคนที่อยู่ใต้กําแพงเมืองด้วยสีหน้าหม่นคล้ำ และสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นต่างก็ปล่อยกลิ่นอายอันชั่วร้ายออกมา

เจ้าเมืองซีเจว๋กล่าว “ท่านผู้นําตระกูลเย่ ท่านเจ้าเมืองและท่านมู่ไม่ได้อยู่ในเมือง สถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้ย่ำแย่มาก! ”

ผู้เฒ่าเย่กล่าว “ไม่ว่าอย่างไร เราก็จะเสียเมืองไปไม่ได้ต้องยืนหยัดจนกระทั่งเฉินเอ๋อร์และคนอื่น ๆ จะกลับมา”

กองทัพกําลังใกล้เข้ามา นําโดยชายหนึ่งคนและหญิงหนึ่งคน

เจ้าเมืองซีเจว๋กล่าว “เป็นเจ้าตงกัวนั่น เขาหวนกลับมาแก้แค้น”

สีหน้าของตงกัวมืดมนอย่างหาที่เปรียบมิได้ “ให้โอกาสพวกเจ้าเปิดประตูเมืองแล้วยอมแพ้ซะ ข้าอาจไว้ชีวิตได้ เพียงแค่ฆ่าคนข้างกายของสตรีผู้นั้นก็พอแล้ว มิฉะนั้นทั้งเมืองจะไม่เหลือไว้! ”

เจ้าเมืองซีเจว๋กล่าว “ตงกัว เจ้าคิดว่าคําพูดของเจ้าเชื่อถือได้หรือ? แม้ว่าวันนี้จะต้องตาย ข้าก็จะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ”

ตงกัวกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ฆ่าพวกมันทั้งหมดซะ!”

“ฆ่ามันซะ!”

“โฮกก!”

กลิ่นอายสังหารของคนจากสำนักขวางโซ่วนั้นน่ากลัวมาก สัตว์ศักดิ์สิทธิ์คํารามลั่น!

เจ้าเมืองซีเจว๋กล่าว “ฆ่า!”

“สู้มัน!”

ไม่นานก็เข้าสู่การต่อสู้

ด้วยความเหนือกว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มิได้ธรรมดาทั่วไปแล้ว เป็นเพราะกลิ่นอายของจิ่วเยี่ยน่ากลัวยิ่งนัก ไท่อีเองก็เงียบสงบเป็นอย่างมาก

แน่นอนว่ามู่เฉียนซีไม่ลืมเจ้าหมอนี่ที่หาความวุ่นวายมาให้แน่ นางจึงถามขึ้น “ชิงมู่ เจ้าคิดที่จะจัดการอย่างไรกับเจ้าไท่อีนี่?”

“ฮือฮือฮือ! นายท่าน ท่าน…ท่านอย่าทิ้งข้าไป ข้ารู้ผิดแล้ว ข้าแค่เพียงดีใจมากเกินไปหน่อย ได้พบกับชิงมู่ช่างมีความสุขนัก…”

เจ้าไท่อีเองก็นับได้ว่าไวต่อความรู้สึก มันจึงได้ร้องขอให้รับตัวมันเอาไว้อย่างน่าสงสาร

.

.