ช่วงปลายฤดูหนาว ท้องฟ้าเป็นสีครามกระจ่างใส ขุนเขาถูกผนึกด้วยน้ำแข็ง ไร้เมฆเคลื่อนคล้อย เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน เห็นเพียงความเงียบสงัดแห้งเหี่ยว
นี่ก็คือสีสันของโลกมนุษย์ ตอนอยู่บนเรือข้ามฟากตระกูลเซียน ก้มหน้าลงมองภูเขาแม่น้ำหมื่นลี้ จะไม่มีทางมีความรู้สึกเช่นนี้ได้แน่นอน นี่จึงเป็นเหตุให้การฝึกตนบนภูเขายิ่งไม่อาจรับรู้ถึงความร้อนหนาวบนโลกมนุษย์
ไม้เท้าเดินป่าที่หลอมขึ้นด้วยคาถาเซียนของตำหนักปี้โหยวซึ่งอยู่ในมือเฉินผิงอันชิ้นนั้นมีรูปลักษณ์เป็นสีเขียวปลั่งแวววาว เป็นเหตุให้เส้นสายจากบ่อสายฟ้าเส้นนี้ดูคล้ายกับวัสดุที่ใช้ทำแส้ไผ่มากกว่า ไม่อย่างนั้นหากเป็นสีทองอาจจะสะดุดตามากเกินไป แต่ขอแค่คลายตราผนึกหนึ่งชั้นออกได้ แส้โบยผีอย่างหยาบๆ ที่ถือว่าหลอมเล็กสำเร็จได้ชั่วคราวชิ้นนี้ก็จะสามารถกลับคืนมามีรูปลักษณ์ดังเดิม
อุตรกุรุทวีปมีดีอยู่อย่างหนึ่ง ขอแค่พูดภาษากลางของทวีปได้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นไก่ที่คุยกับเป็ด ทว่าแจกันสมบัติทวีปกับใบถงทวีปต่างก็มีภาษาทางการและภาษาท้องถิ่นของแต่ละแคว้นแตกต่างกันไปหลากหลาย เวลาเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศจะลำบากอย่างมาก
เฉินผิงอันเดินมาถึงตีนเขา รอบกายยังคงไร้ผู้คน เขาจึงคีบเอายันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นหนึ่งออกมาเบาๆ ความเร็วในการเผาไหม้ของยันต์เป็นปกติ นี่หมายความว่าความเป็นไปได้ที่จะมีปีศาจออกอาละวาดในเมืองนั้นมีน้อยกว่า มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นสถานการณ์อย่างที่สองที่ซ่งหลันเฉียวโอสถทองพูดถึง นั่นคือหายนะใหญ่มาเยือนองค์เทพภูเขาแม่น้ำบางท่านที่อยู่แถวนครแห่งนั้น ทำให้ร่างทองใกล้จะแหลกสลาย นี่จึงส่งผลกระทบต่อโชคชะตาของน้ำและลม ภัยธรรมชาติจึงเกิดขึ้นตามมา
เพียงแต่ว่าไม่มีเรื่องราวใดที่ตายตัว เฉินผิงอันคิดว่าจะค่อยๆ ดูไปก่อน ในมือของเขาถือยันต์ เดินหน้าไปช้าๆ จนกระทั่งเจอกับรถลากเทียมวัวที่บรรทุกถ่านไม้มาเต็มลำจากไกลๆ ชายฉกรรจ์ร่างกายบึกบึนสวมเสื้อผ้าเก่าขาดคนหนึ่งพาบุตรชายบุตรสาวคู่หนึ่งที่หนาวจนมือขึ้นตุ่มน้ำพองมุ่งหน้าไปทางเมืองด้วยกัน เฉินผิงอันถึงได้ดับไฟบนยันต์ สาวเท้าก้าวเร็วๆ ไปหา ในดวงตาของเด็กน้อยทั้งสองเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ เพียงแต่ว่าเด็กชนบทส่วนใหญ่มักจะขี้อาย จึงขยับซุกตัวเข้าหาบิดา ชายฉกรรจ์เห็นคนหนุ่มที่สะพายหีบไม้ไผ่ถือไม้เท้าเดินป่าผู้นี้แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
อากาศหนาวเหน็บจนน้ำแข็งเกาะตัวบนพื้น ทางเดินจึงยิ่งแข็งกระด้าง รถเทียมวัวโคลงเคลงไม่หยุด ชายฉกรรจ์จึงยิ่งไม่กล้าจูงวัวให้วิ่งเร็วเกินไปนัก เพราะหากถ่านไม้แตกหักก็จะขายได้ราคาไม่สูง พวกผู้ดูแลน้อยใหญ่ในตระกูลคนมีเงินของในเมือง แต่ละคนสายตาอำมหิต ช่างเลือกเป็นที่สุด คำพูดเวลาใช้หั่นราคาทำให้จิตใจคนเยียบเย็นได้ยิ่งกว่าลมหนาวที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งเสียอีก เพียงแต่เมื่อจูงวัวช้าเช่นนี้ก็พานให้ลูกน้อยทั้งสองของเขาต้องเหน็บหนาวไปด้วย นี่ทำให้ชายฉกรรจ์รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย บอกพวกเขาตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ต้องมา ในเมืองมีอะไรให้น่าดูกัน ก็แค่สิงโตหินหน้าประตูเรือนมองดูแล้วน่าตกใจ ภาพเทพทวารบาลหลากสีใหญ่กว่านิดหน่อย มองนานไปก็มีอยู่แค่นั้น หากถ่านไม้ทั้งรถนี้สามารถขายได้ราคาดีจริงๆ ตนย่อมซื้อขนมของกินเล่นกลับไปฝากพวกเขาอยู่แล้ว ของอะไรที่ไม่ควรขาดในวันปีใหม่ก็ไม่มีทางลืมซื้อไปด้วย
พอจะมองเห็นเค้าโครงของกำแพงสูงได้รางๆ ชายฉกรรจ์ก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก ในเมืองคึกคัก มีกลิ่นอายของผู้คนเต็มเปี่ยม อบอุ่นกว่านอกเมืองอยู่มาก ขอแค่ลูกทั้งสองอารมณ์ดี คาดว่าคงลืมเรื่องว่าหนาวหรือไม่หนาวไปเอง
เพียงแต่ว่าคนหนุ่มสวมงอบผู้นั้นเดินไม่ช้าไม่เร็ว ตามมาด้านหลังรถเทียมวัว นี่ทำให้ชายฉกรรจ์เป็นกังวลเล็กน้อย
เฉินผิงอันเพิ่มความเร็วฝีเท้า ยิ้มถามว่า “พี่ชายท่านนี้ ข้าเป็นคนต่างถิ่นที่เดินทางมาจากแดนไกล ไม่ทราบว่าเมืองแห่งนี้ชื่อว่าอะไร? มีสถานที่ใดที่ควรไปเที่ยวชมบ้าง?”
ชายฉกรรจ์เป็นคนพูดไม่เก่ง เพียงแต่ว่าไม่กล้าแสร้งทำเป็นหูหนวกบื้อใบ้ จึงคลี่ยิ้มส่งมาให้แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ตอบนายท่าน ด้านหน้านั้นชื่อว่าเมืองสุยเจี้ย*(ตามขบวน)*ว่ากันว่าปีนั้นฮ่องเต้เดินทางลงใต้ ไม่ทันระวังถูกลมหนาวจึงมาพักอาศัยอยู่ที่เมืองแห่งนี้ระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็ได้ตั้งชื่อนี้ให้ ข้ารู้แค่ว่าศาลเทพอภิบาลเมืองทางทิศเหนือและศาลเทพอัคคีทางทิศใต้ เวลาปกติคนจะไปเยือนเยอะที่สุด นายท่านสามารถลองไปดูได้”
“ตกลง ถ้าอย่างนั้นเมื่อข้าเข้าเมืองแล้วจะไปเยือนสองสถานที่นี้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปช่วยจับรถลากเทียมวัวเบาๆ “ต้องผ่านทางไปพอดี ข้าเองก็ไม่ได้รีบร้อน เข้าเมืองไปด้วยกันเถอะ จะได้ถือโอกาสนี้สอบถามถึงเรื่องราวต่างๆ ของเมืองสุยเจี้ยจากพี่ชายด้วย”
แม้ว่าชายฉกรรจ์จะรู้สึกกระวนกระวายใจ แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นว่ารถเทียมวัวขยับเข้าไปใกล้ประตูเมืองของเมืองสุยเจี้ยมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว น่าจะไม่มีเรื่องไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้นได้ ถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย จึงเลียนแบบการพูดจาของคนในเมือง สรรหาถ้อยคำน่าฟังมาเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเล่าบางเรื่องที่ข้าพอจะรู้แล้วกัน สามารถช่วยนายท่านในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ย่อมดีที่สุดแล้ว ข้าไม่เคยเรียนหนังสือ พูดไม่เก่ง บางเรื่องหากพูดไม่ถูกก็ขอนายท่านอย่าได้ถือสา”
เฉินผิงอันมือหนึ่งถือไม้เท้าเดินป่า มือหนึ่งช่วยจูงรถเทียมวัว “ดียิ่งนัก เชิญพี่ชายพูดได้ตามสบาย”
ภายใต้การแนะนำของชายฉกรรจ์ที่คิดถึงเรื่องไหนได้ก็พูดถึงเรื่องนั้น เฉินผิงอันจึงรู้ว่าเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้ไม่ถือว่าเป็นเมืองเล็กในแคว้นอิ๋นผิง ในประวัติศาสตร์เคยมีอัครเสนาบดีท่านหนึ่งถือกำเนิด ดังนั้นควันธูปของหอขุยซิงที่ศาลเทพอภิบาลเมืองจึงโชติช่วง ศาลเทพอัคคีก็มีชื่อเสียง ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการขอพรด้านโชคลาภเงินทอง คนมีเงินที่ทำการค้าใหญ่ของเมืองต่างก็ชอบไปจุดธูปที่นั่น ดังนั้นชายฉกรรจ์จึงจะจูงรถไปยังตลาดที่อยู่ใกล้กับศาลเทพอัคคี เมื่อขายถ่านไม้ทั้งคันรถได้แล้วก็สามารถซื้อของที่ใช้ในวันปีใหม่จากร้านแถวนั้นเอากลับบ้านไปได้
เด็กสองคนลอบมองประเมินเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา แต่พอเฉินผิงอันหันไปยิ้มให้พวกเขา พวกเขากลับหันหน้าหนีทันที ท่าทางเขินอายเล็กน้อย
โดยไม่ทันรู้ตัว รถเทียมวัวก็มาถึงหน้าประตูเมือง เนื่องจากยังเช้าอยู่มาก จึงจำเป็นต้องเข้าแถวเดินเข้าเมือง บริเวณใกล้เคียงมีร้านขายอาหารเช้าอยู่บางส่วน เฉินผิงอันจึงซื้อโจ๊กถ้วยเล็กหนึ่งถ้วยและแป้งม้วนยัดไส้หนึ่งชิ้น ปลดงอบลง นั่งลงข้างโต๊ะแล้วเริ่มกินอาหาร เด็กสองคนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลกลืนน้ำลาย ชายฉกรรจ์ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะควักเงินเหรียญทองแดงหยิบมือเล็กๆ มอบให้กับบุตรสาว พอได้เงิน เด็กทั้งสองก็วิ่งฉิวมาที่ร้าน ซื้อโจ๊กชามเล็กหนึ่งชามและแป้งม้วนไส้ผักที่มีกลิ่นไข่ไก่หอมๆ ชิ้นหนึ่งเช่นกัน เด็กหญิงเอาแป้งม้วนประคองส่งให้พ่อของนาง ชายฉกรรจ์กัดไปแค่คำเดียวแล้วแบ่งแป้งม้วนที่เหลือออกเป็นสองส่วน มอบคืนให้กับเด็กหญิง เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งกลับมาที่ข้างโต๊ะ ยื่นส่งให้น้องชายครึ่งหนึ่ง จากนั้นสองพี่น้องก็กินโจ๊กถ้วยเดียวกัน ชายฉกรรจ์เฝ้ารถลากเอาไว้ ยกมือเช็ดปาก คลี่ยิ้มกว้าง
กิจการของร้านค้าไม่เลว เด็กทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินผิงอัน
เวลากินเฉินผิงอันเคยชินกับการเคี้ยวอาหารอย่างละเอียดพลางครุ่นคิดอะไรไปด้วย
การเดินทางไปเยือนหุบเขาผีร้ายก่อนหน้านี้ การประลองปัญญาปัดแข้งปัดขากับบัณฑิต และการประลองพละกำลังกับภูตอินทรีทองแห่งยอดเขาจีเซียว อันที่จริงไม่ถือว่าอันตรายสักเท่าไหร่
แต่ระยะทางระหว่างที่เดินทางจากนครถงโช่วมาถึงเมืองชิงหลู หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือนับตั้งแต่ที่เดินลงจากเรือข้ามฟากของสำนักพีหมา จนกระทั่งไปถึงการใช้เจี้ยนเซียนแหวกผ่าม่านฟ้าหนีไปที่ภูเขามู่อี ทำให้จนถึงตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังหวาดผวาไม่คลาย หลังจบเรื่องเขาก็ทบทวนกระดานหมากซ้ำอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งล้วนรู้สึกว่ามีเพียงเส้นบางๆ ที่กั้นระหว่างความเป็นความตายเท่านั้น เพียงแต่พอคิดถึงผลเก็บเกี่ยวในท้ายที่สุดที่อุดมสมบูรณ์ หาเงินเทพเซียนมาเพิ่มได้ไม่น้อย ของล้ำค่าหายากก็ได้มาอยู่หลายชิ้น จึงไม่มีอะไรให้เขาต้องโทษคนบ่นฟ้าอีก ความเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือต่อยตีกับคนอื่นน้อยเกินไป ไม่เจ็บไม่คัน ถึงขนาดที่ว่าสู้ตอนถูกป้อนหมัดบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ไม่สาแก่ใจมากพอ หากปีศาจของภูเขาจีเซียวกับอริยะใหญ่ปานซานตนนั้นร่วมมือกัน และสมมติว่าไม่มีวิญญาณวีรบุรุษห้าขอบเขตบนอย่างเกาเฉิงคอยลอบมองอยู่ทางทิศเหนือ บางทีอาจจะได้ต่อสู้อย่างเต็มคราบมากกว่านี้
ภายหลังมาพักผ่อนอยู่ในจวนบนภูเขามู่อี อาศัยการอ่านรายงานข่าวจวนตระกูลเซียนปึกหนึ่งที่ขอให้คนนำมาให้ จึงได้รู้เรื่องราวใหม่ๆ ของอุตรกุรุทวีปอีกไม่น้อย
เรื่องหนึ่งในนั้นที่อยู่เหนือการคาดการณ์มากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นนักพรตหญิงหวงถิงแห่งภูเขาไท่ซานที่พ่ายแพ้ให้แก่คนหนุ่มผู้หล่อเหลาบนภูเขาซึ่งมีนามว่าหลิวจิ่งหลงในศึกตัดสินเป็นตายบนภูเขาตี่ลี่ ต้องรู้ว่าหวงถิงมาที่อุตรกุรุทวีปเพื่อฝ่าคอขวดก่อกำเนิด แม้จะบอกว่านางเป็นก่อกำเนิดที่เพิ่งเลื่อนขั้นใหม่ ทว่าวิชากระบี่ของหวงถิงนั้นสูงส่งเลิศล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย และเหนือหลิวจิ่งหลงที่อายุกับตบะพอๆ กับหวงถิงขึ้นไป ยังมี ‘ผู้ฝึกตนหนุ่ม’ ที่ทั้งตบะ พรสวรรค์ ภูมิหลังและโชควาสนาล้วนโดดเด่นยิ่งกว่าฝูงชนอีกสองคน ส่วนลูกรักแห่งสวรรค์อีกเจ็ดคนที่อยู่ตามหลังหลิวจิ่งหลง ลำพังดูแค่จากสภาพจิตใจและวิธีการของหยางหนิงซิ่งแห่งตำหนักนภากาศแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่กล้าดูแคลนพวกเขาแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ภูเขาตี่ลี่ยังมีอีกสถานที่หนึ่งที่เฉินผิงอันสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง
เหนือภูเขามีภูเขา บริเวณใกล้เคียงกับภูเขาตี่ลี่ที่มีศึกสงครามเปิดฉากขึ้นอย่างต่อเนื่องยังมีภูเขาร้อยน้ำพุที่เหมาะแก่การชมศึกอยู่อีกลูกหนึ่ง บนภูเขามีน้ำพุวิเศษอยู่ร้อยกว่าแห่ง ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น คือสถานที่วิเศษก่อนกำเนิดแห่งหนึ่ง บนภูเขาสร้างจวนตระกูลเซียนน้อยใหญ่ไว้พันกว่าหลัง ระหว่างภูเขาเขียวน้ำใสนั้นมีเรือนลึกหลายชั้นตั้งอยู่ ทัศนียภาพชวนให้ผู้คนสบายตาสบายใจ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ฝึกตนอันดับหนึ่ง จวนบนภูเขาร้อยน้ำพุแห่งนี้มีไว้ให้เช่าเท่านั้น ไม่มีสำหรับขาย ทั้งหมดล้วนถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตด้วยฝีมือของช่างสำนักโม่และผ่านการเลือกสรรสถานที่ตั้งจากยอดฝีมือสำนักหยินหยางซึ่งทางสำนักฉงหลินเป็นผู้เชื้อเชิญมา สามารถเช่าในระยะยาว แต่ยิ่งระยะเวลานานเท่าไหร่ ค่าเช่าก็ยิ่งแพงมากเท่านั้น
อาศัยการค้าอันยาวนานที่มีเงินทองไหลมาเทมานี้ สำนักฉงหลิน (ภาษาจีนคือฉงหลินจง) ที่เก่งในด้านการหาเงินจึงสามารถอาศัยการทุ่มเงินเทพเซียนจ้างผู้ถวายงานขอบเขตหยกดิบครึ่งตัวมาได้ และสำนักก็ได้อักษรตัวจงมาเพิ่มในชื่อ
สำนักแห่งนี้มีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนักในอุตรกุรุทวีป เห็นแต่เงินอย่างเดียวเท่านั้น ไม่เคยเห็นแก่ความสัมพันธ์ใดๆ แต่กระนั้นก็ไม่ถ่วงความเจริญรุ่งเรืองและเงินทองที่มากองอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ดังนั้นสำนักฉงหลินจึงทั้งทำให้ผู้ฝึกตนอิจฉาตาร้อน แล้วก็ทั้งทำให้คนบนภูเขาดูแคลน มีคำเหน็บแนมที่เป็นประโยคติดปากประโยคหนึ่งแพร่ไปทั่วทั้งเหนือและใต้ หมอนปักลายบุปผาห้าขอบเขตบน สองแขนเสื้อมีลมเย็นสำนักฉงหลิน (สองแขนเสื้อมีลมเย็นเปรียบเปรยถึงขุนนางที่มือสะอาดซื่อสัตย์)
เฉินผิงอันวางตะเกียบลง มองไปทางประตูเมือง ห่างออกไปในเมืองมีเสียงกีบเท้าม้าดังมาเป็นระลอก ดังสนั่นสะเทือนพื้นดิน น่าจะเป็นขบวนของม้าสูงใหญ่แปดตัวที่พากันออกมาจากเมือง พอขยับเข้ามาใกล้ประตูเมืองที่มีคนยืนออกันอยู่ก็ไม่เพียงแต่ไม่ชะลอฝีเท้าม้าให้ช้าลง กลับกันยังโบยแส้เพิ่มความเร็ว เป็นเหตุให้ตรงประตูเมืองวุ่นวายอลหม่าน พวกชาวบ้านที่เข้าออกเมืองสุยเจี้ยพากันเอาตัวแนบติดกำแพง ส่วนชาวบ้านที่อยู่นอกเมืองก็คล้ายจะเห็นมาจนชินแล้ว แม้แต่รถเทียมวัวของชายฉกรรจ์ก็ยังรีบขยับแนบชิดสองข้างฝั่งของถนนอย่างเร่งร้อนแต่ไม่วุ่นวาย พริบตาเดียวก็เปิดทางที่โล่งกว้างเส้นหนึ่ง
นี่คือเหตุการณ์ที่ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ล้วนมีให้เห็นได้เสมอ
ลูกหลานคนรวยที่สวมอาภรณ์สีสันฉูดฉาด แต่ละคนนั่งอยู่บนหลังม้าสูง ควบม้าออกจากเมืองอย่างรีบร้อน เสียงกีบเท้าม้าที่รัวเร็วประหนึ่งเสียงประทัด ทายาทชนชั้นสูงที่มีสีหน้าหยิ่งทระนงเหล่านั้นควบม้าทะยานผ่านไปอย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย แต่ละคนสวมห่มชุดคลุมหนังจิ้งจอกราคาแพง ในมือถือแส้ม้าหุ้มด้วยผ้าแพรปักลาย สะพายธนูไว้บนหลัง และยังมีพวกข้ารับใช้ร่างกายแข็งแรงกำยำถือกรงนกตามมา มองดูแล้วช่างมากบารมีเปี่ยมอำนาจเสียจริง
แต่ความสนใจของเฉินผิงอันกลับอยู่ที่หนุ่มสาวสองคนที่นั่งอยู่ในร้านแห่งหนึ่งซึ่งห่างไปไม่ไกลมากกว่า หนึ่งชายหนึ่งหญิงคู่นั้นสวมชุดเรียบง่าย แต่สะอาดสะอ้าน ต่างก็สะพายกระบี่ยาว หน้าตาไม่ถือว่าโดดเด่น แต่กลับมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พวกเขากินเกี๊ยวน้ำกันคนละถ้วย สีหน้าเฉยชา เมื่อบุรุษเห็นกลุ่มลูกหลานชนชั้นสูงที่ควบม้าห้อตะบึงออกจากเมืองสุยเจี้ยไปนั้นก็ขมวดคิ้ว สตรีวางตะเกียบลง ส่ายหน้าให้บุรุษเบาๆ
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง
น่าจะเป็นผู้ฝึกตนที่มาเยือนเพราะภาพเหตุการณ์ประหลาดในเมืองสุยเจี้ย
เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนชายหญิงมีตบะไม่สูง เฉินผิงอันสังเกตจากภาพการไหลเวียนของปราณวิญญาณบนตัวพวกเขา คือผู้ฝึกลมปราณสองคนที่ยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิต แม้คนทั้งสองจะสะพายกระบี่ แต่ต้องไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่อย่างแน่นอน
เมื่อสตรีสะพายกระบี่หันหน้ามามองก็เห็นเพียงคนหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังจ่ายเงินกับเจ้าของร้าน ในมือของเขาถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวมรกต บนศีรษะสวมงอบที่สานจากไม้ไผ่ สีหน้าของบุรุษเป็นปกติ อีกทั้งลักษณะท่าทางยังดูธรรมดา ไม่ต่างจากพวกจอมยุทธพเนจรที่ชอบท่องอยู่ในยุทธภพสักเท่าไหร่ สตรีถอนหายใจ หากเป็นคนในยุทธภพที่จับผลัดจับผลูเข้ามาในเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้ก็ถือว่าโชคไม่ดีเลย แต่หากเหมือนกับพวกเขาที่ตั้งใจมาเยือนเมืองสุยเจี้ยเพราะที่นี่กำลังจะมีหายนะบังเกิด และขณะเดียวกันสมบัติวิเศษก็จะเผยตัวบนโลก ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเรียกว่าไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแล้ว เขาไม่รู้เลยหรือว่าสมบัติชิ้นนั้นถูกสองตระกูลเซียนใหญ่ที่มีรากฐานลึกล้ำที่สุดบนอาณาเขตของหลายสิบแคว้นหมายตาไว้นานแล้ว นอกจากพวกผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่รู้จักกลัวตายแล้ว คนอื่นมีใครกล้าอาจเอื้อมไปแตะต้องบ้าง? อย่างนางกับศิษย์น้องร่วมสำนักข้างกายผู้นี้ นอกจากจะต้องทำภารกิจลับที่สำนักมอบหมายให้สำเร็จแล้ว ที่มากกว่านั้นคือถือเป็นการฝึกฝนประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยอันตรายรายล้อมอีกด้วย
การต่อสู้ของเทพเซียนที่จริงแท้แน่นอนครั้งนี้ หากคนธรรมดาเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ทันระวังขวางทางของเซียนซือใหญ่คนใดก็อาจต้องพบจุดจบที่ร่างแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
—–