ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 64 สามตระกูลราชันย์

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ณ จวนหิมะเหิน เมืองจวิ้นซาน

 

ประมุขพรรคเงามารและเจ้าเมืองอูเจ๋อมิได้รีบร้อนจากไป หากแต่ตระเตรียมงานเลี้ยงที่ฟู่ฟ่ามากโดยผ่านหอจิตฟ้า และเชื้อเชิญตงป๋อเสวี่ยอิงมา!

 

“เป็นเพราะเป่ยเหอผู้นั้นทั้งสิ้นที่ล่อลวงพวกข้ามาจัดการจักรพรรดิเทพหิมะเหิน” ประมุขพรรคเงามารนั่งอยู่ตรงนั้น เขาพูดด้วยความขุ่นเคืองว่า “หากข้าและคนอื่นๆ รู้ว่าพี่หิมะเหินมีพลังเช่นนี้ พวกเราไม่มีทางมาแน่”

 

“ใช่แล้ว เขาหนีไปได้รวดเร็วนัก! ทั้งยังมิอาจสะกดรอยได้ด้วย เฮอะ หากเป่ยเหอผู้นี้แน่จริงก็ต้องหลบซ่อนไปให้ได้ตลอด หากเขากล้าโผล่หัวออกมาเมื่อไหร่ ข้าจะต้องไม่ปล่อยเขาเอาไว้แน่” เจ้าเมืองอูเจ๋อก็กัดฟันแน่น

 

“ถูกต้อง! จะละเว้นเขามิได้” ประมุขพรรคเงามารขบกรามกรอด

 

พวกเขาสองคนโกรธเสียจนคันยุบยิบไปหมด

 

ก่อนที่เขาจะมา พวกเขาไม่รู้เลยว่าจักรพรรดิเทพหิมะเหินเชี่ยวชาญกระบวนท่าทางด้านวิญญาณ! หากล่วงรู้ว่ากระบวนท่าทางด้านวิญญาณแข็งแกร่งเสียจนน่ากลัวเช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาก็คงจะไม่มาแล้ว เนื่องจากทุกคนที่เหยียบย่างลงบนเส้นทางการบำเพ็ญล้วนแต่เข้าใจว่า…วิญญาณจึงจะเป็นแก่นแท้! หากกระบวนท่าทางด้านวิญญาณเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อ ‘ระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์’ แล้ว เช่นนั้นผลสำเร็จทางด้านวิญญาณก็ต้องเลิศล้ำที่สุดในโลกเทพเป็นแน่

 

บุคคลพรรค์นี้ ไหนเลยจะเป็นศัตรูด้วยได้ง่ายๆ

 

เพียงแต่ว่า จักรพรรดิเป่ยเหอก็รู้ในข้อนี้ดี ดังนั้นจึงได้จงใจปิดบัง! ขอแค่จักรพรรดิเป่ยเหอไม่พูด พวกประมุขพรรคเงามารทั้งสองคนก็คงคิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ที่ด้านวิญญาณไร้เทียมทานถึงเพียงนี้ พวกเขาทั้งสองก็เหิมเกริมจนเคยชินเสียแล้ว ย่อมคิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ใดที่เป็นภัยคุกคามถึงชีวิตพวกเขาเข่นนี้ได้

 

“เกรงว่าเมื่อเป่ยเหอผู้นี้ซ่อนตัวขึ้นมา ก็คงไม่ปรากฏตัวง่ายๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เมื่อจากโลกนี้ไป คิดจะกลับมาก็ยากแล้ว

 

“เขาล่วงเกินท่านจักรพรรดิเทพหิมะเหิน ไหนเลยจะกล้าปรากฏตัวง่ายๆ เล่า” เจ้าเมืองอูเจ๋อพูดยิ้มๆ เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงทำอะไรเขาไม่ได้ในตอนนี้ และเจ้าเมืองอูเจ๋อยังมีอันดับต่ำกว่าประมุขพรรคเงามารอยู่เล็กน้อยด้วย การสั่งสมก็น้อยกว่าอยู่บ้าง ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่พูดถึง ‘สมบัติล้ำค่ามูลค่าห้าหมื่นหยกแก้วคละถิ่น’ ทั้งสองฝ่ายก็นับว่าได้บรรเทาความแค้นระหว่างกันลงไปแล้ว

 

“เอ๊ะ” ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เงยหน้าขึ้น

 

แสงดาวพราวระยับ

 

ทางเชื่อมแสงดาวอันเรืองรองปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าเหนือเมืองจวิ้นซาน แล้วก็มีเงาร่างสามสายเดินออกมาจากในนั้น คนหนึ่งก็คือบุรุษอาภรณ์สีเทาเรียบๆ ‘เจ้าเมืองมังกรเหล็ก’ อีกคนหนึ่งก็คือ ‘เจ้าเมืองวายุดารา’ ผู้อ้วนท้วน ส่วนคนสุดท้ายก็คือ ‘นายเรือโอสถแดง’ สตรีร่างอรชรที่สะพายมีดโค้งขนาดมหึมาเอาไว้บนหลัง

 

“พวกเจ้าเมืองมังกรเหล็กและน้องหญิงโอสถแดงก็มาแล้วหรือ” เจ้าเมืองอูเจ๋อเงยหน้ามองด้วยความตกตะลึงแล้วพูดยิ้มๆ “มาได้รวดเร็วจริงๆ”

 

“เจ้าเมืองมังกรเหล็กมาถึงได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่ หาได้ยากนัก” ประมุขพรรคเงามารก็เอ่ยขึ้น

 

พวกเขาทั้งสองจงใจเชื้อเชิญตงป๋อเสวี่ยอิงมา ที่ถ่วงเวลาอยู่ที่นี่ ก็เพราะพวกเขารู้ว่า การต่อสู้ครั้งนี้จะต้องแพร่สะพัดไปทั่วทั้งโลกเทพอย่างรวดเร็วที่สุดแน่นอน และจะต้องมีผู้มาเยี่ยมเยียนจักรพรรดิเทพหิมะเหินไม่น้อยเป็นแน่! ถึงตอนนั้น เมื่อผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์กลุ่มใหญ่อยู่ที่นั่น ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาสองคนญาติดีกับจักรพรรดิเทพหิมะเหินแล้ว

 

หากในภายหน้าจักรพรรดิเทพหิมะเหิน ‘แก้แค้น’ อีก ก็เกรงว่าคงจะถูกคนลอบหัวเราะเยาะ

 

พลังมาถึงระดับนี้แล้ว ผู้แกร่งกล้าก็ยังคงต้องไว้หน้าตนเองเป็นอันมาก

 

“พี่หิมะเหิน” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “ข้ามาหาท่าน ช่างหาได้ยากลำบากนัก”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงยืดกายขึ้นแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “หิมะเหินเพียงแค่อยากจะซ่อนตัวอยู่อย่างสันโดษเพื่อบำเพ็ญและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่านั้น เจ้าเมืองมังกรเหล็กโปรดอภัยด้วย”

 

“ให้อภัยสิๆ ไม่ให้อภัยได้ด้วยหรือ บัดนี้เกรงว่าข้าคงจะมิใช่คู่ต่อสู้ของท่านแล้ว” เจ้าเมืองมังกรเหล็กพูดยิ้มๆ

 

“เจ้าเมืองมังกรเหล็ก น้องหญิงโอสถแดง พี่วายุดารา มา รีบนั่งเร็วเข้า” เจ้าเมืองอูเจ๋อพูดเสียงสูง

 

พวกเจ้าเมืองมังกรเหล็กและนายเรือโอสถแดงทั้งสามคนพากันรับคำก่อนจะนั่งลง

 

“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน อีกประเดี๋ยวพวกเรามาประลองกันสักหน่อย” นายเรือโอสถแดงมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง

 

“ประลองหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูนาง

 

อันดับของนายเรือโอสถแดงไม่นับว่าสูงสักเท่าใดนัก นับว่าเป็นระดับกลางๆ ในบรรดาจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ ทัดเทียมกับเจ้าเมืองอูเจ๋อเท่านั้นเอง

 

“ควรจะนับว่าเป็นการชี้แนะ ให้จักรพรรดิเทพหิมะเหินชี้แนะโอสถแดงเสียหน่อย” นายเรือโอสถแดงพูดยิ้มๆ

 

“ข้าก็อยากจะประลองกับพี่หิมะเหินดูสักตั้ง” เจ้าเมืองมังกรเหล็กเอ่ย

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะพลางพยักหน้า

 

เขาสัมผัสได้ถึงความอาฆาตและความปรารถนาอันแสนจะกดดันของทั้งสองคนนี้ มาถึงขั้นครบสมบูรณ์แล้ว ต่อไปก็คือต้องตื่นรู้ขั้นสุดยอด! ตามปกติแล้วเจ้าเมืองมังกรเหล็กและนายเรือโอสถแดงต่างก็ไม่สนใจเรื่องทางโลก พวกเขาใฝ่หาการสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น บัดนี้มีสิ่งมีชีวิตอย่าง ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ซึ่งมีพลังไล่เลี่ยกับอันดับหนึ่งของรายนามจักรพรรดิเทพ แน่นอนว่าพวกเขาก็ย่อมปรารถนาจะต่อสู้ด้วยสักตั้ง เพื่อเคี่ยวกรำตนเอง

 

……

 

วันนี้มีผู้แกร่งกล้ามายังเมืองจวิ้นซานมากมายยิ่งนัก ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์กว่าครึ่งของโลกเทพพากันมาที่นี่! แม้แต่ผู้เหินทะยานซึ่งด้านวิถีอากาศแข็งแกร่งที่สุด…ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย ‘จักรพรรดิเทพนางแอ่นเหิน’ ก็มาด้วยเช่นกัน

 

******

 

และในวันนี้เอง

 

สามตระกูลราชันย์ก็ได้จับตามอง ‘จักรพรรดิเทพหิมะเหิน’ ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพซึ่งพำนักอยู่ในเมืองจวิ้นซานเช่นเดียวกัน!

 

“ฟิ้วๆๆ…”

 

ดวงดารานับล้านๆ ดวงโคจรอยู่รอบเกาะที่ลอยคว้างแห่งหนึ่ง ดวงดาราแต่ละดวงล้วนมีขนาดราวพันลี้ แต่ละดวงเปล่งรัศมีออกมา การส่องสะท้อนของดวงดารานับล้านๆ ดวงทำให้เกาะแห่งนี้ราวกับภาพความฝันอย่างไรอย่างนั้น! เกาะแห่งนี้ก็คือเกาะดาวเหนือ ซึ่งเป็นของ ‘ตระกูลดาวเหนือ’ หนึ่งในสามตระกูลราชันย์ซึ่งมีสถานะไม่ธรรมดาอย่างยิ่งในโลกเทพนั่นเอง

 

บนเกาะดาวเหนือ

 

ภายในวังอันสูงตระหง่านแห่งหนึ่ง

 

บุรุษคนหนึ่งและสตรีคนหนึ่งนั่งอยู่ ณ จุดสูงสุดในตำแหน่งประธาน มีผู้อาวุโสทั้งเก้าแห่งสมาคมผู้อาวุโสแห่งเกาะดาวเหนือยืนอยู่

 

“ข่าวมิได้ผิดพลาดกระมัง” บุรุษอาภรณ์สีดำงดงามหรูหราเหลือบมองลงไปเบื้องล่างพลางพูดเสียงเรียบ

 

“ฝ่าบาททั้งสอง ข้าเพิ่งยืนยันข่าวนี้กับตระกูลจิตฟ้าเมื่อสักครู่นี้เอง ตระกูลจิตฟ้าได้ใช้ ‘บ่อจิตฟ้า’ ตรวจสอบจนมั่นใจแล้วว่าไม่ผิดพลาด” ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านล่างผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพ “จักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นั้นสู้กับศัตรูสามคนด้วยตัวคนเดียวจริงๆ จนเอาชนะระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์สามคนได้ ประมุขพรรคเงามารและเจ้าเมืองอูเจ๋อมีชื่อเสียงเลื่องลือก็แล้วไปเถิด จักรพรรดิเทพระดับครบสมบูรณ์ผู้เร้นลับที่เชี่ยวชาญในการใช้กระบี่ผู้นั้น แม้ก่อนหน้านี้จะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่พลังที่สำแดงออกมาก็น่ากลัวยิ่งนัก พวกเขาทั้งสามล้วนถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ไป จะเห็นได้ถึงความแข็งแกร่งของจักรพรรดิเทพหิมะเหิน! นอกจากนี้ข้ายังติดต่อประมุขพรรคเงามารและเจ้าเมืองอูเจ๋อแบบตัวต่อตัว พวกเขาสองคนต่างก็บอกว่า…จักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้มีกระบวนท่าทางด้านวิญญาณที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นพวกเขาสองคน พลังก็ลดเหลือเพียงสองสามส่วนเท่านั้นภายใต้กระบวนท่าทางด้านวิญญาณ”

 

“กระบวนท่าทางด้านวิญญาณหรือ” บุรุษชุดดำและสตรีอาภรณ์ขาวที่อยู่ด้านข้างสบตากันแวบหนึ่ง

 

“พี่ใหญ่ โลกเทพเราไม่เคยมียอดฝีมือผู้เชี่ยวชาญกระบวนท่าทางด้านวิญญาณที่ร้ายกาจเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาก่อน” สตรีอาภรณ์ขาวเอ่ย “มียอดฝีมือพรรค์นี้รุ่งโรจน์ขึ้นมา ควรจะแจ้งให้ท่านพ่อทราบ”

 

“อื้ม!” บุรุษชุดดำพยักหน้าน้อยๆ “ได้ แจ้งให้ท่านพ่อทราบ”

 

พวกเขาสองคนมีสถานะสูงส่งนัก

 

ก็เพราะว่า…

 

พวกเขาทั้งสองคือบุตรธิดาของ ‘บรรพเทวะดาวเหนือ’ หนึ่งในสามบรรพเทวะคละถิ่นนั่นเอง!

 

เพียงแต่สองพี่น้องก็เคารพยำเกรงผู้เป็นบิดายิ่งนัก เพราะถึงอย่างไรบิดาก็เป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่กระโดดออดจากกรงขัง หากมิใช่เรื่องสำคัญ พวกเขาก็ไม่มีทางไปรบกวนบิดา

 

“ตอนแรกเจ้าเมืองหงส์เมฆาก็เคยดึงดูดความสนใจของท่านพ่อ แต่ต่อมา ก็ไม่มีข่าวคราวแล้ว เจ้าเมืองหงส์เมฆายังคงอยู่ในโลกของเรา” สตรีอาภรณ์ขาวเอ่ย “ไม่รู้ว่าครั้งนี้จักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้จะดึงดูดความสนใจได้มากพอหรือไม่”

 

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วิญญาณก็เป็นแก่นแท้ของสิ่งมีชีวิต เขามีผลสำเร็จทางด้านวิญญาณอันน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ได้ ก็มีคุณสมบัติพอจะทำให้พวกเราแจ้งท่านพ่อให้ทราบได้แล้ว” บุรุษชุดดำพลิกมือคราหนึ่งแล้วหยิบป้ายคำสั่งกึ่งโปร่งแสงออกมา บนป้ายคำสั่งมีดวงดาราจำนวนนับไม่ถ้วนโคจรอยู่ วงโคจรเหมือนกับดวงดาราที่โคจรอยู่รอบเกาะดาวเหนือทุกประการ

 

ป้ายคำสั่งนี้ก็คือสมบัติชั้นยอดคุ้มกาย! เขาและน้องสาวมีอยู่คนละก้อน มันสามารถคุ้มกายได้ และสามารถติดต่อท่านพ่อได้เช่นกัน

 

ผู้อาวุโสทั้งเก้าที่อยู่ด้านล่างเห็นเข้าก็เผยสีหน้าเคารพออกมา

 

ในตระกูลดาวเหนือ…ก็มีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะติดต่อกับบรรพเทวะคละถิ่นได้

 

“ท่านพ่อ” บุรุษชุดดำถือป้ายคำสั่งแล้วส่งสารติดต่อทันที

 

……

 

ตระกูลทิพย์ทอง

 

หลังจากสองพี่น้องตระกูลทิพย์ทองสำรวจโดยละเอียดแล้ว จึงได้ส่งผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์คนหนึ่งของตระกูลมุ่งหน้าไปยัง ‘เมืองจวิ้นซาน’ หลังจากทราบข้อมูลโดยละเอียดแล้ว จึงแจ้งให้บิดาของพวกเขาซึ่งก็คือบรรพเทวะทิพย์ทอง หนึ่งในสามบรรพเทวะคละถิ่นทราบ

 

……

 

ตระกูลจิตฟ้า

 

สามพี่น้องตระกูลจิตฟ้าทราบข่าวเร็วที่สุด พวกนางก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นเดียวกัน มารดาของพวกนางเคยกำชับเอาไว้ จึงย่อมตัดสินว่า ‘จักรพรรดิเทพหิมะเหิน’ ผู้นี้มีคุณสมบัติพอจะต้องแจ้งให้มารดาทราบ

 

“ก่อนหน้านี้แม้ในโลกเทพจะมีผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์เช่นกัน แต่ผู้ที่มีกระบวนท่าทางด้านวิญญาณแข็งแกร่งเช่นนี้กลับไม่เคยมีมาก่อน”

 

“วิญญาณเป็นแก่นแท้ของชีวิต หากเส้นทางวิญญาณบรรลุถึงระดับสูงยิ่ง ก็คงจะไม่เหมือนกับเส้นทางอื่นๆ กระมัง”

 

พี่น้องสามคนนี้วิพากษ์วิจารณ์กันด้วยความสนใจใคร่รู้เป็นอันมาด

 

ขณะเดียวกันพวกนางก็ส่งสารติดต่อกับมารดาของพวกนาง…บรรพเทวะจิตฟ้า

 

……………………