ตอนที่ 609 พี่เสือดำ (ตัวผู้)

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เสือดำเห็นสีหน้าและอารมณ์ที่แปรปรวนของนาง ก็ทอดถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ถามว่า “ผ่านมาก็ตั้งนานหลายปีแล้ว ท่านก็ยังลืมคนผู้นั้นไม่ได้หรือ?” 

 

 

แค่เอ่ยถึงคนผู้นั้น บนร่างของซูจี่ก็ปรากฏไอสังหารพวยพุ่งขึ้นมาในทันที 

 

 

“หุบปาก อย่าได้เอ่ยถึงเขา” 

 

 

น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ ราวกับว่าต้องการจะฆ่าคน 

 

 

“แต่ว่าแค่พูดถึงแดนสวรรค์ขึ้นมาเมื่อไร ท่านเป็นต้องควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้ทุกที” 

 

 

ซูจี่หัวเราเสียงเย็นชา “เจ้าเคยเห็นข้าอารมณ์ดีเมื่อไหร่กัน?” 

 

 

เสือดำ “เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ท่านยังเป็นพระสนมต๋าจี่ ท่านในตอนนั้น นุ่มนวลและอ่อนโยนอยู่เสมอ” 

 

 

ใช่แล้ว จิ้งจอกเก้าหางผู้แสนอ่อนโยน เปี่ยมไปด้วยไอเซียนท่วมท้นผู้นั้น ไม่อาจกลับคืนมาอีกแล้วกระมั้ง 

 

 

นางตายไปแล้ว ตายในกองเพลิงที่ลุกท่วมหอสอยดาวลู่ไถ 

 

 

แววตาของซูจี่มืดครึ้มลง ปลายเล็บเป็นสีแดงราวกับย้อมขึ้นจากโลหิตสด ปลายเล็บสีแดงนั้นแทบจะจิกลงไปในใจกลางฝ่ามือ 

 

 

“อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องที่ผ่านมาอีก และอย่าได้เรียกข้าว่าต๋าจี่” 

 

 

เสือดำเห็นแววตาของนางมีแต่ความปวดร้าว ก็ได้แต่ส่ายศีรษะถอนหายใจ กาลเวลาแปรผัน ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง 

 

 

นับประสาอะไรกับคนเรา 

 

 

หากมิใช่เพราะว่ามอบหัวใจให้ไป หากมิใช่เพราะถึงอย่างไรร่างนี้แท้จริงก็ยังเป็นปีศาจ แต่แล้วกลับกระทำสิ่งที่ไม่สมควรทำมากที่สุด มอบหัวใจรักแท้ให้ไป…. 

 

 

หากว่าตอนนั้นนางเป็นเพียงปีศาจจิ้งจอกที่ชั่วร้ายไร้น้ำใจ….. 

 

 

น่าเสียดายที่ทุกสิ่งเป็นเพียงแค่ ‘หากว่า’ 

 

 

ในใต้หล้านี้ สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดก็คือสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว 

 

 

เสือดำเงียบงันไปเนิ่นนาน มันไม่ได้เดินไปเดินมาอีกต่อไป เพียงแต่หมอบลงอยู่ที่ข้างสระน้ำร้อน เฝ้ามองซูจี่อย่างเงียบๆ 

 

 

ด้วยดวงตาที่ปวดร้าวเช่นกัน 

 

 

มันเองก็ไม่เต็มใจจะย้อนคิดกลับไปยังเรื่องราวเหล่านั้น พอหมอบลงบนพื้น เลียกรงเล็บได้ครู่หนึ่ง ดวงตาเสือสีเขียวที่เงางามคู่นั้นก็หรี่ลง จากนั้นค่อยเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าครึ่งคนครึ่งมังกรผู้นั้น….ถูกพิษของแดนสวรรค์” 

 

 

ก่อนหน้านี้มันลังเลอยู่ว่าจะบอกเรื่องนี้กับนางดีหรือไม่  

 

 

ที่จริงแล้วมีสิ่งใดให้ต้องลังเลกัน 

 

 

พวกที่องค์ชายน้อยพากลับมา ไม่เพียงแต่เป็นครึ่งมนุษย์ ดูท่าคงมีความขัดแย้งกับแดนสวรรค์อีกด้วย 

 

 

หุบเขาหมื่นปีศาจของพวกเขา เดิมทีก็มีแค้นกับแดนสวรรค์อยู่แล้ว 

 

 

ที่องค์ชายน้อยทำลงไปมิเท่ากับว่านำมาซึ่งเภทภัยใหญ่หลวงหรอกหรือ? 

 

 

เป็นอย่างที่มันคาดเอาไว้จริงๆ ทันทีที่เอ่ยคำนั้นออกไป แววตาของซูจี่ก็มืดครึ้มลงไป 

 

 

 

 

 

นางหันมามองเสือดำ รับฟังมันกล่าวว่า “นายหญิง ท่านก็รู้ว่าข้าไม่มีทางโกหกท่าน ดูเอาเถอะ พิษนั้นกระตุ้นโรคหลับใหลของท่านขึ้นมา ทำให้สิ้นสติหลับสนิทไปนานหลายต่อหลายวัน ทั่วทั้งดินแดนจิ่วโจวจะมีพิษที่ทำให้ท่านหลับสนิทเช่นนี้ได้อย่างไร? 

 

 

ซูจี่เองก็รู้ดี 

 

 

เมื่อครู่ต่อที่ได้เห็นไอสีดำที่ระเหยออกมาจากผิว นางก็พอจะเดาได้บางส่วนแล้ว 

 

 

“เขาเป็นเพียงแค่ครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรเท่านั้น แล้วจะไปผิดใจกับแดนสวรรค์ได้อย่างไร….” 

 

 

ซูจี่ขมวดหัวคิ้ว พอลองคิดๆดู บุรุษหนุ่มที่มีสายเลือดมนุษย์เพียงครึ่งเดียวผู้นั้น ดูๆไปก็มิได้มีแววเฉลียวฉลาดสักเท่าไร ออกจะโง่เขลาอยู่บ้างเสียด้วย 

 

 

เทพไท้บนแดนสวรรค์ ล้วนเห็นพวกมนุษย์เป็นเพียงมดปลวก เกรงว่าคงมิได้คิดจะสนใจลงมือกับคนที่อ่อนแอเหล่านี้ด้วยซ้ำ 

 

 

“ตำหนักซิวหลัวเตี้ยน” เสือดำเอ่ยต่อไป “ข้าได้สืบมาอย่างชัดเจนแล้ว ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็เป็นเพียงแค่ตัวหมากตัวหนึ่งของแดนสวรรค์เท่านั้นเอง ต้าซือมิ่งผู้นั้นก็คือสุนัขรับใช้ของแดนสวรรค์” 

 

 

ตลอดหลายปีมานี้ ซูจี่มักอยู่แต่ในหุบเขาหมื่นปีศาจ ไม่เคยก้าวออกไป 

 

 

นางยิ่งไม่เคยใส่ใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในดินแดนจิ่วโจว เรื่องราวภายนอก ล้วนเป็นเสือดำนำมาเล่าให้นางฟังทั้งสิ้น 

 

 

“เจ้าครึ่งมนุษย์ผู้นั้น โดนพิษของต้าซือมิ่ง” 

 

 

เสือดำเล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวออกมาคร่าวๆ 

 

 

จากนั้นก็กล่าวกับซูจี่อย่างเน้นย้ำว่า “นายหญิง แดนสวรรค์จะต้องไม่ปล่อยพวกเขาไปอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงสมควรขับไล่พวกเขาจากไปแต่เนิ่นๆ องค์ชายน้อยใกล้ชิดกับพวกเขามาก ในไม่ช้าก็เร็วจะต้องนำพาความเดือดร้อนมาสู่หุบเขาหมื่นปีศาจอย่างแน่นอน” 

 

 

มันยิ่งพูด สีหน้าของซูจี่ก็ยิ่งย่ำแย่ 

 

 

“เภทภัยในครั้งนั้น….” 

 

 

พอพูดถึงตรงนี้ มันก็ไม่กล้าเอ่ยต่อไป 

 

 

ซูจี่รู้สึกเหมือนกับว่าบาดแผลที่อยู่ใต้เอี้ยม ถูกคนฉีกกระชากออกมาอีกครั้ง ทั้งยังสาดเกลือลงไปบนเลือดและเนื้อ นางเจ็บปวดจนกระดูกสะท้าน 

 

 

“เจ้าถอยออกไปก่อน” ครู่หนึ่ง นางถึงได้โบกมือ 

 

 

เสือดำลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค่อยลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ ถอยร่างกลับเข้าไปในสวนดอกไม้ 

 

 

พอถอยออกมาไกลจากซูจี่แล้ว มันถึงได้หันกลับไปมองดูแวบหนึ่ง 

 

 

สุดท้ายก็กระโดดหายลับเข้าไปในสวนดอกไม้ ยามเดินก็ระมัดระวังมิให้เหยียบย่ำโดนบุผาวิญญาณเหล่านั้น 

 

 

แต่ว่าทำไมดูเหมือนอย่างกับว่าบุปผาวิญญาณเหล่านี้จะหมองหม่นลงไปกว่าในตอนแรกมากนัก? 

 

 

………….. 

 

 

ในตำหนักของซูเยา 

 

 

หลังจากที่ตู๋กูเจวี๋ยถูกบังคับให้ดื่มยาลงไปชุดหนึ่งเขาก็หลับไป 

 

 

พวกตู๋กูซิงหลันทั้งสามคนก็ถูกจับแยกให้พักผ่อนกันคนละห้อง 

 

 

ห้องของตู๋กูซิงหลันถูกจัดให้อยู่ติดกับห้องของซูเยาเป็นพิเศษ ส่วนท่านเจ้าสำนักและฟ่านอิงถูกส่งไปยังห้องพักที่อยู่ไกลสุดกู่ 

 

 

แม้จะดึกมากแล้ว แต่ว่าตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่ได้หลับ 

 

 

ที่ด้านนอกห้องมีต้นไม้หนาทึบที่ไม่รู้จักชื่ออยู่มากมาย ขึ้นปกคลุมยอดเขาจนดูเขียวครึ้มไปหมด ทั้งยังผลิดอกเล็กๆสีขาวไปทั่ว 

 

 

ยามลมพัด เงาของต้นไม้ก็โยกคลอน ส่งเสียงครืดคราดอยู่นอกหน้าต่าง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง ดวงตาดอกท้อกลมโต มองเห็นเงาสีดำสายหนึ่งแวบผ่านบานหน้าต่าง 

 

 

นางมิได้ขยับตัว เพียงเอ่นว่า “สหายที่อยู่ด้านนอก ไม่ต้องซ่อนอีกแล้ว ข้าเห็นท่านแล้ว” 

 

 

เงาสีดำที่นอกหน้าต่างชะงักไป คล้ายจะลังเลอยู่บ้าง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ในเมื่อท่านสามารถเคลื่อนไหวอยู่ในวังของหุบเขาหมื่นปีศาจได้อย่างอิสระ แสดงว่าคงจะเป็นคนของที่นี่ หากอยากจะพูดอะไรก็เข้ามาคุยกันเถอะ ข้าจะไม่ต่อสู้กับท่าน” 

 

 

พอพูดออกไป ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงบานหน้าต่างถูกเปิดออก เสือตัวหนึ่งที่มีสีดำสนิทตลอดร่างกระโดดเข้ามาด้านใน 

 

 

ขนบนลำตัวของมันเป็นสีดำขลับจนมันวาว ดวงตาสีเขียวที่ใหญ่โตคู่นั้นเป็นประกายวาววับ ราวกับจะกินคน 

 

 

มันเดินเข้ามาถึงเตียงของตู๋กูซิงหลันอย่างไม่มีเก้อเขิน 

 

 

อุ้งเท้าหนาทั้งสี่ยืนอยู่บนพื้น ดวงตาจดจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน 

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้เข้ามาอยู่ใกล้ๆตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ยามที่พวกนางขึ้นเขามานั้น มันได้เห็นแต่ไกล ตอนนั้นมันก็รู้สึกว่านางมีรูปโฉมงดงามอย่างยิ่ง ตอนนี้เมื่อได้เห็นใบหน้านี้อย่างชัดเจน ก็ต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาวครั้งหนึ่ง 

 

 

ในหัวใจของมัน นายหญิงย่อมงดงามที่สุดในใต้หล้า 

 

 

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ฮ่องเต้หญิงชาวมนุษย์ผู้นี้ จะมีรูปโฉมที่งดงามอย่างแท้จริง 

 

 

โดยเฉพาะดวงตาดอกท้อคู่นั้น เดิมทีสมควรเป็นดวงตาเจ้าเสน่ห์ที่เย้ายวนคู่หนึ่ง แต่ว่าในตอนนี้ความยั่วเย้านั้นกลับสงบนิ่งจนทำให้คนต้องตกใจ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็จับจ้องมองดูมันเช่นกัน พอมองตรงไป ดวงตาดอกท้อของนางคู่นั้นก็ต้องเปล่งประกายออกมา 

 

 

“อ้ายโย่ว ที่แท้ก็เป็นพี่เสือดำตัวผู้นั่นเอง! เชิญเลย เชิญเข้ามา! 

 

 

ว่าแล้ว นางก็เดินลงมาจากเตียง กวาดตามองไปรอบๆห้องครั้งหนึ่ง สายตาก็ไปหยุดลงบนผ้าห่มนุ่มๆผืนหนึ่ง 

 

 

นางยื่นมือไปหยิบขึ้นมา “บนพื้นเย็นมาก เจ้าก็ทนใช้ผ้าห่มฝืนนี้สักหน่อยดีไหม?” 

 

 

เสือดำ “……” 

 

 

มันก้มศีรษะลงหันไปมองระหว่างขาหลังของตนเองแวบหนึ่ง มันเป็นเสือดำตัวผู้ แล้วจะทำไม นางจำเป็นจะต้องเรียกออกมาอย่างชัดเจนถึงเพียงนั้น? 

 

 

ราวกับกลัวว่าคนจะไม่รู้ว่ามันเป็นตัวผู้อย่างนั้นหรือ? 

 

 

ในใจของตู๋กูซิงหลันก็เกิดความคิดอย่างเงียบๆเช่นกัน เผ่าเสือดำช่างประหลาดเสียจริงๆ แค่เรียกทักทายต้องหันไปมองไข่ตัวเองด้วยหรือ? 

 

 

……………..