ตอนที่ 1030 นายน้อยหมายความว่าเยี่ยงไร ?

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1030 นายน้อยหมายความว่าเยี่ยงไร ?

ข่าวเรื่องจักรพรรดิต้าเซี่ยเสด็จประพาสมิได้ถูกปกปิดแต่อย่างใด

ทางหนังสือพิมพ์ต้าเซี่ยรายสัปดาห์รายงานข่าวนี้อย่างยาวเหยียดเสียด้วยซ้ำ

ทุกวันนี้หนังสือพิมพ์ต้าเซี่ยรายสัปดาห์ค่อย ๆ ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ… ทางหนังสือพิมพ์ได้ว่าจ้างนักข่าวจำนวนหนึ่ง…นี่คือพระดำริของฝ่าบาทที่ต้องการสัมภาษณ์คนกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ

นักข่าวกลุ่มนี้แบ่งเป็น 2 ประเภทด้วยกัน ประเภทแรกคือนักข่าวประจำราชสำนักที่สามารถเข้าออกวังหลวงเพื่อร่วมฟังการแถลงนโยบายต่าง ๆ จากส่วนกลางได้…แน่นอนว่านี่เป็นพระราชดำริของฝ่าบาทด้วยเช่นกัน !

พระองค์ตรัสว่าแต่ละกรมต้องมีการแถลงข่าวเป็นครั้งครา โดยให้แถลงนโยบายต่อสาธารณะหรือแถลงผลการดำเนินงานผ่านหนังสือพิมพ์ต้าเซี่ยรายสัปดาห์นี้

นักข่าวประจำราชสำนักสามารถสอบถามถึงข้อสงสัยของตนได้และโฆษกของแต่ละกรมต้องให้คำตอบได้เช่นกัน

ทั้งหมดนี้ต้องมีการประกาศออกสู่ใต้หล้าผ่านทางหนังสือพิมพ์ต้าเซี่ยรายสัปดาห์

สำหรับนักข่าวในประเภทที่สองจะรับผิดชอบข่าวบันเทิง พวกเขามิใช่นักข่าวในราชสำนัก ดังนั้นจึงสามารถเก็บรวบรวมข่าวสารทั่วทั้งประเทศแล้วส่งให้กับบรรณาธิการโดยจะได้รับค่าตอบแทนทันทีที่สำนักพิมพ์ได้รับข่าว

ทุกวันนี้หนังสือพิมพ์ต้าเซี่ยรายสัปดาห์สามฉบับแรกได้กระจายไปทั่วทั้งประเทศแล้ว ทั้งยังได้รับเสียงตอบรับอย่างท่วมท้น… ในหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับมีทั้งเรื่องสำคัญระดับประเทศ มีประสบการณ์ด้านการเกษตรที่สามารถใช้เป็นวิทยาทานแก่ราษฎรและมีเรื่องราวที่นิยมชมชอบกันในหมู่ชาวบ้าน

ข่าวเรื่องการเสด็จประพาสของฝ่าบาทเมื่อวานนี้ ทันทีที่หนังสือพิมพ์ถูกตีพิมพ์และวางจำหน่ายก็ถูกขายจนหมดเกลี้ยงในชั่วพริบตาเดียว ข่าวนี้จะแพร่หลายไปทั่วทั้งประเทศได้ตามความเร็วของระบบคมนาคม ปัจจุบันนี้อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน

เวลานี้ที่แปลงนาหลวงในโม่โจว หวางเอ้อได้รับหนังสือพิมพ์ฉบับที่สี่ซึ่งเป็นฉบับใหม่ล่าสุด

ในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ได้ตีพิมพ์เรื่องราวของดอกไม้ชนิดหนึ่งซึ่งมีนามว่าดอกทิวลิป

ขณะเดียวกันหวางเอ้อก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งที่นอกจากเขียนถึงข้าวโพดกับมันฝรั่งแล้ว ยังได้เอ่ยถึงดอกทิวลิปเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย… หวางเอ้อจึงได้รู้จักนามของดอกไม้ชนิดนั้น

“หวางเฉียง…เจ้าคิดว่าเหตุใดนายน้อยถึงให้ข้าเพาะปลูกเจ้าดอกทิวลิปนี่อย่างจริงจังกัน ? ”

“คาดว่าคงเป็นเพราะดอกไม้ชนิดนี้งดงามและคาดว่าอาจจะนำมาทำน้ำหอมได้ขอรับ”

หวางเอ้อที่คาบมวนยาสูบอยู่ในปากมิได้ตอบรับอันใด ในใจครุ่นคิดว่าคงเป็นเช่นนั้นเพราะนายน้อยคงมิส่งจดหมายมาเป็นการเฉพาะหากไร้ความสำคัญ

แต่หวางเอ้อรู้สึกว่ามิน่าจะเป็นไปได้เพราะสิ่งที่นายน้อยต้องการคือเมล็ดของดอกทิวลิป ทั้งยังต้องการเมล็ดของเจ้าดอกไม้นั้นจำนวนมหาศาลอีกด้วย

หวางเอ้อมิได้คิดอันใดมากมายเพราะเมื่อนายน้อยสั่งมา เยี่ยงไรตนก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง

“นี่คือวิธีเพาะต้นกล้าข้าวโพดที่นายน้อยได้เขียนเอาไว้ เมื่อปีกลายพวกเราเก็บเมล็ดข้าวโพดได้ 300 จิน อีกประเดี๋ยวเจ้าจงไปเพาะตามวิธีการของนายน้อย…”

“อีกอย่างนี่คือวิธีปลูกมันฝรั่ง วิธีที่พวกเราใช้เพาะปลูกเมื่อปีกลายนั้นผิดมหันต์ เจ้าดูนี่สิ ! นายน้อยบอกไว้แล้วว่าหากเราปลูกมันฝรั่งอย่างถูกวิธีจะทำให้ผลผลิตของมันมีปริมาณเทียบเท่ากับมันเทศ นายน้อยบอกว่าให้ไปปลูกมันฝรั่งที่เป่ยเซียวเต้าก่อนที่อื่น ปีนี้พวกเราต้องปลูกเจ้ามันฝรั่งนี่ให้สำเร็จ ! ”

หวางเฉียงรับจดหมายมาเปิดอ่าน ครานี้เขาจึงเข้าใจวิธีการปลูกมันฝรั่งที่ถูกต้องว่าควรปลูกเยี่ยงไร

นี่ยิ่งทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก “ท่านพ่อ… ท่านคิดว่านายน้อยรู้เรื่องพวกนี้ได้เยี่ยงไรขอรับ ? ”

หวางเอ้อพ่นควันยาสูบออกมา ปากยังคงคาบมวนยาสูบอยู่ สองมือไพล่หลัง จากนั้นก็ตอบบุตรชายว่า “เพราะเขาเป็นนายน้อยของพวกเราเยี่ยงไรเล่า”

“นี่ ๆ ๆ ท่านพ่อ…ท่านเคยบอกมิใช่หรือว่าอยากหาเวลาว่างกลับไปเยี่ยมซีซาน ? ”

“รอก่อนเถิด จำต้องศึกษาเรื่องข้าวโพด มันฝรั่ง พริก อีกทั้งดอกทิวลิปให้เข้าใจเสียก่อนแล้วค่อยกลับไป ไม่สิ ! ครานี้พ่อต้องเดินทางไปชื่อเล่อชวนเพราะเรื่องมงคลของเสี่ยวจ้วงน้องชายของเจ้า พ่อต้องไปเยี่ยมครอบครัวของฝ่ายหญิงสักหน่อย”

……

……

การเสด็จประพาสของฝ่าบาทเมื่อออกจากท่าเรือเจียงเฉิงแล้วสถานีต่อไปก็คือท่าเรือเขตเหยา

เต้าถายประจำเจียงหนานเต้าได้รับจดหมายสองฉบับในเวลาเดียวกัน ฉบับแรกมาจากฟู่เสี่ยวกวนส่วนอีกฉบับมาจากกรมพิธีการ

ฉบับของกรมพิธีการย่อมเป็นการแจ้งให้เขาเตรียมการต้อนรับเสด็จ ส่วนจดหมายของฟู่เสี่ยวกวนได้เชิญเขาไปที่ซีซานเพื่อพบปะหารือกัน

หากเป็นการรับเสด็จตามธรรมเนียมที่สืบทอดต่อกันมา ย่อมมีความเป็นทางการสูง

เขาต้องนำขุนนางจำนวนมากไปยังเขตเหยาเพื่อถวายความเคารพต่อการมาเยือนของฝ่าบาทและต้องเตรียมพร้อมในเรื่องของมาตรการด้านความปลอดภัยรอบด้าน ทั้งยังต้องเตรียมที่พำนักและอาหารสำหรับคณะผู้ติดตามขององค์จักรพรรดิอีกด้วย

ทว่าฟู่เสี่ยวกวนได้เขียนจดหมายมาเชิญตนไปพบปะที่ซีซานอย่างเรียบง่าย…จึงทำให้ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการพบกันแบบส่วนตัวเสียมากกว่า

“ตามความเห็นของข้าน้อยคิดว่าควรให้บรรดาเสนาบดีไปรับเสด็จจะดีกว่า ฝ่าบาทประสูติที่เมืองหลินเจียงและเติบใหญ่ที่หลินเจียง สถานีแรกที่พระองค์เสด็จประพาสคือเขตเหยาและจะเสด็จไปยังซีซาน… นี่ให้ความรู้สึกเหมือนกลับบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ ข้าน้อยขอเอ่ยบางอย่างที่มิบังควร ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์จึงคาดว่าพระองค์อาจจะโปรดปรานความครึกครื้นมากกว่าขอรับ”

เยี่ยนซีเหวินมิได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เขายกถ้วยชาขึ้นมาแล้วทำท่าครุ่นคิด “การเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิของแต่ละท้องที่ดำเนินการแล้วหรือยัง ? จงครุ่นคิดให้รอบคอบว่ามีจุดขาดตกบกพร่องใดบ้าง”

“เรียนใต้เท้า นี่คืองานที่ใต้เท้ากำชับเป็นหนักหนา ข้าน้อยกล้านำชีวิตของตนมารับประกันว่าไร้ข้อบกพร่องใด ๆ ขอรับ”

“เช่นนั้นก็ดี ! เรื่องที่ฝ่าบาทจะเสด็จมายังซีซานอย่าได้บอกให้ผู้ใดรู้เป็นอันขาด ให้ข้าเดินทางไปคนเดียวก็พอ ส่วนเจ้าและสำนักงานการค้าจงไปตรวจสอบเรื่องบริษัทติดตั้งสรรพาวุธจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) อีกครา เมื่อได้รับการยืนยันแล้วก็ให้รีบดำเนินการโดยเร็วที่สุด อีกอย่างเรื่องที่ตระกูลซือหม่าต้องการซื้อกิจการบริษัทสิ่งทอเจียงหนาน…ให้ชะลอไปก่อน รอให้ข้าขอคำแนะนำจากฝ่าบาทได้แล้วค่อยว่ากัน”

“ดียิ่งนักขอรับ ! ” แม้ปากของหลี่เหวยรองเสนาบดีฝ่ายขวาประจำเจียงหนานเต้าจะบอกว่าดี ทว่าในใจของเขากลับรู้สึกฉงนมากยิ่งนัก จึงอดที่จะเอ่ยถามออกมามิได้ “ใต้เท้าขอรับ ทำเช่นนี้จะดีจริง ๆ หรือขอรับ ? ”

เยี่ยนซีเหวินยกยิ้มเล็กน้อย “ผู้ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เยาว์วัยมักหวาดกลัวการมิเป็นที่ยอมรับจากผู้คน ทว่าฝ่าบาทของพวกเรานั้นแตกต่างเพราะพระองค์มิโปรดปรานการต้อนรับอย่างเอิกเกริก พระประสงค์ของฝ่าบาทคือการได้เห็นบรรดาขุนนางยังขะมักเขม้นอยู่ในการทำงานและทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด”

“ข้ารู้จักฝ่าบาทมานานหลายปีจึงเข้าใจพระองค์ดี ต่อให้พวกเราเพิกเฉยต่อการต้อนรับ พระองค์ก็จะมิกล่าวโทษอย่างแน่นอน”

หลี่เหวยเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่งเพราะวันนี้กับวันนั้นมิเหมือนกัน ในอดีตฝ่าบาทยังมิได้เป็นจักรพรรดิ เมื่อสถานะของคนเปลี่ยนแปลง จิตใจก็ย่อมเปลี่ยนไป

“อย่าคิดมากไปเลย อีกประเดี๋ยวข้าจะออกเดินทางแล้ว เมื่อรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายกลับมา พวกเจ้าจงเข้าพบปะกับเสนาบดีในแต่ละกรมเพื่อพิจารณาแผนการก่อสร้างเมืองใหญ่ทั้งสี่แห่งที่เจียงหนานเต้า เนื่องจากเจียงหนานเต้าของเรามีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์เป็นทุนเดิม ดังนั้นพวกเราควรอาศัยความรุ่งเรืองของการขนส่งทางน้ำเพื่อก้าวนำทั้งสิบแปดมณฑล”

“รับทราบขอรับ…ข้าน้อยจะให้เลขาธิการจัดเตรียมโครงการไว้ขอรับ”

หลี่เหวยจากไป บัดนี้จึงเหลือเพียงเยี่ยนซีเหวินที่นั่งขมวดคิ้วดื่มชาเพียงลำพัง… หนังสือพิมพ์ต้าเซี่ยรายสัปดาห์รายงานว่าฝ่าบาทจะเปิดศึกกับราชวงศ์เหลียว มิหนำซ้ำยังบอกอีกว่าพระองค์จะยกทัพไปตีด้วยตนเอง ตามหลักแล้วพระองค์ควรเตรียมตัวไปออกศึกมิใช่หรือ ?

ทันใดนั้นใบหน้าของเยี่ยนซีเหวินก็เผยรอยยิ้มจาง ๆ ออกมา บนผืนปฐพีนี้ยังมีผู้ใดคู่ควรเป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกับพระองค์อีกเล่า !

เขากลับมาแล้ว

ก่อนที่เขาจะออกจากราชวงศ์หยู เขาเคยบอกว่าจะกลับมาและก็ได้กลับมาจริง ๆ เพียงแต่วิธีการที่เขากลับมาแตกต่างไปจากความคิดของเยี่ยนซีเหวินอย่างสิ้นเชิง

เขากลับมาในฐานะของจักรพรรดิผู้สูงส่ง ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วควรต้อนรับให้คึกคักและยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ

ทว่าเขาก็ยังเป็นเขาคนเดิม มิได้ลำพองใจจนมิคบค้าสมาคมกับผู้ใด

เยี่ยนซีเหวินหวนนึกถึงหลังจากที่งานประชุมเชิงเศรษฐกิจสิ้นสุดลง หยุนซีเหยียนได้ต้อนรับบรรดาเต้าถาย ณ หลิวหยุนถาย

ในราตรีนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็มาร่วมงานเช่นกัน

เขาสวมชุดคลุมยาวผ้าฝ้ายสีเขียว แสดงท่าทีราวกับนายน้อยเศรษฐีที่ดินคนหนึ่ง

เขายังเป็นกันเองมิเปลี่ยนไป เขาดื่มสุราพลางสนทนาโดยมิถือตัว ทั้งยังมิได้แสดงท่าทีเย่อหยิ่งออกมา

เพียงแต่บุคลิกของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปเนิ่นนานแล้ว มิว่าจะเป็นฉินโม่เหวินหรือหนิงหยู่ชุนก็มิอาจนำพาชายหนุ่มจากหลินเจียงผู้นั้นกลับมาได้อีก

ดังนั้นบรรยากาศจึงค่อนข้างอึดอัด

เหมือนว่าเขาจะรู้ตัวจึงเดินออกจากงานไปก่อนและจากไปอย่างโดดเดี่ยว