ตอนที่ 736 ความคืบหน้าในการวิจัยเครื่องชนอนุภาคแฮดรอนบนดวงจันทร์

Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ

ลู่โจวตื่นมาอีกทีในเวลา 10 โมงเช้า

เขาอาบน้ำแล้วใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ ตอนที่เขาเดินลงมาข้างล่าง เขาก็พบว่า มันหมดเวลาบุฟเฟต์อาหารเช้าไปแล้ว เชฟกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวัน

แต่หลังจากที่ผู้จัดการโรงแรมได้ยินว่าลู่โจวยังไม่ได้กินอาหารเช้าเลย เขาจึงบอกให้เชฟทำอาหารเช้าแยกให้กับลู่โจว อย่างไรก็ตาม ลู่โจวไม่อยากจะรบกวนคนอื่นเพิ่มเติม เขาจึงปฏิเสธข้อเสนอของผู้จัดการ ลู่โจวบอกกับผู้จัดการว่า เขาจะออกไปเดินเล่นและกินอาหารข้างนอกเลยทีเดียว

ลู่โจวนั่งลงที่โซฟาของโรงแรมแล้วโทรเรียกหวังเผิง เขาบอกให้หวังเผิงขับรถมาที่หน้าทางเข้าโรงแรมหน่อย

หลังจากที่ขึ้นรถ หวังเผิงที่ขับรถอย่างชำนาญก็ถามลู่โจวว่า “เราจะไปไหนกันครับ?”

ลู่โจวคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาอยากจะถามหวังเผิงว่าเจ้าตัวมีที่ไหนแนะนำเรื่องอาหารอร่อยๆ ไหม

แต่เขาก็นึกขึ้นได้ในทันทีว่า หลัวเหวินเซวียนก็มาอยู่ที่นี่ได้เกือบครึ่งปีแล้ว ดังนั้น ลู่โจวจึงตัดสินใจจะไปเยี่ยมเขาเสียหน่อย

“ไปที่สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีน สถาบันฟิสิกส์พลังงานสูง”

“โอเคครับ”

ตอนนี้ก็เป็นช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์แล้ว ใกล้จะถึงฤดูใบไม้ผลิเต็มที

อากาศในปักกิ่งยังเย็นอยู่นิดหน่อย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อแจ็กเกตขนเป็ดอีกต่อไป แค่เสื้อสเวตเตอร์กับเสื้อโค้ตก็พอแล้ว

โชคดีที่วันนี้รถไม่ติดเลย ทั้งสองคนถึงที่หมายในเวลาไม่ถึง 20 นาที

หลังจากที่ลู่โจวลงจากรถ เขาก็เดินเข้าประตูหน้าของสถาบันฟิสิกส์พลังงานสูงไป เขาลงทะเบียนชื่อตัวเองที่จุดตรวจความปลอดภัยและถามยามว่า ‘ทีมที่ทำโปรเจกต์เครื่องชนอนุภาคแฮดรอนบนดวงจันทร์’ อยู่ที่ไหน ยามชี้นิ้วไปทางตึกที่ถูกต้อง

ลู่โจวเคาะประตู มันเปิดออกอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวที่สวมแว่นตาคนหนึ่งเป็นคนเปิดประตู เธอน่าจะเป็นผู้ช่วย เธอดูแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นลู่โจว

ลู่โจวมองที่หญิงสาวที่ดูประหลาดใจแล้วเป็นฝ่ายถามอย่างสุภาพว่า “สวัสดีครับ ศาสตราจารย์หลัวเหวินเซวียนอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ?”

หญิงสาวพูดตะกุกตะกักเหมือนคนประหม่า “โอ้…คุณมาหาศาสตราจารย์หลัวเหรอคะ? เขาอยู่ในห้องค่ะ…”

ก่อนที่จะเธอจะพูดจบ เสียงของหลัวเหวินเซวียนก็ดังมาจากไกลๆ

“เสี่ยวเจวียน ใครมาน่ะ?”

ลู่โจวยิ้มแล้วเดินเข้าไปในออฟฟิศ

“ผมเอง มาเยี่ยมคุณไง”

ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียง ‘ตึง’ ดังขึ้นมาในออฟฟิศ เหมือนอะไรสักอย่างร่วงลงพื้น

หลัวเหวินเซวียนนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ เขารู้สึกอึ้ง

“เช็ดเข้ เทพลู่เหรอ?! มาที่นี่ได้ยังไงครับเนี่ย?”

ลู่โจวแทบจะล้มลงไปกองกับพื้น เขาอดบ่นขึ้นมาไม่ได้ “ผมก็ทนได้นะถ้าคนอื่นเรียกชื่อนี้ แต่คุณมาเรียกผมว่าเทพลู่ทำไม?”

“ชื่อนี้ก็เหมาะดีนี่ครับ” หลัวเหวินเซวียนเกาหัวแล้วพูดออกมาว่า “คนที่สถาบันฟิสิกส์พลังงานสูงก็พูดถึงคุณอยู่เรื่อยๆ นั่นแหละครับ พวกเขาเรียกคุณว่า ‘เทพลู่’ ตลอดเลย ผมก็เลยติดปากมา”

ลู่โจวขอบคุณหญิงสาวที่เธอเอาชามาให้ จากนั้นเขาก็นั่งลงตรงโซฟาแล้วถามเขาด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วพวกเขาคุยเรื่องอะไรกัน?”

หลัวเหวินเซวียนมองไปที่ลู่โจวแล้วถามกลับ “คุณไม่รู้จริงๆ เหรอครับ? คุณไม่ได้เข้าเว็บไซต์สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีนเหรอ?”

“…แล้วในเว็บไซต์มันมีอะไรล่ะ?”

“สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีนและสถาบันวิศวกรรมได้ประกาศชื่อผู้มีสิทธิ์ได้รับตำแหน่งทางวิชาการระดับต้นแล้วนะครับ! ทั้งสองแห่งมีชื่อคุณอยู่ด้วย ผมรู้ว่าคุณคงไม่สนใจเรื่องอะไรแบบนี้ แต่ในกระทู้ของนักวิชาการเอาแต่คุยเรื่องนี้กันอย่างบ้าคลั่งเลยล่ะ”

ลู่โจวไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาทำเพียงยิ้ม

ลู่โจวสงสัยว่าหลัวเหวินเซวียนจะทำหน้าอย่างไรถ้าเขาบอกกับเจ้าตัวว่า ไม่เพียงแต่เขาจะเข้ารอบขั้นต้น แต่เขายังผ่านการตรวจสอบเรียงความวิชาการในเดือนมิถุนายนเรียบร้อยแล้ว ลู่โจวเหลือเพียงขั้นตอนในการตรวจสอบเพียงขั้นตอนเดียวเท่านั้นจากการโหวตอย่างเป็นทางการ

แต่เขาก็ควรจะเก็บไว้เป็นความลับกับตัวเอง เพราะผู้อำนวยการเฉียนอุตส่าห์ใจดีโทรมาบอกเขา ลู่โจวจึงรู้สึกว่าเขาควรจะอยู่เงียบๆ ไว้

หลัวเหวินเซวียนหยิบถ้วยมาจิบชา เขาวางถ้วยลงแล้วถามลู่โจวขึ้นมา

“ถ้าอย่างนั้น คุณอุตส่าห์มาถึงปักกิ่งเพื่อมาหาผมเหรอ?”

ลู่โจว “ก็ไม่เชิงนะ หลักๆ คือผมมาที่นี่เพื่อมารับรางวัล”

หลัวเหวินเซวียนกลอกตาแล้วเอนตัวพิงเก้าอี้ “แม่มรู้อยู่แล้วเชียว! จะโกหกเสียหน่อยไม่ได้หรือไงกัน?”

“โกหกคุณไปแล้วจะได้อะไร?” ลู่โจวยิ้มแล้วถามว่า “จะว่าไปแล้ว การออกแบบเครื่องชนอนุภาคแฮดรอนบนดวงจันทร์ไปถึงไหนแล้วล่ะ?”

หลัวเหวินเซวียนโบกไม้โบกมือขณะพูดว่า “ตัวการออกแบบน่ะไม่ยากหรอกครับ อันที่ยากน่ะ คือการจะสร้างตัวที่ออกแบบออกมาให้ได้จริงต่างหาก สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีนค่อนข้างเอาจริงเอาจังกับโปรเจกต์นี้ด้วย แถมวิศวกรชำนาญการหลายคนจากทีมในโปรเจกต์ BESIII ก็ถูกย้ายมาที่ทีมของพวกเราด้วย ทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นเยอะเลย”

ถึงแม้เครื่องเร่งอนุภาคอิเล็กตรอน-โพสิตรอนปักกิ่ง II มันจะไม่ได้มีขนาดใหญ่ แต่มันก็ยังต้องมีสิ่งสำคัญทุกอย่างอยู่ในนั้น วิศวกรที่เข้าร่วมโปรเจกต์ BESII ต่างก็เป็นผู้มีความสามารถระดับท็อปในวงการฟิสิกส์เชิงทดลองกันทั้งนั้น

ถึงแม้คนกลุ่มนี้จะไม่ใช่คนที่มีตำแหน่งสูงอะไรในวงการวิชาการนานาชาติ แต่เรื่องนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความสามารถของพวกเขาเลย การตีพิมพ์บทความในสาขาฟิสิกส์เชิงทดลองไม่ได้ง่ายเลยเมื่อเทียบกับสาขาฟิสิกส์พลังงานสูง ดังนั้น พวกเขาจึงมักจะทำงานอยู่หลังฉากกันเสียส่วนใหญ่ ข้อนี้เห็นได้จากการที่รางวัลระดับโลกส่วนใหญ่จะมอบให้กับนักวิชาการสายทฤษฎี

หลังจากที่ได้ยินว่าลู่โจววางแผนจะสร้างเครื่องชนอนุภาคบนดวงจันทร์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ดีอยู่แล้วว่าโปรเจกต์นี้จะต้องเป็นสิ่งที่ทำยาก ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันฟิสิกส์พลังงานสูงก็ยังยึดถือการทำโปรเจกต์นี้อย่างจริงจัง

สุดท้ายแล้ว วงการฟิสิกส์เชิงทฤษฎีของคนจีนก็มีปัญหาขาดแคลนเรื่องเงินทุนวิจัย จึงหาได้ยากมากๆ ที่จะมีใครสักคนเต็มใจยอมเสียเงินลงทุนกับเครื่องชนอนุภาค แม้ว่าแผนนี้จะฟังดูใช้ไม่ได้จริงแค่ไหนก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่อยากจะทิ้งโอกาสนี้ไป

คงจะเป็นเรื่องน่าเสียดายแย่ถ้าพวกเขาไม่ได้พยายามอะไรเลย

“…แล้วก็ ทีมในโปรเจกต์ของเรายังติดต่อกับเซิร์นแล้วด้วย หลังจากที่เซิร์นได้ยินเรื่องแผนของพวกเรา พวกเขาก็สนใจเอามากๆ เลยครับ พวกเขาส่งวิศวกรหลายคนจาก LHCb มาช่วยพวกเราแก้ปัญหาทางเทคนิคต่างๆ “

ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจ

“พวกเขาส่งคนจากเซิร์นมาอย่างนั้นเหรอ?”

หลัวเหวินเซวียนยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ตอนแรกพวกเขาก็ไม่ค่อยกระตือรือร้นกันเท่าไร ตอนที่พวกกลุ่มคนยุโรปได้ยินว่าพวกเรากำลังสร้างเครื่องชนอนุภาคแฮดรอนบนดวงจันทร์ พวกเขาก็นึกว่าพวกเรากำลังพูดเล่น แต่หลังจากที่พวกเขาได้ยินว่าคุณเป็นหัวหน้าโครงการ พวกเขาก็เซ็นข้อตกลงในการร่วมมือกันในทันทีเลยล่ะครับ”

ลู่โจวยิ้มแล้วถามว่า “แล้วพวกเขาต้องการอะไรล่ะ?”

หลัวเหวินเซวียนอธิบาย “พวกเขาต้องการให้พวกเราซื้อยานอวกาศจากประเทศคู่ค้าของพวกเขา และถ้าเป็นไปได้ ก็อนุญาตให้พวกเขาได้มีสิทธิ์เลือกนักวิจัยบางคนไปทำงานกับเครื่องชนอนุภาคแฮดรอนบนดวงจันทร์ด้วย หลังจากที่เครื่องสร้างเสร็จ”

ลู่โจวพยักหน้า

ก็เป็นข้อเสนอที่มีเหตุมีผล ยอมรับได้อยู่

หากเปรียบเทียบกับวงการอื่นที่มีการร่วมมือกันแล้ว วงการฟิสิกส์ทางทฤษฎีถือว่าค่อนข้างบริสุทธิ์เลยทีเดียว สถาบันวิจัยส่วนใหญ่จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสถาบันวิจัยอื่นๆ ถึงแม้จะมีการแข่งขันพอสมควรในระหว่างต่างสถาบันกัน แต่ความร่วมมือก็เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปมาก

ลู่โจวไม่มีเหตุผลอะไรในการปฏิเสธนักวิจัยจากยุโรปให้มาเข้าร่วมในโปรเจกต์เครื่องชนอนุภาคแฮดรอนบนดวงจันทร์

สุดท้ายแล้ว วงการฟิสิกส์พลังงานสูงของอนุภาคก็จะให้ประโยชน์กับมนุษยชาติทั้งหมด มันเป็นสาเหตุว่าทำไมมนุษย์ถึงควรจะต่อสู้ร่วมกัน ในฐานะที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน

เมื่อเห็นว่าลู่โจวไม่ได้พูดอะไรออกมาพักใหญ่ หลัวเหวินเซวียนจึงพูดขึ้นว่า “อ้อ ใช่ มีเรื่องที่ผมอยากจะถามคุณเหมือนกัน”

ลู่โจวถาม “อะไรล่ะ? ว่ามาเลย”

หลัวเหวินเซวียนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “อันที่จริงแล้ว ไม่ว่าพวกเราจะวางแผนปรับปรุงการออกแบบอย่างไร ตัวเครื่องชนอนุภาคทั้งหมดก็ยังมีน้ำหนักหลายพันตัน ถ้าพวกเราออกแบบเจ้านี่ขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็ พวกเราจะสามารถส่งมันขึ้นไปอยู่บนดวงจันทร์ได้จริงเหรอครับ?”

ลู่โจวมองหน้าหลัวเหวินเซวียนแล้วพูดออกมาอย่างมั่นใจว่า

“ผมสัญญาว่าพวกเราจะทำได้ ผมจะทำให้ดีที่สุด”

แม้กระทั่งด้วยความสามารถทางเทคโนโลยีในปัจจุบันของสตาร์สกายเทคโนโลยี ก็ยังไม่มีวิธีใดที่ลู่โจวจะสามารถส่งอุปกรณ์น้ำหนักหลายพันตันไปยังพื้นผิวดวงจันทร์ได้ ต่อให้เขาขายหุ้นอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ทั้งหมดและสิทธิบัตรแบตเตอรี่ลิเธียมซัลเฟอร์ก็ยังไม่ช่วย…

แต่ที่ว่ามานี่คือสถานการณ์ในปัจจุบัน

ในอนาคตอาจจะมีวิธีแก้ปัญหาที่เราคาดไม่ถึงก็ได้

หลังจากที่สตาร์ไลท์ถูกสร้างขึ้นมา ความสามารถในการส่งของไปสู่วงโคจรที่โลกโคจรรอบดวงจันทร์ของสตาร์สกายเทคโนโลยีก็เพิ่มขึ้นไปสู่อีกระดับหนึ่ง ในขณะเดียวกันนั้นเอง สถาบันเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์การบินและอวกาศของสถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูง และสถาบันวิจัยอื่นๆ ในประเทศจีนก็กำลังวิจัยอุปกรณ์ทางอุตสาหกรรมที่สามารถขุดเจาะอวกาศ หลอมแร่จากอวกาศ และทำการผลิตอย่างอัตโนมัติได้

บนพื้นผิวดวงจันทร์ยังมีไทเทเนียมและทรัพยากรอื่นๆ อีกเป็นตันๆ และมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะทำระบบอุตสาหกรรมในการขุดเจาะแร่พวกนี้แบบอัตโนมัติขึ้นมาได้

ซึ่งแน่นอนว่า ลู่โจวเองก็ไม่รู้ว่ามันจะต้องใช้ระยะเวลานานแค่ไหน

สุดท้ายแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นนักวิชาการที่เก่งกาจ เขาก็ไม่ใช่วิศวกรที่เก่งในระดับเดียวกัน

ยังเหลือหนทางอันยาวไกลกว่าเขาจะทำสำเร็จ

“เราเลิกสนใจเรื่องนี้กันสักแป๊บหนึ่งแล้วกัน” ลู่โจววางถ้วยชาลงบนโต๊ะแล้วพูดขึ้นว่า “เหตุผลที่ผมมาเจอคุณที่นี่ก็เพราะต้องการเห็นว่าคุณเข้ากับที่นี่ได้ดีขนาดไหน แล้วก็ว่าจะซื้ออาหารเย็นมาให้คุณด้วย”

หลัวเหวินเซวียนประหลาดใจ

“คุณเป็นคนใจดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย?”

ลู่โจวถึงกับพูดไม่ออก “คุณหมายความว่าอย่างไร ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวตั้งแต่ตอนไหนกัน? แถวนี้มีร้านอาหารอร่อยๆ ให้กินไหม?”

“โอเค ถ้าอย่างนั้นแล้ว” หลัวเหวินเซวียนลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วพูดต่อ “แถวนี้มีร้านน่าไปอยู่นะครับ ตามผมมาได้เลย”

……………………………………