อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2070 นี่คือทะเลพลัดดาว
“โดยทั่วไป นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมาก 500 ปี แต่เหล่าสมาชิกของตำหนักคว้าดาวมีสภาวะร่างกายที่ออกจะพิเศษกว่าคนอื่น พวกเขามีอายุขัยยืนยาวกว่าพวกเรามาก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าตู้ชิงหย่วนเข้าสู่บั้นปลายชีวิตแล้ว เธอน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปีเท่านั้น ส่วนหัวหน้าฉิงหย่วนก็เหมือนกัน คือใกล้สิ้นอายุขัย” เจ้าสำนักคุ่ยตอบพร้อมกับส่ายหน้า
“ดังนั้น พวกเขาจึงหวังว่านักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คนใหม่จะปรากฏตัวขึ้นในสำนักของพวกเขา ไม่อย่างนั้น ความสมดุลอันเปราะบางระหว่างกลุ่มอำนาจทั้ง 6 จะเกิดการสั่นคลอน…”
จางเซวียนพยักหน้าช้าๆ
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมฉิงหย่วนถึงมอบตำแหน่งหัวหน้าหอนานาอสูรให้เขาอย่างไม่ลังเล
เพราะใกล้สิ้นอายุขัย ฉิงหย่วนจึงทำได้แค่ฝากความหวังไว้กับตัวเขา หวังว่าเขาจะเข้าสู่สะพานเบื้องบนได้สำเร็จและกลายเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ เพื่อจะได้เป็นเสาหลักของหอนานาอสูรไปอีก 500 ปี
แม้ความสัมพันธ์ระหว่าง 6 สํานักใหญ่จะค่อนข้างราบรื่นสงบสุข แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าทุกอย่างอาจเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหากสำนักใดสำนักหนึ่งแสดงอาการอ่อนแอแปรปรวนออกมา
ต่อให้สำนักอื่นๆไม่เข้าโจมตี แต่สำนักนั้นก็จะสูญเสียทรัพยากรและเหล่าอัจฉริยะของตัวเองให้กับกลุ่มอำนาจอื่น เมื่อเวลาผ่านไป สุดท้ายพวกเขาก็จะกลายเป็นกลุ่มอำนาจชั้นรอง เกียรติยศศักดิ์ศรีที่เคยมีจะกลายเป็นแค่อดีต
จางเซวียนพลันนึกอะไรได้บางอย่าง “เจ้าสำนักคุ่ย คุณเคยบอกว่ามีการดวลระหว่าง 6 สำนักใหญ่ แต่ไม่มีอันตราย ผมขอถามได้ไหมว่านั่นหมายความว่าอย่างไร?”
เมื่อหวนนึกดู ก็ออกจะแปลกๆที่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวขอร้องให้เขาเข้าร่วมการดวลกับกลุ่มอำนาจอื่นแทนที่จะเข้าท้าทายสะพานเบื้องบน เพราะเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่เจ้าสำนักคุ่ยอยากให้เขาเข้าร่วมกับสำนักดาวเจ็ดดวงก็เพราะต้องการให้เขาเป็นตัวแทนของสำนักในการท้าทายสะพานเบื้องบนแห่งนี้
“เมื่อครู่นี้คุณอยากรู้ไม่ใช่หรือว่าทำไมถึงมีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อยู่ในสำนักทั้งหก?” เจ้าสำนักคุ่ยย้อนถาม “มีนักรบ 5 คนคอยอารักขาสะพานเบื้องบนอยู่ ถ้าคุณเอาชนะการดวลของ 6 สำนักใหญ่ได้ คุณก็จะได้เป็นผู้นำในการปฏิบัติภารกิจ ซึ่งถ้าเป็นไปตามนั้น คุณก็จะได้เข้าสู่หอเทพเจ้าขณะที่ปล่อยให้สมาชิกอีก 5 คนที่เหลือรับมือกับนักรบทั้ง 5…พูดอีกอย่างก็คือ คุณจะชนะการต่อสู้โดยที่ยังไม่ต้องต่อสู้เลย ด้วยสิ่งนี้ คุณจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้!”
“ผู้นำในการปฏิบัติภารกิจจะสามารถเข้าสู่หอเทพเจ้าโดยไม่ต้องต่อสู้หรือ? เดี๋ยวก่อน…แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับสมาชิกอีก 5 คนที่ต้องสู้กับนักรบทั้ง 5 ของหอเทพเจ้า?” จางเซวียนถาม
“พวกเขาอาจเสียชีวิต” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตอบอย่างเคร่งขรึม “สำหรับเรื่องนี้ ถ้าตัวแทนทุกคนมีพละกำลังทัดเทียมกัน การดวลจะถูกยกเลิกไป ตำแหน่งผู้นำในการปฏิบัติภารกิจจะถูกเลือกด้วยการจัดลำดับ โดยรอบนี้เป็นโอกาสของสำนักดาบเมฆเหินที่จะได้เป็นผู้นำในการปฏิบัติภารกิจ ส่วนคราวต่อไปจะเป็นโอกาสของหอนานาอสูร จากนั้นก็สำนักดาวเจ็ดดวง การจัดลำดับแบบนี้จะช่วยรักษาความสมดุลของอำนาจระหว่าง 6 สำนักไว้ได้ และทำให้พวกเราต่อสู้กับหอเทพเจ้าได้อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วย”
“แต่ก็มีหลายครั้งที่เกิดความเหลื่อมล้ำอย่างมากในด้านพละกำลัง ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น การจัดลำดับจะถูกยกเลิกไป สิ่งนี้จะช่วยให้อัจฉริยะผู้เป็นตัวแทนสามารถสงวนพละกำลังของเขาไว้เพื่อเข้าไปฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ จากหอเทพเจ้า”
“กรณีแบบนี้เกิดขึ้นในยุคสมัยของหัวหน้าขง ด้วยพละกำลังมหาศาลของเขา แม้เขาจะไม่ได้รับตำแหน่งผู้นำในการปฏิบัติภารกิจ แต่ก็สามารถฝ่าด่านสะพานเบื้องบนและเข้าสู่หอเทพเจ้าได้อย่างง่ายดาย สถานการณ์แบบนี้ทำให้มีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มากขึ้น แม้ทั้ง 6 สำนักจะไม่ได้ประสบความสำเร็จทั้งหมด แต่ก็มีอย่างน้อย 2-3 สำนัก”
จางเซวียนพยักหน้า
ต่อให้พวกเขาเลือกผู้นำในการปฏิบัติภารกิจโดยหมุนเวียนกันไปในแต่ละครั้ง แต่ด้วยอายุขัยของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่ยาวนานเพียง 500 ปี ก็ย่อมมีบางเวลาที่บางสำนักจะไม่มีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อยู่เลย
นั่นหมายถึงช่วงเวลาแห่งความเปราะบางของสำนักนั้น ทุกอย่างอาจผิดพลาดได้โดยง่าย
ด้วยเหตุนี้ จึงยังคงต้องมีการแข่งขันเพื่อช่วงชิงตำแหน่งผู้นำในการปฏิบัติภารกิจ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมสำนักต่างๆถึงมอบตำแหน่งผู้อาวุโสให้เขาและพร้อมจัดหาทรัพยากรให้ทุกรูปแบบ เห็นได้ชัดว่าพวกนั้นอยากให้เขาคว้าตำแหน่งผู้นำในการปฏิบัติภารกิจให้ได้
ขอแค่มีใครสักคนคอยปกป้องสำนักเอาไว้ เรื่องอื่นก็ล้วนแต่เป็นรอง
เมื่อพูดจบ เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวมองจางเซวียนอย่างคาดหวัง “ผู้อาวุโสหลิว คุณต้องทำให้เต็มที่นะ เราจะสรรหาทุกอย่างที่คุณต้องการเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์มาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
แม้ตอนที่เขาท้าทายชายหนุ่มคนนี้โดยลดระดับวรยุทธลงมาเป็นนักรบอมตะตัวจริง อีกฝ่ายก็เอาชนะเขาได้สบาย จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าชายหนุ่มน่าจะเอาชนะตัวแทนคนอื่นๆจากอีก 5 สำนักที่เหลือได้อย่างง่ายดายเช่นกัน!
มันคือโชคชะตาของชายหนุ่มที่จะต้องสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ให้ได้ เขาเป็นแม้กระทั่งแสงสว่างแห่งความหวังที่จะฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ มาให้สำนักดาวเจ็ดดวง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ความรุ่งโรจน์เจิดจรัสในภายภาคหน้าของสำนักดาวเจ็ดดวงก็เป็นอันรับประกันได้!
“วางใจเถอะ” จางเซวียนพยักหน้า
ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายยอมเสียสละตัวเอง เขาคงไม่สามารถฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงได้ บุญคุณครั้งนี้มากเกินพอที่จะทำให้เขายอมทุ่มสุดตัวเพื่อช่วยเหลือคนเหล่านั้น
เมื่อเข้าใจสถานการณ์แล้ว จางเซวียนหันกลับไปดำเนินการขัดเกลาวรยุทธของเขาต่อ
ระหว่างนั้น อสูรอมตะบินได้ก็เร่งความเร็ว เพียงไม่ถึงครึ่งวัน มหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลก็ปรากฏตรงหน้า
“ในที่สุดพวกเราก็มาถึงทะเลพลัดดาวแล้ว” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวลุกขึ้นยืน
จางเซวียนเดินไปดูที่หน้าต่าง
เขาเห็นผืนน้ำสีฟ้าล้ำลึกอยู่เบื้องล่าง เมื่อมองลงไป ก็ดูเหมือนมหาสมุทรกำลังหลอมรวมเข้ากับท้องฟ้า มันตัดกันและเกิดเป็นมิติลึกลับระหว่างท้องฟ้ากับมหาสมุทร
มีฝูงปลากับฝูงนกอยู่มากมาย เกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงามอย่างน่าทึ่ง
“นี่คือทะเลพลัดดาว?” จางเซวียนทึ่งจัด
ไม่น่าเชื่อว่าเหล่านักรบของทวีปที่ถูกลืมต่างไม่เต็มใจจะเหยียบย่างเข้ามาในโลกที่งดงามแบบนี้
“ใช่แล้ว ในยามค่ำคืน มหาสมุทรเบื้องล่างจะดูเหมือนมีหมู่ดาวร่วงลงไป ทำให้เกิดความกระหายที่จะไขว่คว้ามัน บางครั้ง…ถ้าคุณเดินทางได้เร็วพอ ก็อาจจะจับมันได้ นี่คือเหตุผลของการตั้งชื่อสถานที่แห่งนี้ว่าตำหนักคว้าดาว” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูด
“แต่ธรรมชาติดูจะมอบอันตรายไว้ให้อยู่คู่กับความงดงาม เหตุผลเดียวที่พวกเรายังไม่ถูกโจมตีก็เพราะเราอยู่บนพาหนะที่มีสัญลักษณ์ของสำนักดาวเจ็ดดวงและขับเคลื่อนด้วยอสูรอมตะขั้นสูงมากมาย นักรบทั่วไปไม่มีทางทำได้ขนาดนี้ พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายนับไม่ถ้วน แล้วจะเอาอารมณ์ที่ไหนมาชื่นชมกับความงดงาม?”
“ผมเข้าใจ” จางเซวียนตอบ
คงเป็นความโง่เง่าอย่างมากหากประมาทสิ่งที่อยู่ภายใต้ผิวน้ำอันราบเรียบนั้น เป็นไปได้ว่าน่าจะมีอสูรทรงพลังมากมายนับไม่ถ้วนซ่อนตัวอยู่ในทะเลพลัดดาว
ผู้ที่บุ่มบ่ามบุกรุกเข้ามาในดินแดนของพวกมันจะต้องตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง
จางเซวียนเฝ้าดูอสูรอมตะค่อยๆเดินทางเข้าสู่ทะเลพลัดดาว เขาอดถามไม่ได้ “แล้วตำหนักคว้าดาวอยู่ที่ไหน?”
“ที่ใจกลางมหาสมุทร มีเกาะขนาดใหญ่เกาะหนึ่งชื่อเกาะคว้าดาว ตำหนักคว้าดาวและประชากรท้องถิ่นของทวีปที่ถูกลืมพำนักอยู่ที่นั่น” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวอธิบาย
อสูรอมตะยังคงมุ่งหน้าต่อไป หลังจากบินไปได้อีกราว 2 พันลี้ จางเซวียนก็เห็นอสูรมากมายแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทร ดูพร้อมจะบุกเข้าโจมตี
ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวปล่อยรังสีของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ออกมากำราบพวกมันไว้ อสูรเหล่านั้นน่าจะเล่นงานพวกเขาแน่
ไม่แปลกใจแล้วที่ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าสู่พื้นที่นี้ เพราะนอกจากภัยคุกคามจากประชากรในพื้นที่ เพียงแค่อสูรอมตะพวกนี้ก็เกินพอจะยับยั้งเหล่านักรบได้แล้ว
ราวครึ่งวันให้หลัง เกาะขนาดใหญ่ก็ปรากฏแก่สายตา
มันมีความกว้างหลายพันลี้ มีเมืองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง
เมื่อมองจากระยะไกล จะรู้สึกได้ถึงรังสีพิเศษที่ครอบคลุมทั้งเมืองไว้ เกิดเป็นสนามพลังที่ดูน่าเกรงขาม
“รังสีนี้ดูคุ้นๆนะ…” จางเซวียนชะงักไปเล็กน้อย
เขาแน่ใจว่าเคยรู้สึกได้ถึงสนามพลังพิเศษแบบนี้จากที่ไหนสักแห่ง จึงเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้เพื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
ฟึ่บ!
จางเซวียนหรี่ตาด้วยความประหลาดใจขณะตัวแข็งทื่อ
“นี่มันรังสีของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นไม่ใช่หรือ?”
พลังงานที่คุ้นเคยแผ่ซ่านออกจากเกาะขนาดมหึมานั้น มันคือเจตนาสังหารที่เป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น
เหตุผลที่จางเซวียนไม่รู้สึกถึงมันในทันทีก็เพราะเจตนาสังหารนี้ลดความรุนแรงลงเมื่อผสมผสานเข้ากับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทของมิติเบื้องบน ทำให้มันมีความอบอุ่น
ถึงอย่างไร การปรากฏของเจตนาสังหารก็หมายความว่ามีเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่บนเกาะนี้ หรือว่า ‘ประชากรท้องถิ่น’ ที่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูดถึงจะหมายถึงเผ่าพันธุ์ปีศาจ?
เรื่องนี้อธิบายต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้!
พวกมันน่าจะหลุดรอดไปสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ด้วยการฝ่าปราการแห่งมิติ นำหายนะครั้งใหญ่ไปสู่สิ่งมีชีวิตที่นั่น
เมื่อเกิดความคิดนั้น จางเซวียนรีบพิจารณาผู้คนที่เดินไปมาคลาคล่ำอยู่ในเมืองใหญ่ แต่สิ่งที่เขาเห็นยิ่งทำให้งุนงงกว่าเดิม
คนเหล่านั้นมีขนาดของร่างกายเท่ากับมนุษย์ธรรมดาสามัญ ไม่มีอะไรผิดแปลก ไม่มีความดุร้ายกระหายเลือดตามแบบของเผ่าพันธุ์ปีศาจเลย
หรือว่าประสาทสัมผัสของเขาจะผิดเพี้ยนไป?
ตอนที่เราอยู่ในอาณาจักรคุนฉื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่ได้สัมผัสกับพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทก็สูญเสียสัญชาตญาณการใช้ความรุนแรงและความกระหายเลือดเหมือนกันสิ่งนี้น่าจะเป็นสาเหตุของความผิดปกติที่เกิดขึ้น จางเซวียนคิด
นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับพรรคพวกได้ทำการทดลองกับเผ่าพันธุ์ปีศาจเพื่อทดสอบความทนทานของพวกมันที่มีต่อพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอท ซึ่งพวกเขาได้ข้อพิสูจน์แล้วว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ผ่านการทดสอบจะมีคุณสมบัติเหมือนมนุษย์ธรรมดาสามัญทุกอย่าง