บทที่ 1228 จักรพรรดิมู่

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1228 จักรพรรดิมู่

เมื่อได้ยินคำพูดของจักรพรรดิสัประยุทธ์

เซียวเหยียนก็ยิ้มบาง “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ต้องขอขอบคุณจักรพรรดิสัประยุทธ์ด้วย”

จักรพรรดิสัประยุทธ์โบกมือพูดเชื้อเชิญออกไป “การแข่งขันสำหรับนักรบทวีปจะเริ่มขึ้นในเดือนหน้า ข้ายินดีต้อนรับเทพจักรพรรดิอัคคีที่ตำหนักซีเทียนเพื่อเข้าชม”

เซียวเหยียนยิ้มผงกศีรษะรับ “ข้ามาแน่นอน”

“งั้นข้าจะต้องตารอ วันนี้ขอตัวก่อน” จักรพรรดิสัประยุทธ์ยิ้มไม่คิดจะอยู่ต่อ เขาประสานมือคำนับเซียวเหยียน แสงสีทองเบ่งบาน รัศมีสีทองก็พุ่งเข้าปกคลุมหลิงตง จากนั้นทั้งสองก็หายไปจากสายตา

นับตั้งแต่การปรากฏตัวของเทพจักรพรรดิอัคคี เขาก็ไม่พูดถึงเรื่องลั่วหลีที่จะให้รับตำแหน่งธิดาเทพอีก เพราะเขารู้ว่าตนเองไม่สามารถข่มคนเหล่านี้ได้ด้วยพลังที่มีอีกต่อไป ในเมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีอยู่ที่นี่ด้วย

ต่อให้มู่เฉินเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ซึ่งเป็นอะไรที่เขาสามารถสังหารได้เพียงพลิกฝ่ามือ ทว่ายังมีพลังหลายประเภทในโลกนี้

แม้จะเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแต่มู่เฉินก็รู้จักวิธียืมมือ… ถึงว่าจะฟังดูง่าย แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์รู้ดีว่าการยืมมือคนอื่นทำได้ยากเพียงใด

ทว่ามู่เฉินก็สามารถยืมมือของเทพจักรพรรดิอัคคีได้ด้วยขุมพลังระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น ซึ่งอธิบายได้ว่ามู่เฉินพิเศษเพียงใด จะมีกี่คนในมหาพันภพที่จะบรรลุความสำเร็จเช่นนี้?

นอกจากนี้เขายังสามารถยืมมือเทพจักรพรรดิสงครามได้อีกด้วย

ดังนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงรู้ว่าตนเองไม่สามารถข่มมู่เฉินได้อีกต่อไปด้วยขุมพลังเทียนจื้อจุนที่มี

หากเขาฝืนทางมากเกินไป เขาอาจสร้างความขุ่นเคืองกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม เวลานั้นแม้แต่คนอย่างเขาก็จะต้องจ่ายราคาแพงระยับ

ดังนั้นเขาจำใจต้องยอมเลิกรากับตำแหน่งธิดาเทพของลั่วหลีแห่งตำหนักซีเทียน ทั้งหมดเป็นเพราะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่อ่อนแอ

แม้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่จะรู้สึกไม่พอใจว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเป็นคนบีบให้เขาต้องล่าถอย แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมมู่เฉินอยู่ในใจ

นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายสามารถบังคับให้เขาต้องถอยกลับแม้จะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น สุดท้ายยังทำให้เขาต้องจ่ายราคาสำหรับสิทธิ์ในการแข่งขันนักรบทวีปด้วย

วิธีและความคิดของมู่เฉินเป็นสิ่งควรค่าแก่การยกย่อง จักรพรรดิสัประยุทธ์เริ่มเข้าใจว่าทำไมคนอย่างเทพจักรพรรดิอัคคีถึงดูแลมู่เฉินอย่างมาก เพราะมู่เฉินมีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นมังกรยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง

การจากไปของจักรพรรดิสัประยุทธ์ ทำให้ความกดดันที่ล้อมรอบเมืองลั่วเสินหายไป คนตระกูลลั่วเสินพากันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะระเบิดเป็นเสียงโห่ร้อง

นั่นเป็นการส่งเสียงดีใจที่รอดจากความตายมาได้

วันนี้มีเรื่องราวพลิกตาลปัตรไปมามากมาย พวกเขารู้สึกสิ้นหวังหลายครั้งจนคิดว่าตระกูลลั่วเสินคงถึงคราวล่มสลายแล้ว

แต่ใครจะคาดว่าสถานการณ์จะพลิกผันหลายครั้งเช่นนี้ ท้ายที่สุดตระกูลลั่วเสินไม่เป็นอันตรายและยังได้รับประโยชน์ที่ดีที่สุดด้วย

ผู้คนในตระกูลลั่วเสินมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา เพราะพวกเขารู้ว่าหลังจากภัยพิบัติวันนี้ตระกูลลั่วเสินจะพลิกโฉมครั้งใหม่!

ลั่วหลีได้รับมรดกของลั่วเสินซึ่งเป็นการยอมรับจากบรรพบุรุษ เห็นได้ชัดว่าตระกูลลั่วเสินจะมีจักรพรรดินีทรงอำนาจในอนาคต พวกเขาอาจกลับคืนสู่ยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ภายใต้การนำของนาง

จากนั้นพวกเขาก็หันมองร่างเงาอ่อนเยาว์ ดวงตาเต็มไปด้วยความขอบคุณและความเคารพ

พวกเขารู้ว่าปัญหาในวันนี้ถูกแก้ไขโดยชายหนุ่มคนนี้แทบทั้งหมด

เพราะเขานำจอมยุทธ์ทรงประสิทธิภาพเข้ามาช่วยตระกูลลั่วเสิน ระงับความทะเยอทะยานของตระกูลเสี่ยเสิน เขาแทรกแซงเมื่อตำหนักซีเทียนพยายามที่จะนำจักรพรรดินีของพวกเขาไป มิหนำซ้ำยังสามารถเชิญเทพจักรพรรดิอัคคี เมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้…

หากมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยในวันนี้ตระกูลลั่วเสินคงถึงกาลอวสานอย่างแน่นอน ทว่าเรื่องราวกลับได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างสมบูรณ์โดยชายหนุ่มผู้นี้

กล่าวได้ว่าศักยภาพที่มู่เฉินแสดงสามารถครองหัวใจคนตระกูลลั่วเสินได้ บางทีคงมีเพียงชายหนุ่มผู้โดดเด่นคนนี้ที่คู่ควรกับจักรพรรดินีของพวกเขา!

“จักรพรรดิมู่!”

“จักรพรรดิมู่!”

เสียงร้องสรรเสริญดังก้องทั่วเมืองลั่วเสินกระจายออกไปทุกซอกมุมอย่างน่าอัศจรรย์ ผู้คนตระกูลลั่วเสินจำนวนมากมีใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อร้องตะโกน ขณะนั้นแม้แต่ชั้นฟ้าและชั้นดินก็สะเทือนเลื่อนลั่นด้วยเสียงคำรามนี้

“จักรพรรดิมู่! จักรพรรดิมู่!”

ลั่วชิงหยา ลั่วซิวและเหล่าจอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินมองไปที่ประชาชนที่ตื่นเต้นก็แลกเปลี่ยนสายตากัน ปัจจุบันตระกูลลั่วเสินมีเพียงจักรพรรดินี แต่เมื่อนางมีคนรัก และอีกฝ่ายก็ได้รับการยอมรับจากทั้งตระกูล คนรักของนางก็จะดำรงจักรพรรดิตระกูลลั่วเสิน

เห็นได้ชัดว่าตระกูลลั่วเสินไม่ได้ตาบอด พวกเขาสามารถบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างลั่วหลีและมู่เฉินได้ นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดศักยภาพที่มู่เฉินแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ทำให้ทุกคนเชื่อมั่น ดังนั้นทุกคนจึงแสดงความตื่นเต้นในใจออกมาผ่านคำพูดสรรเสริญนี้

นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนใฝ่ฝัน

ลั่วชิงหยา ลั่วซิวและเหล่าจอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินถอนหายใจ จากนั้นก็มองหน้ากันแล้วตะโกนออกมาสุดเสียงเช่นกัน

นั่นเป็นเพราะไม่เพียงแต่ประชาชนที่เชื่อมั่นเท่านั้น เหล่าทหารหาญก็เชื่ออย่างนั้นในเวลานี้เช่นกัน

จะมีกี่คนในโลกที่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนโดยไม่เกรงกลัว มิหนำซ้ำยังสามารถตอบโต้ได้ด้วย?

ลั่วเทียนเสินไม่สามารถกลั้นยิ้มเมื่อได้ยินเสียงตะโกน เขามองไปที่ชายหนุ่มบนท้องฟ้าพลางถอนหายใจ เขานึกถึงตอนที่พาลั่วหลีออกไปจากสำนึกศึกษาเป่ยชางเมื่อไม่กี่ปีก่อน…

ในเวลานั้นชายหนุ่มทั้งเด็กและอ่อนแอคล้ายกับลูกเหยี่ยวน้อย แม้ว่าจะเฉียบคมแต่ก็เด็กเหลือเกิน ในเวลานั้นลั่วเทียนเสินไม่ได้ให้ความสำคัญกับชายหนุ่ม เพียงแค่คิดว่าเป็นผู้โชคดีที่ได้รับหัวใจของลั่วหลี

ตอนนั้น… เขาไม่คิดเลยว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าชายคนนั้นจะปรากฏตัวเบื้องหน้าเขาในฐานะผู้กอบกู้

ชายหนุ่มสลายความอ่อนแออย่างสมบูรณ์ในหลายปีที่ผ่านมา เปล่งประกายความคมชัดที่ทำให้คนอื่นตกตะลึง

“สายตาลั่วหลีดีจริงๆ” ลั่วเทียนเสินถอนหายใจ ที่ผ่านมาลั่วหลีได้รับแรงกดดันอย่างมากในตระกูล แม้ว่าทุกคนจะสงสัยในตัวนาง นางก็ไม่เคยหวั่นไหว

ขณะที่เสียงโห่ร้องดังสะท้อนไปทั่วขอบฟ้า ความไว้สง่าของลั่วหลีก็จางหายไปหมด ยามนี้ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับ ใบหน้าขึ้นริ้วสีแดง นางก้มศีรษะลง ท่าทางเขินอายนี่ทำให้หัวใจของผู้คนมากมายผันผวน

นั่นเป็นเพราะนางรู้ว่าการเรียกขานเช่นนี้หมายถึงอะไร

นี่เป็นการยอมรับสูงสุดสำหรับมู่เฉินและก็หมายความว่าตระกูลลั่วเสินยอมรับความสัมพันธ์ของนางกับมู่เฉินด้วย

นางมองไปที่ลั่วเทียนเสิน ขณะนี้อีกฝ่ายก็ผงกหัวด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน

เผชิญหน้ากับเสียงไชโยโห่ร้อง มู่เฉินก็เกาหัวก่อนที่จะหันไปมองหญิงสาวที่เขินอายข้างกายด้วยหัวใจที่พลุ่งพล่าน

“ลั่วหลี…”

มู่เฉินเรียกเสียงเบาขณะมองดวงตาของหญิงสาว เขาเก้อเขินอายไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดว่า “คำสัญญาที่ข้าให้ไว้กับเจ้าก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะโอ้อวดไปหน่อย…”

ย้อนกลับไปตอนนั้นเขาสัญญากับนางว่าตัวเองจะเป็นยอดยุทธ์และปกป้องนางเธอจากลมฝน…

ลั่วหลีมองใบหน้าหล่อเหลาเบื้องหน้า ดวงตาก็ขึ้นริ้วแดง บางทีคนอื่นอาจคิดว่าคำสัญญานั้นช่างน่าหัวเราะ ทว่ามีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่างานหนักที่เขาทำเพื่อสัญญายากเย็นขนาดไหน

เส้นทางของยอดยุทธ์เต็มไปด้วยขวากหนามนานัปการ สามารถเปลี่ยนคนที่มีจิตใจตั้งมั่นได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นนางจึงรู้ว่าเขาทำงานหนักอย่างไร ต้องผ่านสถานการณ์เป็นตายมากี่ครั้ง

แค่คิดก็ทำให้นางรู้สึกปวดใจ

“เจ้าลำบากไปแล้ว” ลั่วหลีกัดริมฝีปาก ก่อนที่จะพูดด้วยดวงตาบวมแดง

มู่เฉินยิ้มบาง “ลั่วหลี เจ้ายังจำคำสัญญาที่ข้าให้ไว้ได้ไหม ตอนที่เจ้าจากมา…”

ลั่วหลีพยักหน้าเบาๆ นางยังจดจำคำพูดของมู่เฉินได้แจ่มชัด ทุกประโยคดังก้องในโสตประสาทของนาง

“ลั่วหลี ข้ารักเจ้า แม้ตระกูลลั่วเสินอาจไกลมากเกินไปในตอนนี้ ข้าก็ไม่สามารถทำให้ท่านปู่และตระกูลเจ้ายอมรับได้ นอกจากนี้พวกเขายังอาจเกิดความสงสัยในสายตาและรู้สึกว่าเจ้าตาบอดมารักชายที่ธรรมดาเท่านั้น แต่…”

“เชื่อข้าจะต้องมีสักวันที่ข้าจะไปที่ตระกูลลั่วเสิน ในเวลานั้นข้าจะให้พวกเขารู้ว่าเจ้าไม่ได้คว้าก้อนกรวดในทะเลทราย แต่เป็นเพชรที่เจิดจรัส…”

มู่เฉินจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าพลางยิ้มบาง

“หลายปีที่ผ่านมาข้าได้พยายามในสิ่งนี้….”

ทันใดนั้นลั่วหลีก็อดกลั้นอารมณ์ที่พวยพุ่งในหัวใจไม่ได้ หยาดน้ำตาหลั่งรินออกมาทันที