ตอนที่ 943 เก้าคัมภีร์หงส์เซียน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

แม่น้ำพรมแดนไหลเชี่ยวกราก คลื่นขุ่นรุนแรง

ยานสำเภาลอดผ่านภายใน ราวกับปลาที่แหวกว่ายอย่างยากลำบากท่ามกลางคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง

พวกโค่วซิงราวกับม้าแก่ชำนาญทาง แม้ระหว่างทางเต็มไปด้วยอันตราย แต่ก็ไม่คณามือพวกเขา ถูกพวกเขาหลบหลีกได้อย่างหวุดหวิดครั้งแล้วครั้งเล่า

ภายในห้อง แม่นางเยวี่ยนั่งตัวตรง มือขาวสะอาดรินเหล้า รินเองดื่มเองอย่างผ่อนคลาย สงบใจรอ

ป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชันล่อใจผู้กล้าแห่งยุคทุกคนเป็นอย่างมาก หากสามารถไขว่คว้าโอกาสไว้ ก็จะสามารถเข้าไปฝึกปราณในสำนักใดสำนักหนึ่งของแดนเร้นอริยะได้

นี่ไม่ด้อยไปกว่าปลาที่กระโดดข้ามประตูมังกร โผบินสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ทั้งฐานะ ตำแหน่ง หรือแม้แต่มรรคาที่บำเพ็ญก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน

แต่เหนือความคาดหมายของแม่นางเยวี่ย ครู่ใหญ่หลินสวินกลับส่ายหน้าพูด “ของสิ่งนี้ข้าไม่สามารถรับไว้ได้”

“เพราะเหตุใด” แม่นางเยวี่ยอึ้ง

หลินสวินตอบตามจริง “สิ่งนี้เกี่ยวข้องถึงปัญหาสำคัญ ยากที่ข้าจะตัดสินใจตอนนี้”

“เข้าใจได้”

แม่นางเยวี่ยใคร่ครวญแล้วยิ้มบางๆ พูด “แต่ท่านไม่จำเป็นต้องปฏิเสธตอนนี้ จะได้ใช้ประโยชน์หรือไม่ ในอนาคตก็จะรู้เอง”

ว่าแล้วนางก็ยื่นป้ายคำสั่งนี้ให้หลินสวิน “คุณชายอย่าได้ปฏิเสธอีกเลย ถือซะว่าเป็นการคบสหายคนหนึ่ง”

หลินสวินดื่มเหล้าจอกหนึ่งแล้วยิ้มพูดอึ้ง “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะรับไว้”

จากนั้นทั้งสองก็ดื่มเหล้าพลางคุย นับว่าคุยกันถูกคอ จวบจนกระทั่งเวลาหนึ่งก้านธูปหลังจากนั้น หลินสวินจึงลุกขึ้นบอกลา

……

‘น่าสนใจ เทพมารหลินไม่ได้เย่อหยิ่งและดุดันเหมือนอย่างที่เล่าลือ…’ แม่นางเยวี่ยนั่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาคู่ใสดูเหม่อๆ ตกอยู่ในภวังค์ความคิด

เป็นอย่างที่หลินสวินคาดเดา นางอ่านฐานะของหลินสวินออกตั้งนานแล้ว

เพียงแต่หลังจากได้ปฏิสัมพันธ์กัน นางจึงพบว่าเทพมารหลินคนนี้ไม่ได้เย่อหยิ่งและดุดันเลยสักนิด ตรงกันข้ามยังถ่อมตัวและเก็บตัวอย่างมาก ทำให้นางดูตื้นลึกไม่ออกนัก

‘สำนักในแดนฐิติประจิมพวกนั้นโง่จริงๆ ดันไม่มีที่ยืนให้บุคคลมากสามารถแห่งยุคคนนี้ สักวันพวกเขาจะต้องเสียใจ’

‘หากเป็นไปได้ ถือว่าสามารถสานสัมพันธ์กับเขาไปอีกขั้นหนึ่ง…’

ครู่ใหญ่แม่นางเยวี่ยเล่นจอกเหล้าในมือ มุมปากเผยองศาอันคลุมเครือยากจะเข้าใจ

……

‘ฝีมือของผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ งามทั้งภายนอกและภายใน รู้จักเข้าหาคน สติปัญญาเทียบอสูร เป็นบุคคลปานปีศาจอสูรมารจริงๆ’

ในเวลาเดียวกัน หลินสวินเองก็ทอดถอนใจ ดวงตาสีดำแฝงความชื่นชม

คบหาสมาคมกับคนฉลาด จะทำให้ระแวงโดยไม่รู้ตัว

แต่แม่นางเยวี่ยกลับแตกต่าง นางได้ซ่อนความสามารถของตนมานานแล้ว วางตัวอย่างรู้กาลเทศะ ใจกว้างไม่โอ้อวด ทำให้อคติไม่ลงจริงๆ

นี่เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก และเป็นสติปัญญาที่แท้จริง

‘น่าสนใจ นางมาจากแดนเร้นอริยะสักแห่งหนึ่ง ดูเหมือนจะรู้ความลับมากมายที่คนนอกไม่อาจรู้ได้ ฐานะย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน…’

หลินสวินเองก็กำลังใคร่ครวญ

จากที่คุยกับแม่นางเยวี่ยก่อนหน้านี้ ทำให้หลินสวินรู้แล้วว่าศัตรูที่ตามฆ่านางมาจากขุมอำนาจอาณาจักรโบราณแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ‘อ้าวไหล’

อาณาจักรอ้าวไหลตั้งอยู่ใกล้กับทะเลอันกว้างใหญ่ของแดนชัยบูรพา อยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพกาลจวบจนปัจจุบัน ถูกเรียกว่าเป็น ‘อาณาจักรโบราณนิรันดร์’

จากที่แม่นางเยวี่ยพูด อาณาจักรอ้าวไหลเรียกได้ว่าเป็นขุมอำนาจเก่าแก่ชั้นยอดแห่งหนึ่ง ในอาณาจักรมีอริยะที่แท้จริงดูแล รากฐานมั่นคงอย่างที่สุด

ในอาณาจักรอ้าวไหล ขุมอำนาจทางการฝึกปราณล้วนปกครองโดย ‘ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์’ ทั้งเจ้าอาณาจักร ราชครู หรือผู้ยิ่งใหญ่ในระดับอาณาจักร ล้วนเป็นลูกศิษย์ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์

เรียกได้ว่า ทั้งอาณาจักรอ้าวไหล แท้จริงแล้วล้วนอยู่ภายใต้การปกครองของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์

หลินสวินไม่ได้รู้สึกสนใจลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่น ที่ทำให้เขาตะลึงจริงๆ คือ แม่นางเยวี่ยคนนั้นมาจากแดนเร้นอริยะแห่งหนึ่ง แต่ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์กลับกล้าตามฆ่านาง จากเรื่องนี้สามารถดูออกว่า เบื้องลึกเบื้องหลังของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้แข็งแกร่งธรรมดาอย่างแน่นอน

ส่วนเหตุผลที่ถูกลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ตามฆ่า คำตอบของแม่นางเยวี่ยในตอนนั้นง่ายมาก ‘ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็นมรรคสายนอกมารร้าย อำพรางความชั่วร้าย ก่อกรรมทำเข็ญไปทั่วหล้า ทุกคนล้วนปรารถนาจะกำจัด’

แน่นอนว่าหลินสวินไม่เชื่อเหตุผลนี้ แต่สีหน้าในตอนนั้นของแม่นางเยวี่ยกลับจริงจังและเคร่งขรึมมาก ทำให้หลินสวินยากจะซักไซ้ต่อในชั่วขณะ

“หลินสวิน ข้าหิวแล้ว” ซย่าจื้อตื่นแล้ว ประโยคเดียวก็ทำให้หลินสวินตื่นจากภวังค์ความคิด

……

ในเวลาเดียวกัน บนแม่น้ำพรมแดนที่อันตรายเกินคาดเดา ยานสำเภาลำหนึ่งเคลื่อนที่พร้อมแสงประกายสีทองระยิบระยับอยู่กลางอากาศ

“แม้แม่น้ำพรมแดนจะอันตราย แต่ขอแค่ไม่เจอพวกเสี้ยวเจตจำนงอริยะสมควรตายพวกนั้น ก็ไม่สามารถคุกคามพวกเราได้มากนัก”

บนยานสำเภา ซุ่นไป๋เสวียนยิ้มพูด ดูย่ามใจอย่างมาก

“จริงสิ เจ้าเข้ามาในแม่น้ำพรมแดนครั้งนี้คิดจะทำอะไรกันแน่” เขาหันมองลั่วเจียที่อยู่ข้างๆ

“เสาะหาวาสนา”

ในมือลั่วเจียถือขนนกงดงามที่มีสีแดงสดราวกับเพลิง ขนนกสาดละอองแสงราวกับโลหิต แผ่กลิ่นคาวเลือดอันมืดมน น่าหวาดหวั่นอย่างมาก

ซุ่นไป๋เสวียนจำได้ตั้งแต่แวบแรก นี่คือขนปีกบริสุทธิ์ของหงส์ดำเลือดทมิฬตัวหนึ่ง วิเศษอย่างที่สุด มูลค่าไม่อาจประเมิน เป็นเจตวัตถุที่ใช้หลอมสมบัติอริยะ

อีกทั้งภายในของสิ่งนี้แฝงประทับมหามรรคของหงส์ดำเลือดทมิฬ มีประโยชน์ยอดเยี่ยมอย่างไม่อาจประเมินได้ต่อการฝึกปราณ

ซุ่นไป๋เสวียนราวกับตระหนักบางอย่างได้ พลันพูดอย่างแปลกใจ “เจ้าจะหาหงส์ดำเลือดทมิฬหรือ”

“ไม่ เป็นเสี้ยววิญญาณของหงส์ดำเลือดทมิฬ”

ลั่วเจียเองก็ไม่ปิดบัง “ตามที่อาจารย์ของข้าวิเคราะห์ บนแม่น้ำพรมแดนที่เชื่อมไปสู่แดนชัยบูรพา ในสมัยบรรพกาลเคยมีหงส์ดำเลือดทมิฬที่ก้าวสู่ระดับอริยะตัวหนึ่งสิ้นชีพ ณ ที่แห่งนี้ ทว่าวิญญาณไม่เคยจางหาย แต่ถูกปิดผนึกไว้ในซากสมรภูมิลึกลับแห่งหนึ่งของแม่น้ำพรมแดน”

“หากได้มันมาครอบครอง ข้าก็จะได้รับ ‘คัมภีร์หงส์ทมิฬสิ้นสลาย’!”

ในดวงตาซุ่นไป๋เสวียนวาบประกายเรืองรอง ราวกับหวั่นไหวอยู่บ้าง เอ่ยพูดว่า “คัมภีร์หงส์ทมิฬสิ้นสลาย นี่เป็นหนึ่งใน ‘เก้าคัมภีร์หงส์เซียน’ หรือว่าในเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนั้น เจ้าได้ปลุกพลังสายเลือดของตนขึ้นมา ครอบครองความเร้นลับของ ‘มหามรรคหงส์เซียน’ แล้ว”

ลั่วเจียพยักหน้า สีหน้าเรียบเฉย นี่ไม่มีอะไรต้องปิดบัง

ซุ่นไป๋เสวียนนิ่งไม่อยู่ทันที

เก้าคัมภีร์หงส์เซียนประกอบด้วยคัมภีร์มรรคหงส์ไร้เทียมทานเก้าเล่ม แม้ในสมัยบรรพกาล ยังเรียกได้ว่าเป็นมรดกข่มโลก เกือบจะเป็นดั่งตำนาน

แต่ละเล่มก็ล้วนเรียกได้ว่าเป็นมรดกลับไร้เทียมทาน และเก้าคัมภีร์หงส์เซียนฉบับสมบูรณ์ยิ่งเหลือเชื่อ มีความเร้นลับเชื่อมสวรรค์ที่ยากจะจินตนาการ

อย่างไรก็ตามเก้าคัมภีร์หงส์เซียนไม่เคยปรากฏอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แท้จริงตั้งแต่สมัยบรรพกาล มันถูกแบ่งออกเป็นเก้าส่วน กระจายอยู่ทั่วหล้า จนปัจจุบันยังไม่เคยมีใครรวมมันเข้าด้วยกันได้

ที่วิปริตที่สุดคือ คัมภีร์มรรค์ชนิดนี้คลุมเครือและสูงส่งอย่างมาก มีเพียงทายาทเผ่าหงส์ที่ครอบครองพลังมหามรรคหงส์เซียนเท่านั้นจึงจะสามารถหยั่งรู้และครอบครองได้

พูดอีกนัยหนึ่ง หากผู้ฝึกปราณคนอื่นได้ครอบครองคัมภีร์นี้ ก็คงได้แค่ชื่นชม แต่ไม่สามารถฝึกได้

และเห็นได้ชัดว่า ลั่วเจียในตอนนี้มีคุณสมบัติให้หยั่งรู้และฝึกฝนเก้าคัมภีร์หงส์เซียนแล้ว!

นี่ต่างหากที่ทำให้ซุ่นไป๋เสวียนตะลึง

“ตอนนั้นจี้ซิงเหยาหยั่งถึงมหามรรคแห่งนิลกาฬที่เป็นหนึ่งในสี่ยอดมรรคสังหาร อวี่หลิงคงบรรลุมหามรรคบงกชเขียวที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘มรรคปวงเทพแห่งฟ้าดิน’”

เสียงของลั่วเจียนุ่มนวลชัดเจน ราวกับน้ำตกใสไหลผ่านหุบเหว พูดอย่างช้าๆ “ส่วนข้าบรรลุมหามรรคหงส์เซียน”

ซุ่นไป๋เสวียนสายตาวูบไหว เอ่ยเสียงทอดถอนใจแฝงความเสียดาย “นี่ล้วนเป็นมหามรรคที่ถูกจัดอันดับในกระดานมรรคเทียมฟ้า เสียดายที่ข้ากลับพลาดวาสนายอดเยี่ยมระดับนี้…”

สมัยบรรพกาล อริยะทั่วหล้าอภิปรายมหามรรค คิดว่าในสามพันมหามรรค มีเพียงเก้าสิบเก้าประเภทเท่านั้นที่เรียกได้ว่า ‘เทียมฟ้า’

ภายหลัง ผู้ฝึกปราณบนโลกจัดอันดับมหามรรคเก้าสิบเก้าประเภทนี้ลงในกระดานมรรคเทียมฟ้า ตามความเร้นลับและอานุภาพ

นี่ก็คือเหตุผลที่ซุ่นไป๋เสวียนเสียดาย ด้วยตำแหน่งและฐานะของเขา ก็มีเพียงแค่ ‘มรรคเทียมฟ้า’ เท่านั้นที่ทำให้เขาหวั่นไหวได้

“จริงสิ เทพมารหลินนั่นบรรลุความเร้นลับของมหามรรคใด” จู่ๆ ซุ่นไป๋เสวียนก็ถามขึ้น

“คล้ายจะเป็นมหามรรคแห่งวังน้ำวน แต่เห็นชัดว่าไม่เหมือนกัน ลึกลับมาก” ลั่วเจียขมวดคิ้ว จนตอนนี้นางก็ยังสงสัย ไม่สามารถรู้คำตอบที่ชัดเจนได้

ซุ่นไป๋เสวียนอึ้ง “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร คนอื่นๆ ก็ดูไม่ออกเหมือนกันหรือ”

ดวงตาคู่งามของลั่วเจียวาบประกายประหลาดเสี้ยวหนึ่ง “ใช่ ไม่มีใครดูออก เพราะศิลาหินหลักที่เขาแจ้งมรรคสลายไป ไม่มีร่องรอยให้เห็น”

“แปลกจริงๆ” ซุ่นไป๋เสวียนตะลึง

“เพราะฉะนั้นข้าว่าเจ้าอย่าคิดเล่นงานเขาเลย บนตัวเขามีความเร้นลับอยู่ไม่น้อย แม้แต่ข้ายังดูไม่ออก” ลั่วเจียฉวยโอกาสนี้เตือนอีกครั้ง

เพียงแต่เหนือความคาดหมายของนาง ประโยคนี้กลับกระตุ้นจิตวิญญาณการต่อสู้ของซุ่นไป๋เสวียน อีกฝ่ายพลันพูดอย่างตื่นเต้น “ยิ่งเป็นคู่ต่อสู้เช่นนี้ยิ่งน่าสนใจ หากอ่อนแอเกินไปข้าก็คร้านจะสนใจ”

ลั่วเจียจนคำพูด

ตอนนี้เอง เสียงทลายอากาศเสียงหนึ่งดังขึ้นจากระยะไกล อานุภาพเกรียงไกร

หืม?

ลั่วเจียและซุ่นไป๋เสวียนต่างตกใจทันที ทั้งสองสบสายตากันแวบหนึ่ง

สวบ!

พริบตาต่อมา ทั้งสองก็ควบคุมยานสำเภาเคลื่อนไหวออกไปไกล อำพรางร่องรอย

ไม่นานเรือเรียวยาวที่ความยาวประมาณร้อยจั้ง ตัวเรือราวกับหลอมจากผลึกสีเลือด บดขยี้ห้วงอากาศคำรามเข้ามา

ภายนอกเรือลำนั้นมีรอยสลักวิญญาณแน่นขนัด แปรเป็นสัญลักษณ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์มากมาย มีพลังที่พาให้ตื่นตะลึง

บนเรือ ราชันกึ่งระดับหกคนยืนเคียงกัน แต่ละคนอยู่ในชุดคลุมสีดำ อานุภาพอันตราย น่าหวั่นหวาดอย่างที่สุด

“รายงานราชครูทุกท่าน กลิ่นอายของผู้หญิงคนนั้นถูกพวกเราจับตำแหน่งได้แล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด อีกครึ่งเค่อพวกเราก็จะตามทันแล้ว”

ชายชุดดำคนหนึ่งหมอบคลานอยู่บนพื้น พูดเสียงขรึม

“เตรียมพร้อมรบ ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าให้นางหนีไปได้!” ชายชราใบหน้าแดงฝาดที่เป็นหัวหน้าสีหน้าเยียบเย็นเคร่งขรึม พูดเสียงเรียบ

“ขอรับ!”

ชายชุดดำยืนขึ้น แล้วเดินจากไปอย่างเร่งรีบ

ไม่นานเรือสีเลือดที่เผยกลิ่นอายเข่นฆ่าดุร้ายก็ทะลวงผ่านอากาศไปด้วยความเร็วที่แปลกประหลาด

“ราชครูและลูกศิษย์ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี่? พวกเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

ซุ่นไป๋เสวียนควบคุมยานสำเภาให้ปรากฏตัว สีหน้าของเขาประหลาดใจไม่น้อย

ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็นลัทธิใหญ่เก่าแก่ที่ตั้งอยู่ในอาณาจักรอ้าวไหล ประวัติศาสตร์สามารถย้อนไปในสมัยบรรพกาล ยาวนานอย่างยิ่ง

ทว่าชื่อเสียงของลัทธินี้ไม่ได้ดีนัก

ซุ่นไป๋เสวียนเองก็รู้เพียงเท่านี้ เพราะแม้อาณาจักรอ้าวไหลจะอยู่ในแดนชัยบูรพา แต่กลับครองอาณาเขตส่วนลึกของทะเลอันกว้างใหญ่ แทบจะตัดขาดจากโลก น้อยมากที่โลกภายนอกจะมีข่าวเกี่ยวกับ ‘อาณาจักรโบราณนิรันดร์’ นี้

“ไป พวกเราก็ไปดูสักหน่อย ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้ลึกลับมาก พวกเขาปรากฏตัวที่นี่ จะต้องวางแผนทำเรื่องไม่ดีไม่งามที่ไม่สามารถบอกใครได้แน่!”

ไม่รอให้ลั่วเจียตอบตกลง ซุ่นไป๋เสวียนก็ควบคุมยานสำเภาออกเดินทางแล้ว

ลั่วเจียปวดหัวขึ้นมา เจ้าหมอนี่เป็นตัวหาเรื่องจริงๆ นี่เห็นได้ชัดว่าจะไปร่วมความครื้นเครงแล้ว…

……………