ตอนที่ 1036 เรื่องที่มิมีผู้ใดรู้

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1036 เรื่องที่มิมีผู้ใดรู้

ยามค่ำพวกเขาได้ร่วมรับประทานอาหารด้วยกันที่จวนของต่งคังผิง

ทัศนคติของแม่ยายที่มีต่อลูกเขยได้เปลี่ยนไปจากเดิม นางดูระมัดระวังในการวางตัวมากขึ้น

บัดนี้ต้าเซี่ยรวมผืนปฐพีได้หนึ่งปีแล้ว แต่เมื่อนางได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนซึ่ง ๆ หน้า นางก็อดที่จะรู้สึกเหลือเชื่อมิได้ นายน้อยเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียงที่เคยกระโดดข้ามกำแพงเข้ามาหลอกล่อลูกสาวของนางในวันนั้น… วันนี้เขาได้กลายมาเป็นจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยผู้ยิ่งใหญ่ !

เหตุใดในตอนนั้นนางถึงดูมิออกเลยนะ ?

หากองค์หญิงใหญ่มิได้เสด็จมาเอ่ยโน้มน้าวถึงที่จวน…แม้ว่านางจะจนหนทางที่จะห้ามปรามเขา ทว่าเยี่ยงไรนางก็จะมิมีทางไว้หน้าเขาอย่างแน่นอน

ครั้งหนึ่งในใจของนางเคยหมายปองเยี่ยนซีเหวินไว้เป็นลูกเขย

ทว่าหลังจากที่นางได้เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวน นางก็รู้สึกว่าลูกเขยผู้นี้รู้เรื่องรู้ราวมากกว่าเยี่ยนซีเหวินเสียอีก แต่ในตอนนั้นนางย่อมมิกล้าคิดว่าลูกเขยผู้นี้จะมีตัวตนเป็นถึงองค์จักรพรรดิ

และนี่ก็คือโชคชะตา…โชคชะตาของฟูเสี่ยวกวน โชคชะตาของต่งซูหลาน และโชคชะตาของทุกคนในจวนตระกูลต่ง !

แน่นอนว่านางเป็นผู้ที่ลงมือปรุงหัวปลาตุ๋นน้ำแดงเองกับมือ เมื่อเห็นว่าฟู่เสี่ยวกวนยังคงโปรดปรานรสมือของนางดังเดิม ท่าทีระวังเนื้อระวังตัวของนางจึงค่อย ๆ หายไป นางจ้องมองเขาด้วยสายตารักใคร่และเมตตา พลางคิดไปว่าเขามีท่าทีเหมือนจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเสียทีไหนกันเล่า เขายังคงเป็นลูกเขยของนางดังเดิม

เมื่อรับประทานมื้อค่ำที่จวนตระกูลต่งเสร็จ สวี่หยุนชิงก็ได้พาฟู่เสี่ยวกวนและลูกสะใภ้ไปเยือนจวนตระกูลสวี่

สวี่หวยซู่เสนาบดีกรมพิธีการประจำเมืองหลวงรองก็พอรู้ข่าวคราวมาบ้างว่าวันนี้ฝ่าบาทเสด็จมาถึงเมืองจินหลิงแล้ว และเขาก็รู้เช่นกันว่าน้องสาวสวี่หยุนชิงได้เดินทางมาด้วย แต่เขามิคาดคิดว่าน้องสาวจะพาฝ่าบาทและบรรดาลูกสะใภ้มาเยือนจวนสวี่ในราตรีนี้

ทำเอาสวี่หวยซู่และสวี่หวินกุยสองคนพี่น้องตื่นตกใจจนทำอันใดมิถูก

“กระหม่อม…ถวายบังคมฝ่าบาท องค์ไทเฮาและพระสนมทั้งหลาย ! ”

ในขณะที่สองพี่น้องกำลังจะคุกเข่าลงตรงหน้าประตู สวี่หยุนชิงก็ได้ยื่นมือไปดึงพวกเขาขึ้นมา “อย่ามากพิธีรีตองไปเลย เข้าเรือนไปเสีย ! ”

เรือนที่สวี่หยุนชิงเอ่ยนั้นมิใช่เรือนหลักของจวนสวี่ นางตรงไปยังห้องพระของเรือนด้านข้าง

สวี่หวยซู่ถือโคมไฟไว้ในมือหนึ่งดวง เขารีบมอบหมายให้น้องชายสวี่หวินกุยไปนำโคมไฟอีกหนึ่งดวงและเก้าอี้มา เพราะในห้องพระนั้นมืดสนิทและมิได้เปิดใช้งานมานานแล้ว

เมื่อสวี่หยุนชิงผลักประตูห้องพระเข้าไป ฝุ่นก็ตกลงมาเป็นแผง

นางใช้แขนเสื้อปัดฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย จากนั้นก็รับโคมไฟในมือของสวี่หวยซู่มาถือไว้แล้วเอ่ยว่า “ไปนำธูปและเงินกระดาษมาให้ข้า ข้าจะจุดธูปบูชาพระพุทธรูปสักหน่อย”

ฟู่เสี่ยวกวนมิเข้าใจว่านางตั้งใจจะทำอันใด เขาและเหล่าพระสนมยืนรออยู่ด้านนอก

“พระพุทธรูปองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งนัก”

“ครั้งหนึ่งข้าเคยตายไปแล้ว แต่ก็ได้กลับมามีชีวิตอีกครา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธรูปทั้งสิ้น”

“หลังจากที่ตาของเจ้าเกษียณ ท่านก็จะมานั่งสวดพระคัมภีร์ที่ห้องพระนี้ตลอด… เขาอธิษฐานขอให้พระเจ้าช่วยคุ้มครองเจ้า เมื่อคราที่เจ้ายังอาศัยอยู่ที่เมืองหลินเจียง ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าเจ้ายิ่งโตยิ่งมิเอาไหน”

“ที่เจ้าสามารถเติบใหญ่เป็นผู้เป็นคนได้ถึงตอนนี้ หนึ่งในสาเหตุนั้นก็เป็นเพราะท่านตาของเจ้าได้อธิษฐานต่อพระเจ้าเอาไว้”

“อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าจงกลับไปกันก่อนเถิด ราตรีนี้…ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อสวดขอพรจากพระพุทธรูป”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันใด “ท่านแม่…การอดหลับอดนอนมิดีต่อสุขภาพ และอีกอย่าง…ลูกคิดว่าการระลึกถึงพระเจ้า ล้วนอยู่ที่ใจนี่คือการแสดงความศรัทธาที่ดีที่สุด”

สวี่หวินกุยได้นำคนกลุ่มหนึ่งขนเก้าอี้และโคมไฟเข้ามาอย่างตื่นตระหนก ผ่านไปอีกชั่วครู่…ภรรยาและบุตรของสวี่หวยซู่ก็ได้นำธูปและเงินกระดาษเข้ามาให้

ภายในเรือนชุลมุนวุ่นวายกันอยู่พักใหญ่ สวี่หยุนชิงขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็หันไปกำชับสวี่หวยซู่ว่า “เอาของไว้ที่นี่ ส่วนพวกเจ้าทุกคนจงออกไปให้หมด ! ”

“แต่ว่า…”

“นี่คือคำสั่งของอายเจีย ! ”

ผู้คนในตระกูลสวี่คุกเข่าลงเบื้องหน้าของสวี่หยุนชิง ก้มศีรษะลงแนบพื้น จากนั้นก็เดินออกไป

โคมไฟส่องสว่างทั่วทั้งห้องพระ สวี่หยุนชิงหยิบแส้ขนขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มลงมือปัดฝุ่นพระพุทธรูป สวี่ซินเหยียนยื่นมือเข้าไปช่วย ทว่าก็ถูกนางปฏิเสธ

“พวกเจ้าจงไปรออยู่ที่ด้านนอก ข้างในนี้มีฝุ่นเยอะจนเกินไป…แม่ติดหนี้บุญคุณพระพุทธรูปองค์นี้ ดังนั้นแม่ต้องการตอบแทนพระองค์ด้วยตัวแม่เอง”

สวี่หยุนชิงเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ท่านตาของเจ้านับถือพระพุทธรูปองค์นี้มาโดยตลอด ซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้ถูกอันเชิญมาจากวัดป๋ายหม่า”

“ในรัชสมัยไท่เหอที่สี่สิบ งานชุมนุมวรรณกรรม ณ หลานถิงจี๋ อู๋ฉางเฟิงรัชทายาทแห่งราชวงศ์อู๋ได้ติดตามเหวินสิงโจวมาเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรม…”

สวี่หยุนชิงจุดธูปหนึ่งก้าน “แม่ได้พบพ่อของเจ้าที่หลานถิงจี๋ในตอนนั้นนั่นเอง”

“แม้ว่าเขาจะหน้าตาหล่อเหลา ทว่าร่างกายของเขากลับอ่อนแอ”

“หลังจากที่งานชุมนุมวรรณกรรมได้สิ้นสุดลงไปแล้ว เดิมทีเขาควรกลับไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น ทว่าเขาเลือกที่จะพำนักอยู่ต่อที่สำนักศึกษาจี้เซี่ย…เขาพำนักอยู่ที่นั่นเป็นเวลาครึ่งปี”

สวี่หยุนชิงเผลอยิ้มออกมาโดยมิรู้ตัว ราวกับว่าได้ย้อนกลับไปรำลึกถึงช่วงเวลาอันแสนงดงามเมื่อยังเยาว์วัยอีกครา

“ช่วงเวลานั้นแม่รู้สึกมีความสุขมากยิ่งนัก ทว่าเขาโง่เง่ายิ่งนักที่หลงคิดว่าแม่มิรู้ว่าเขามีสถานะเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์อู๋ แน่นอนว่าที่แม่ชอบเขามิใช่เพราะสถานะอันสูงส่ง…เพราะแม่เคยตายมาแล้วหนึ่งคราต่างหากเล่า แม่ถึงรู้ว่าเขาคือสามีของแม่”

“ความรู้สึกนั่นช่างมหัศจรรย์เสียจริง การที่ได้คบหาดูใจกับผู้ที่เป็นสามี…ในตอนนั้นแม่ก็ลังเลมิน้อย เพราะแม่รู้อยู่เต็มอกว่าจุดจบมันจะเป็นเช่นไร”

“ทว่าจุดจบก็ไม่ได้สวยงามจริง ๆ นั่นแหละ”

สวี่หยุนชิงจุดไฟเผาเงินกระดาษ แสงไฟสีแดงฉานสะท้อนเข้ากับใบหน้าของนาง

สีหน้าท่าทางของนางดูเซื่องซึมไปเล็กน้อย

นางนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “สภาพร่างกายของพ่อเจ้าย่ำแย่มากยิ่งนัก แม่บังคับขู่เข็ญให้เขาฝึกวรยุทธ์ แต่ผลปรากฏว่า…เจ้าและพ่อของเจ้ามีพรสวรรค์ที่คล้ายคลึงกัน พวกเจ้าล้วนมิได้เกิดมาเพื่อฝึกวรยุทธ์อย่างแท้จริง”

“เมื่อเจ้าเติบโตขึ้นมาเป็นอันธพาลแห่งหลินเจียง พ่อของเจ้ารู้สึกผิดหวังในตัวเจ้าเป็นอย่างมาก แต่หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นมากับเจ้า มันก็เลยทำให้เขาเห็นความหวังขึ้นมา ดังนั้นเขาเลยคิดวางแผนให้เจ้าเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋ เมื่อได้เห็นความสามารถของเจ้าจริง ๆ แล้ว เขาจึงคิดที่จะมอบราชวงศ์อู๋ให้แก่เจ้า ทว่าก็ดันเกิดเรื่องภูเขาหิมะถล่มขึ้นมาเสียก่อน ! ”

“แท้ที่จริงในตอนนั้นอาการป่วยของพ่อเจ้าเข้าขั้นวิกฤตแล้ว สุ่ยหยุนเจียนรู้อาการป่วยของเขาดี เขารู้ตั้งแต่พ่อของเจ้ายังเยาว์แล้วด้วยซ้ำ เขาบอกว่า…เป็นอาการหัวใจผิดปกติตั้งแต่กำเนิด ไร้ซึ่งหนทางรักษา สืบเนื่องจากสาเหตุนี้ไทเฮาซีจึงได้เฝ้ารอมาตลอด เฝ้ารอวันที่เขาจะตกตาย”

“หลังจากภูเขาหิมะถล่ม เจ้าได้ทำเรื่องที่ผิดมหันต์เรื่องหนึ่ง เจ้ามิควรกลับไปยังราชวงศ์หยู เจ้าควรกลับไปที่ราชวงศ์อู๋ เพราะที่นั่นคือราชวงศ์อู๋ที่พ่อของเจ้าได้มอบให้กับเจ้า”

“เจ้าสิ้นเปลืองเวลาอยู่ในราชวงศ์หยูตั้งสองปี หากพ่อของเจ้ามีชีวิตอยู่ต่ออีกสักสี่ถึงห้าปี…เขาจะกล้ำกลืนฝืนทนได้เยี่ยงไร เขาต้องการให้ทุกหย่อมหญ้าของราชวงศ์อู๋ตกไปอยู่ในมือของเจ้า…ต่อให้ตกไปอยู่ในมือของอู๋ต้าหลางเขาก็ยังมิอาจวางใจได้”

“เรื่องราวหลังจากนั้นเจ้าก็รู้หมดแล้ว ข้ามิได้มองว่าพ่อของเจ้าผิด ส่วนพ่อของเจ้าก็มิได้มองว่าเจ้าผิด ดังนั้นเจ้ามิควรรู้สึกผิดแต่อย่างใด เพราะนี่คือชะตาชีวิตของเขา”

ฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้างุด เขาตั้งใจฟังทุกคำเอ่ยของมารดา ทันใดนั้นความรู้สึกผิดก็ได้ถาโถมเข้ามาในใจ

เหตุใดตอนนั้นตนต้องหลบหนีด้วยกัน ?

นั่นคือการหลบหนีจากปัญหาอย่างเห็นแก่ตัว !

ถ้าหากในตอนนั้นเขารับช่วงต่อราชวงศ์อู๋ แล้วก่อสร้างราชวงศ์อู๋ด้วยสองมือของตนเอง เช่นนั้นราชวงศ์อู๋ก็คงแข็งแกร่งทั้งด้านการทหารและด้านเศรษฐกิจมากกว่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

มีบางเรื่องที่สุดท้ายแล้วก็เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกเสียใจ

ความเสียใจนี้มิอาจกลับไปแก้ไขอันใดได้อีก

“ตัวอักษรที่สลักอยู่ใต้วัดฟูจื่อนั้นเป็นฝีมือของพ่อเจ้า แม่เป็นคนแต่งมันขึ้นมาเอง ในตอนนั้นแม่ได้ใช้กวีบทนั้นทำให้พ่อของเจ้าหลงรักแม่จนหัวปักหัวปำ”

“กวีบทนั้นนอกจากพ่อของเจ้าแล้วก็มิมีผู้ใดรู้อีก คาดว่ามันน่าจะถูกซ่อนไว้ในหอเทียนจีชั้นสิบแปด พ่อของเจ้าเป็นคนซ่อนเอาไว้ เขาบอกว่ากวีบทนี้เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว”

“และนี่คือเรื่องราวของข้าและพ่อของเจ้า พ่อของเจ้าได้จากไปแล้ว ต่อไปนี้เจ้าจงดูแลชายอ้วนให้ดี”

“ข้าจะบอกเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้เจ้าอย่าได้เปิดเผยให้ผู้คนภายนอกรู้เป็นอันขาด ชายอ้วน…เขาเป็นหมัน ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันใด “เช่นนั้นที่จวนฟู่… ? ”

“ด้วยเหตุนี้เขาจึงมิยอมกลับไป และด้วยเหตุนี้ชายอ้วนถึงมิอาจเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ได้…การที่เขากลับไปในครานี้ เกรงว่าเขาจะลงมือสังหารคนอีกหลายคน”