บทที่ 658 หยอกจนหน้าแดง

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 658 หยอกจนหน้าแดง

โจวอู่นีหันไปมองเจียงเกิงและเจียงเหิงพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อโจวหงหมิ่น เป็นพี่สาวคนที่ห้าของเจ้าสาม”

หลินซิ่วก็แนะนำตัวเองเหมือนกัน

เจียงเหิงและเจียงเกิงจึงทำความรู้จักกับพวกหล่อน

หลินชิงเหอตักซุปให้หลานสาวสองคนและเอ่ย “ซุปนี่บำรุงร่างกายดี พวกเธอสองคนกินเยอะ ๆ หน่อยนะ”

“ค่ะ” โจวอู่นีและหลินซิ่วรับคำ

โจวชิงไป๋กินเร็วมาก จนสาวน้อยมี่มี่เอ่ย “ปะป๊าคะ ปะป๊ายังไม่ได้กินซุปเลย”

“กินแล้ว” โจวชิงไป๋บอก

“ถ้าอย่างนั้นปะป๊ารีบกลับมานะคะ” สาวน้อยมี่มี่บอกกลับ

โจวชิงไป๋ยิ้ม “งั้นหนูไม่ต้องรีบนอนนะ รอปะป๊ากลับมา” เขาหิ้วกล่องอาหารแล้วไปที่ร้านเกี๊ยว

เพราะสวี่เชิ่งเฉียงชอบกินอาหารที่บ้านมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด โจวชิงไป๋จึงบอกให้อาอี๋จ้าวแยกออกมาชุดหนึ่งก่อนยกกับข้าวขึ้นโต๊ะ

หลินชิงเหอรู้ว่าเขาเป็นน้าย่อมต้องเป็นห่วงหลาน เธอจึงไม่ได้ว่าอะไรและกินข้าวกับเด็ก ๆ ต่อ

“อาซิ่ว ถ้าเธอยังไม่มาเที่ยวเล่นที่นี่อีกนะ อีกหน่อยเจอกันตามถนนพี่คงจำเธอไม่ได้” โจวกุยหลายพูดกับน้อง

หลินซิ่วยิ้ม “ก็พี่สามไม่ยอมกลับไปนี่คะ”

“ใช่ว่าพี่ไม่ยอมไปซะที่ไหน พี่ยุ่งมาก ไม่ได้ว่างเลย” โจวกุยหลายบอก เขาลุกไปหยิบไวน์และเปิดไวน์ให้พวกเธอดื่ม

“ตอนฉันโทรคุยกับพี่เอ้อร์นีก็ได้ยินจากพี่เอ้อร์นีแล้วว่านายเปิดร้านไวน์กับพี่เขยรองนายด้วย ขายดีไหม?” โจวอู่นีเอ่ยยิ้ม ๆ

“เรื่อย ๆ น่ะครับ ไม่ถือว่าดีมาก” โจวกุยหลายเอ่ย

ที่จริงก็ไม่ถือว่าแย่ ตอนนี้เพิ่งเริ่มกิจการเท่านั้น ธุรกิจแบบนี้ต้องสั่งสมเวลา ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แค่ไม่ขาดทุนก็ถือว่ากำไรแล้ว

เพราะมีคนอื่น ๆ อยู่ด้วย เขาจึงรินให้ทุกคนครึ่งแก้ว หลินชิงเหอก็ดื่มไปนิดหน่อยเหมือนกัน

หลังจากกินเสร็จแล้ว พวกเขาก็มาดูทีวีดื่มชาคุยเล่นกันที่ห้องรับแขก

หลินชิงเหอถามเจียงเหิงว่าอยู่ปักกิ่งหลายวันได้เรียนรู้อะไรไปบ้าง

แน่นอนว่าเจียงเหิงได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมาก และด้วยเหตุที่อยู่ที่นี่แล้วได้เรียนรู้เยอะทั้งยังได้เห็นอะไรมาก เขาจึงรู้ว่าตัวเองต้องบริหารร้านขายชาที่เซี่ยงไฮ้ให้ดี

เพราะถ้าร้านขายชาที่เซี่ยงไฮ้ขายไม่ดี กิจการก็ต้องปิดตัวลง โดยที่ไม่มีผลกระทบอะไรต่อทางนี้เลยสักนิด

แต่ธุรกิจที่เซี่ยงไฮ้ถือเป็นรากฐานในชีวิตของเขา เพราะเขาพึ่งเงินเดือนที่นั่นในการเก็บเงินแต่งภรรยา

“ไม่ต้องกดดันตัวเองมากนะ ค่อยเป็นค่อยไป” หลินชิงเหอเอ่ยขึ้น

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เธอก็พอใจกับท่าทางของเจียงเหิงมาก จากนั้นเธอจึงเปลี่ยนไปถามโจวอู่นีเรื่องที่ไปสอนหนังสือในตัวอำเภอว่าเป็นอย่างไรบ้าง

“ได้เงินเดือนเท่าไหร่เหรอ?” หลินชิงเหอถาม

“รวมสวัสดิการโบนัสต่าง ๆ แล้ว แค่ 110 หยวนค่ะ” โจวอู่นีตอบอย่างเหนียมอาย

เงินเดือนเท่านี้ไม่ถือว่าสูงแน่นอน แต่ก็ไม่น้อยแล้ว อย่างน้อยสำหรับที่บ้านเกิด ผู้หญิงมีรายได้เท่านี้ทุกเดือนถือว่าดีมาก ๆ แล้ว

“พี่หมิ่นมาสอนหนังสือที่นี่ดีกว่าครับ ที่นี่เงินเดือนดีกว่า สวัสดิการก็เยี่ยม อีกหน่อยหาแฟนเป็นคนที่นี่ดีจะตาย ตอนผมบอกย่าแบบนี้ย่ายังบอกเลยว่าดี” โจวกุยหลายเอ่ยยิ้ม ๆ

โจวอู่นียิ้มและมองบนใส่เขา “ฉันกลัวว่าคนที่นี่จะไม่ชอบฉันน่ะสิ”

“เป็นคนเรียนจบมหาวิทยาลัย และเป็นครูมัธยมด้วย ต้องมาตรฐานสูงขนาดไหนถึงไม่ชอบพี่ครับ? มีแฟนเป็นระดับข้าราชการยังได้เลยครับ” โจวกุยหลายบอก

โจวอู่นีขำ “ระดับข้าราชการอะไรเล่า เราเป็นประชาชนธรรมดา หาคนธรรมดาทั่วไปก็พอแล้ว”

เจียงเกิงดูทีวีอยู่ข้าง ๆ โดยมีสาวน้อยมี่มี่เอนตัวนอนอยู่ในอ้อมอกเขา

เจียงเหิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งได้ยินแล้วหันมองโจวอู่หนี และนึกในใจว่าผู้หญิงคนนี้มีนิสัยเถรตรงดีจริง

อาอี๋จ้าวยกแอปเปิ้ลที่หั่นไว้แล้วออกมา หลินชิงเหอเรียกให้พวกเธอกิน แต่ในเรื่องของอาชีพที่ทำอยู่ หลินชิงเหอสนับสนุนให้โจวอู่นีมาทำงานที่ปักกิ่ง

ไม่ใช่แค่หล่อนคนเดียว ที่จริงเธอเคยเรียกโจวหยางมาด้วย แต่โจวหยางเป็นลูกชายคนโตของพี่ชายใหญ่โจวและพี่สะใภ้ใหญ่โจว พวกเขาอยากให้ลูกอยู่ใกล้ ๆ ก็ไม่ผิดอะไร แต่โจวอู่นีเป็นลูกสาว อีกหน่อยต้องแต่งงานออกจากครอบครัวอยู่ดี พี่น้องที่บ้านก็โตกันหมดแล้ว ไม่ต้องให้หล่อนคอยปรนนิบัติพ่อแม่อยู่ใกล้ ๆ อีก มีเวลาว่างค่อยกลับไปเยี่ยมก็พอ

“พี่หมิ่นสวยขนาดนี้ เป็นครูด้วย ดีทุกอย่าง ไม่ต้องกังวลเลยครับ คนอยากแต่งงานกับพี่มีเป็นขบวน” เจียงเกิงเห็นว่าทีวีฉายโฆษณาแล้วจึงหันมาพูดด้วย

“เธอมีคนดี ๆ แนะนำให้พี่หมิ่นสักคนไหมล่ะจ๊ะ” หลินชิงเหอพูดด้วยรอยยิ้ม

“ไกลสุดขอบฟ้า ใกล้เพียงตรงหน้า” เจียงเกิงมองลูกพี่ลูกน้องเขา “พี่ผมก็ไม่เลวนะครับ แม่ใหญ่ผมก็เร่งเร้าเขาอยู่ตลอด แต่ตอนนี้เขายังโสดอยู่เลย นิสัยดี เงินเดือนก็ไม่น้อย ใช้ได้เลยนะครับ”

พอเขาพูดแบบนี้ ทุกคนชะงักไป ก่อนจะมองเจียงเหิงและโจวอู่นี

โจวอู่นีและเจียงเหิงเพิ่งจะพบหน้ากัน ตอนแรกต่างฝ่ายต่างไม่มีความคิดแบบนั้น ต่อให้เจียงเหิงจะได้ยินโจวอู่นีพูดแบบนั้นแล้วรู้สึกว่าหล่อนเป็นคนเถรตรง ก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นกับหล่อนเลยสักนิด

ทั้งสองหน้าแดงขึ้นมาในทันทีที่ถูกหยอกแบบนี้

“ไอ้เด็กนี่เล่นไม่รู้เรื่อง แซวพี่ชายนายกับพี่หมิ่นนายแบบนี้ได้ยังไงกัน? ไม่อยากอยู่ดีกินดีแล้วรึไง” โจวกุยหลายแกล้งด่าด้วยรอยยิ้ม

“เสี่ยวเกิงเป็นคนพูดไม่คิดน่ะ อู่นีไม่ต้องไปสนใจเขา” หลินชิงเหอรีบพูดแก้สถานการณ์

เรื่องนี้จึงจบไป แต่ตอนจะนอนหลินชิงเหอก็เอาเรื่องนี้ไปคุยกับโจวชิงไป๋

ทำเป็นเล่นไป เธอชอบเจียงเหิงมากนะ ถึงตอนนี้ยังไม่ค่อยมีเงิน แต่เป็นคนมีความสามารถ อนาคตไม่แย่หรอก

“นี่ยังไม่รู้จักกันเลย” โจวชิงไป๋กล่าว

“จะไปยากอะไรคะ ให้เหม่ยลี่โทรไปถามก็จบ” หลินชิงเหอเอ่ย

“ให้เด็ก ๆ เขาดูกันเองเถอะ นี่เพิ่งจะถึงไหนกันเอง” โจวชิงไป๋กล่าว

หลินชิงเหอไม่พูดอะไรอีก แต่รู้สึกจริง ๆ ว่าถ้าเด็กสองคนนี้ไปด้วยกันได้คงไม่เลว

แน่นอน เธอไม่รู้ว่าเจียงเหิงกำลังว่าน้องชายตัวเองอยู่ “นายพูดแบบนี้ต่อหน้าคนเยอะขนาดนั้นได้ยังไง”

“ผมก็ช่วยพี่แย่งชิงน่ะสิ พี่ดูสิพี่หมิ่นดีขนาดไหน เรียนสูงกว่าพี่อีก หน้าตาก็ดี แถมนิสัยหล่อนดูก็รู้ว่าเป็นคนดูแลครอบครัว ไหนจะเรื่องหน้าที่การงานอีก พี่จะไปหาแบบนี้ได้จากที่ไหนอีก” เจียงเกิงกล่าว

เจียงเหิงทำหน้าตาเหนื่อยหน่าย เขาไม่พูดอะไร ได้แต่นอนหนุนมือตัวเองแล้วคิดตาม

ตอนแรกเขาไม่มีความคิดด้านนี้เลย แต่พอน้องชายตัวเองพูดแบบนี้ เขาก็รู้สึกขึ้นมาจริง ๆ ว่าถ้าโจวหงหมิ่นยอมคบกับตัวเขาก็คงจะดี…..

แต่ตอนนี้เขายังไม่มีอะไรเลย เขาคิดว่าอีกฝ่ายต้องไม่ชอบเขาแน่ ๆ

เทียบกับเขาแล้ว โจวอู่นีไม่ได้คิดมากขนาดนั้น นอกจากตอนแรกที่เขินนิดหน่อย หล่อนก็เห็นว่าเป็นเพียงคำล้อเล่นของเจียงเกิง

แต่ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น หล่อนก็ยังกระอักกระอ่วนนิดหน่อยเมื่อเจอกับเจียงเหิง

“มาพักร้อนกับน้าหลินเหรอครับ?” เจียงเหิงเป็นคนชวนคุยก่อน

“ค่ะ คุณมาฝึกงานที่นี่เหรอคะ?” โจวอู่นีพยักหน้า