ราชันเร้นลับ 948 : ความหมายของการมีอยู่

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ตามความคิดของออเดรย์ สภาพปัจจุบันของมิสเตอร์เวิร์ลมิได้เกิดจากอาการทางจิต และไม่ใกล้จะคลุ้มคลั่งแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะจุดประสงค์ในการดำรงชีวิตได้หายไปจน เกิดเป็นกำแพงขึ้นภายในจิตใจ หากต้องการช่วย ออเดรย์ต้องวางเป้าหมายระยะสั้นให้อีกฝ่าย ค่อยๆ ชี้นำให้ค้นหาความหมายของชีวิต ปัญหาทั้งหมดก็จะคลี่คลาย

ท่ามกลางความเงียบสงบ ออเดรย์ได้ยินเกอร์มัน·สแปร์โรว์จากอีกฟากของกำแพง

“ไม่”

อย่างที่คิด… ออเดรย์ไม่ประหลาดใจ ถามต่อ

“ถ้าอย่างนั้น เขาลองตามหาคำสั่งเสียของครอบครัวแล้วหรือยัง? ได้ลองขุดหลุมศพขึ้นมารึเปล่า? พยายามหาสาเหตุที่ทำให้หลับใหลอย่างยาวนานบ้างไหม?”

ด้านหลังกำแพง คล้ายกับร่างวิญญาณเลือนหายไปสองสามวินาที ปราศจากสุ้มเสียงโดยสมบูรณ์ จนกระทั่งมีเสียงแหบพร่ากล่าวขึ้น

“ไม่… ยัง…”

ยัง… หมายความว่า ในอนาคตอาจเกิดขึ้น? ออเดรย์รู้สึกผ่อนคลาย เพราะสัมผัสได้ชัดเจนว่าสภาพอารมณ์ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ห่างไกลจากคำว่าหดหู่และท้อแท้ ตอนนี้มีแรงจูงใจบางๆ อยู่แล้ว แต่ยังค่อนข้างสับสน

ฉวยโอกาสดังกล่าว ออเดรย์ใช้ปลอบโยนอีกครั้ง ผลลัพธ์ในคราวนี้ดีขึ้นมาก อย่างน้อยเธอก็คิดว่ามิสเตอร์เวิร์ลหลุดพ้นจากความหดหู่และความตกต่ำทางสภาพจิตใจ ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพปรกติ

ถัดมา ออเดรย์มิได้เอ่ยถึงวิธีการตามหาเบาะแสของครอบครัว ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายอาจเกิดความรู้สึกต่อต้าน ทำเพียงพยักหน้าแผ่วเบาในบรรยากาศที่มืดมิด

“อา… หมายความว่ายังมีอีกหลายสิ่งให้เขาได้ทำ ยังมีปัญหาอีกมากที่ต้องแก้ไข! บางที เขาอาจจะได้พบกับคนในตระกูลตัวเอง? หรือใครบางคนในครอบครัวยังไม่ตายและมีชีวิตต่อมาเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลบางประการ? การที่มีชีวิตคนเรามีความหมาย เพราะมันมีความเป็นไปได้ซ่อนอยู่เต็มไปหมด… ระหว่างค้นหา เขาไม่ควรละเลยสิ่งรอบข้าง ชีวิตคนเราไม่ได้มีเส้นทางเดียวสักหน่อย เหมือนกับถนนที่เต็มไปด้วยตรอกซอกซอย เพราะถ้าชีวิตมีเพียงเส้นทางเดียว มันคงจำเจไปหน่อย เขาต้องมองหาเส้นทางอื่นๆ ดูบ้าง เปิดโลกให้กว้างและค้นหาสิ่งใหม่ๆ”

ออเดรย์ที่พยายามพรั่งพรูคำศัพท์จากหนังสือ พลันฉุกคิดบางสิ่งได้กะทันหัน หรี่เสียงลง

“และนอกจากนั้น… อย่าสวมหน้ากากที่หนาเกินไป”

จะเป็นหน้ากากแผ่นบางๆ ใสๆ ก็ไม่ผิด เพราะในการชีวิตของมนุษย์ ไม่มีใครไม่ใส่หน้ากากเข้าหากัน ไม่มีใครชื่นชอบที่จะเปิดเผยมุมส่วนตัวและด้านมืดของตัวเอง นั่นเป็นทั้งการป้องกันตัว และการแสดงความเคารพต่อผู้อื่น… หากมิสเตอร์เวิร์ลมีเพื่อนเพิ่มขึ้น ชีวิตใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมา… ออเดรย์พึมพำคำเหล่านี้ในใจโดยไม่กล้าออกไป ด้วยเกรงว่าจะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม

แต่ผิดคาด เกอร์มัน·สแปร์โรว์เงียบงันอีกครั้ง คล้ายกับทวีความสับสน

ผ่านไปสองสามวินาที มันกล่าวด้วยเสียงไม่แหบ

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและการรักษา”

“ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะความแข็งแกร่งจากภายในตัวคุณต่างหาก” ออเดรย์ตอบขึงขัง

เธอใช้พลังปลอบโยนอีกครั้งในตอนสุดท้าย เพื่อรับประกันว่าสภาพจิตใจของมิสเตอร์เวิร์ลจะกลับไปใกล้เคียงปรกติ ไม่เกิดอาการแบบเดิมซ้ำ

จากนั้น เธอได้ยินเสียงเกอร์มัน·สแปร์โรว์

“วันนี้พอแค่นี้ก่อน ตกลงไหม?”

ออเดรย์ปรับน้ำเสียง รีบตอบกลับ

“แน่นอน นี่ไม่ใช่ปัญหาร้ายแรง ไว้คุณว่างเมื่อไรในสัปดาห์หน้า ดิฉันยินดีช่วยติดตามผล… นอกจากนั้น หากเป็นไปได้ คุณต้องกินยาเพื่อรักษาสภาพจิตใจ กินต่อเนื่องเป็นเวลาเจ็ดวัน ปรุงจากผงคาโมมายล์สิบกรัม ผงโรสแมรี่ห้ากรัม สารสกัดจะมะนาวสิบมิลลิลิตร… ในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ต้องงดของหวาน และพักผ่อนให้เพียงพอ”

ภายในห้องมืดและเงียบ หญิงสาวใช้มือยันกำแพง พยุงตัวลุกขึ้นเชื่องช้า

ทันใดนั้น เสียงของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทะลุผ่านกำแพง

“คิดค่าปรึกษาเท่าไร”

ออเดรย์พิงผนังด้วยมือหนึ่งข้าง เอียงคอเล็กน้อยและตอบ

“ช่วยรอจนกว่าดิฉันจะได้รับสูตรโอสถลำดับ 5 ของเส้นทางผู้ชม ถึงตอนนั้น อาจต้องรบกวนให้คุณช่วยตามหาวัตถุดิบ… แต่ถ้าสมาคมแปรจิตจัดหาวัตถุดิบมาให้… หืม…”

มุมปากหญิงสาวยกขึ้นเล็กน้อย

“ในตอนที่คุณกลับมายังเบ็คลันด์ อย่าลืมนำของขวัญพิเศษจากชนพื้นเมืองติดตัวมาด้วย”

โลงศพสุดหรูหราที่แบกโดยทาสแปดคน? ไคลน์อีกอยู่อีกฝั่งของกำแพง นึกอยากรำพันติดตลก ก่อนจะยืนพิงกำแพงและส่งมิสจัสติสกลับสู่โลกความจริง

เพียงโบกมือหนึ่งครั้ง ห้องดังกล่าวพลันเลือนหาย ชายหนุ่มส่งตัวเองกลับมายังตำแหน่งหัวโต๊ะของเดอะฟูล

เบื้องหน้าเป็นไพ่จักรพรรดิมืด ไพ่ทรราช และไพ่นักบวชสีชาดอยู่ทางฝั่งขวามือ ส่วนฝั่งซ้ายมียุบพองหิวโหยที่เลียวนาร์ด·มิเชลส่งกลับมาด้วยมิสผู้ส่งสาร ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์

“เราเป็นหนี้มิสผู้ส่งสารหนึ่งหมื่นเหรียญทองอีกแล้ว…” ไคลน์ถอนสายตากลับ ยกมือขวาลูบขมับ

เพื่อมิให้อินซ์·แซงวิลล์หลบหนีผ่านโลกวิญญาณ ชายหนุ่มนัดแนะกับไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ไว้ล่วงหน้าหลังจากวางแผนฆาตกรรม หน้าที่ของเธอคือการขับไล่ดวงวิญญาณทั้งหมดในโลกวิญญาณละแวกใกล้เคียงจัตุรัสคืนชีพ และค่าจ้างก็ยังเป็นหนึ่งหมื่นปอนด์เท่าเดิม

สิ่งที่ทำให้มันประหลาดใจก็คือ 0-08 ทรงพลังกว่าที่คิดไว้มาก ทั้งที่อินซ์·แซงวิลล์ถูกคำสาปแห่งเทพ และปากกาขนนกถูกราชาเทวทูตอาดัมสยบฤทธิ์เดชไปหลายส่วน แต่มันกลับยังสามารถ ‘ดึงดูด’ สิ่งมีชีวิตลึกลับและทรงพลังให้ทะลวงผ่านผนึกของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ได้ในคราวเดียว หากไม่เพราะดาลีย์·ซิโมเน่ฝืนสื่อวิญญาณและทำพันธสัญญา อินซ์·แซงวิลล์คงหลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย

แน่นอนว่า อินซ์·แซงวิลล์ที่ได้รับคำสาปแห่งเทพ ต่อให้หลบหนีไปได้สำเร็จ แต่ก็มีโอกาสสูงที่มันจะเผชิญหน้าเคราะห์กรรมอื่นๆ เช่นการถูกสิ่งมีชีวิตลึกลับโยนทิ้งไว้สักแห่งที่อันตรายกว่าเก่า หรือไม่ก็ลงมือทำร้ายมันตรงๆ แต่ว่าเรื่องเหล่านั้นอยู่นอกเหนือการควบคุมของไคลน์

เมื่อตระหนักถึงหนี้หนึ่งหมื่นเหรียญทอง ไคลน์ปวดหัวอีกครั้ง แต่สภาพจิตใจดีขึ้นมาก

หลังจากได้เห็น ‘รังไหม’ เหนือเมฆสีเทา รวมถึงบานประตูแห่งแสงบนขั้นบันไดแสง ชายหนุ่มถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างหนัก ความหวังทั้งหมดแตกสลายไม่มีชิ้นดี จากคนที่เคยมองโลกอย่างผู้ใหญ่ มีมุมมองชีวิตที่กว้างและเป็นกลาง ทุกสิ่งพังครืนลงในพริบตา กลายเป็นซอมบี้เดินดินไปพักใหญ่

โชคยังดี มันยังมีความต้องการจะเอาชีวิตรอด จึงติดต่อนักจิตบำบัดส่วนตัว มิสจัสติส และนัดแนะมารักษาอาการ

ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจพลางขบคิดเกี่ยวกับรังไหม พิจารณาจากฉากที่เห็น ข้อสมมติฐานแรกก็คือ

ตัวตนที่มีระดับสูงมาก หรือสมบัติปิดผนึกบางชนิด ใช้พลังบางอย่างเพื่อจับกลุ่มคนจำนวนมากจากดาวเคราะห์โลกมาในเวลาเดียวกัน โดยที่คนหนึ่งเคยประกอบพิธีกรรมเสริมดวงชะตา คนหนึ่งซื้อถาดเงินลึกลับ และคนหนึ่งถูกไวรัสลึกลับกัดกินโทรศัพท์…

จากนั้น ผู้เดินทางข้ามโลกเหล่านี้ถูกแขวนไว้บนประตูแห่งแสง รอคอยโอกาสหรือสถานการณ์บางอย่างที่จะถูกส่งไปยังโลกความจริง

จากการสังเกตของไคลน์ ประตูแห่งแสงไม่มีสติปัญญาเป็นของตัวเอง กลไกของมันเกิดขึ้นจากสัญชาตญาณดิบ กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากเงื่อนไขบรรลุ มันจะดวงวิญญาณภายในรังไหมให้ไปเกิดในร่างของใครบางคนบนโลกความจริง

พิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน ไคลน์เดาว่าเงื่อนไขน่าจะมีอยู่สองข้อ

ประการแรก ต้องไม่มีผู้เดินทางข้ามโลกอยู่ภายในโลก ณ ขณะนั้น หรือไม่ก็ผู้เดินทางข้ามโลกคนก่อนถูกตัดสินให้ล้มเหลวหรือตาย และประการที่สอง การ ‘เรียก’ จากวัตถุหรือพิธีกรรมบางชนิด ยกตัวอย่างเช่น ไคลน์·โมเร็ตติแอบประกอบพิธีกรรมที่เขียนไว้ในสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส

สำหรับเงื่อนไขอื่น เราไม่มีทางล่วงรู้ เว้นเสียแต่จะพบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจากไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์… เมื่อผนวกทุกสิ่งที่เราทราบเข้าด้วยกัน ทฤษฎีนี้น่าจะใกล้เคียงความจริงมากที่สุด… เพราะนั่นจะช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมจักรพรรดิโรซายล์ที่มาจากยุคสมัยเดียวกันเราบนโลกเก่า ถึงมีช่วงว่างระหว่างช่วงเวลามากกว่าสองสามร้อยปี… นั่นเพราะถึงเราจะเดินทางข้ามโลกมาพร้อมกัน แต่ก็ถูก ‘ปล่อย’ ในยุคสมัยที่แตกต่างกัน! ก่อนจะถูกดึงเข้าสู่โลกความจริง ไม่มีทางรู้เลยว่าเราหลับไปนานแค่ไหน… สรุปแล้ว เราเป็นน้องชายห้องข้างๆ เขา… ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยดวงตาส่องประกาย ก่อนจะกลับไปหม่นหมองอีกครั้ง

ข้อสันนิษฐานเหล่านี้เกิดจากการพิจารณาถึงเงื่อนไขของประตูแห่งแสง สถานการณ์ปัจจุบันของตน และเนื้อหาที่เคยอ่านในไดอารี

แน่นอน สิ่งนี้มิได้แปลว่าไม่มีความเป็นไปได้ทางอื่น เพียงแต่ในปัจจุบัน ไคลน์ยังไม่มีหลักฐานที่จะรองรับข้อสันนิษฐาน ยกตัวอย่างเช่น รังไหมอาจหมายถึงผู้เดินทางข้ามโลกเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ทฤษฎีนี้ขัดแย้งกับพลังในการคืนชีพของตน หรือการที่ร่างวิญญาณแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง

และทฤษฎีนี้ก็มิได้เปลี่ยนแปลงความจริงไปมากนัก ยังคงหมายความว่า มันออกจากโลกมาอย่างน้อยสองถึงสามร้อยปี หรือกระทั่งพันปี ต่อให้ค้นพบวิธีเดินทางกลับไป สิ่งที่เรียกว่าบ้านก็คงไม่หลงเหลืออีกแล้ว

พิจารณาจากช่องว่างของช่วงเวลา ความหดหู่ก่อตัวในใจอย่างเลี่ยงไม่ได้

และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้จิตใจไคลน์แตกสลายฉับพลัน เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ‘การกลับบ้าน’ คือเป้าหมายสูงสุดของมันเสมอมา

มิสจัสติสพูดถูก ยังเหลือคำถามและปัญหาให้สำรวจและค้นหาคำตอบ… ทำไมบนประตูแห่งแสงต้องมีรังไหมของผู้เดินทางข้ามโลกแขวนอยู่? เป้าหมายของมันคืออะไร? ใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้? เคยมีคนถูกดึงขึ้นมามากน้อยแค่ไหน? และคนอื่นไปไหนแล้ว? ราชันสวรรค์ไร้ขอบเขต? ไคลน์พยายามอย่างหนักที่บังคับตัวเองให้ขบคิด จะได้มีเป้าหมายใหม่ๆ ในอนาคต

น่าเสียดาย มันทำได้เพียงเข้าใกล้ประตูแห่งแสง แต่มิอาจสัมผัสโดยตรง มิอาจสำรวจหรือตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น การวิจัยจึงมาถึงทางตันเนื่องจากขาดข้อมูล

คงต้องตามหาเบาะแสจากโลกความจริงควบคู่กันไป… นอกจากนั้น เราสามารถขึ้นไปบนก้อนเมฆสีเทาและเห็นประตูแสงหลังจากกลายเป็นลำดับ 4 หมายความว่า ณ ลำดับ 2 ที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพอีกครั้ง เราอาจควบคุมประตูแห่งแสงบานนั้นและตรวจสอบข้อเท็จจริง?

หืม… ความคิดของเราได้รับผลกระทบจากเจ็ดแสงพิสุทธิ์ เทพธิดา และอาโรเดสจนเกือบเชื่อว่าเราคือเจ้าของมิติหมอกสีเทาตัวจริง เชื่อว่าเราคือผู้ปกครองสูงสุดแห่งโลกวิญญาณ… พิจารณาจากสถานการณ์ เราอาจเป็นแค่ ‘หนูทดลอง’ ที่ถูกสุ่มปล่อยลงไปอย่างส่งเดช เมื่อใดที่ล้มเหลว ผู้เดินทางข้ามโลกคนถัดไปก็จะปรากฏตัว… ไคลน์ครุ่นคิดพลางเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาว

อีกหนึ่งประเด็นที่มันอยากทราบก็คือ:

รังไหมทั้งสามที่ว่างเปล่า หนึ่งแทนตัวเอง สองแทนจักรพรรดิ และสามแทนใคร?

…………………………………