บทที่ 29 อุบาย
ถึงแม้การต่อสู้ที่เกาะพิสุทธิ์ชั่วกาลจะเป็นเพียงการต่อสู้เพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ที่คล้ายคลึงกันจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ความหมายของมันกลับลึกซึ้งเกินกว่าจะหยั่งถึงได้
นี่เป็นครั้งแรกที่มนุษย์กับชาวสมุทรไม่ได้ถูกบังคับให้ต้องตั้งรับเช่นเดิมเพื่อที่จะกำจัดขบวนอสูรทะเลออกไป พลังของพวกเขาไม่เพียงเพิ่มขึ้น แต่ตอนนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะเปลี่ยนจากการตั้งรับ เป็นฝ่ายโจมตีเสียเองอีกด้วย
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้ความเชื่อมั่นของทุกคนที่มีต่อซูเฉินเป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น
พวกเขาเริ่มที่จะเชื่อแล้วว่าสิ่งที่ชายหนุ่มรับปากไว้นั้นมีความเป็นไปได้อยู่จริง ๆ
สายลมที่พัดมาปะทะกับใบเรือนั้นพาทัพขนาดใหญ่ให้เคลื่อนไปอย่างมั่นใจมากขึ้น
พวกเขาเลือกที่จะเป็นฝ่ายจู่โจมก่อนและดักจับอสูรทะเลที่แข็งแกร่งมาเพื่อให้ซูเฉินทำการวิจัย
ต้องบอกว่าหุบเหวนั้นเป็นสถานที่เพาะพันธุ์สิ่งมีชีวิตอันทรงพลัง แม้ว่าอสูรทะเลส่วนมากที่อาศัยอยู่ในหุบเหวจะเพิ่งถูกกำจัดไป แต่อสูรทะเลอื่น ๆ ที่มาจากแหล่งอื่นก็มาแทนที่พวกมันและแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น ‘การออกล่า’ จึงมีเป้าหมายมากมายให้ผู้ล่าเลือกได้
จากที่ซูเฉินได้กล่าวไว้ เรียกได้ว่าหุบเหวได้กลายเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับเหล่าอสูรทะเลทั้งหลาย อย่างไรแล้วพวกมันก็แข็งแกร่งขึ้นได้เพียงแค่เข้ามาในบริเวณนี้เท่านั้น แล้วจะไม่ให้เรียกที่นี่ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไรกัน แต่ถึงอย่างนั้นหุบเหวก็มีขีดจำกัดอยู่เช่นกัน ซึ่งรวมถึงข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนอสูรทะเลที่จะเข้ามาที่นี่ด้วย หากจำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้นจนถึงจุดนั้นแล้ว อสูรทะเลที่พยายามจะเข้ามาหลังจากนั้นก็จะเข้ามาได้ยากยิ่งขึ้น
หากมีอสูรทะเลมาที่นี่เพิ่มขึ้น พวกที่อาศัยอยู่ก่อนแล้วก็อาจรวมตัวกันและโจมตีผู้มาใหม่ก็ได้
การที่มันมีตัวตนอยู่มานานนั้นทำให้หุบเหวพัฒนากฎต่าง ๆ ขึ้นมาด้วย
ดุลยภาพของหุบเหวทำให้มันเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับทัพเรือ พวกเขาไม่ต้องกังวลถึงเรื่องจำนวนของอสูรทะเลเลย
เมื่อกาลเวลาผ่านไป สมาชิกของทัพเรือก็เริ่มคุ้นชินกับสถานที่และสร้างกฎง่าย ๆ ขึ้นจำนวนหนึ่งสำหรับใช้เมื่ออสูรทะเลปรากฏตัวขึ้น
เมื่อมีหลักการต่าง ๆ เกิดขึ้น ผู้ที่รับหน้าที่ในการจับตัวอสูรทะเลก็สามารถใช้พวกมันเพื่อประโยชน์สูงสุดของตัวเอง
เมื่อเป็นเช่นนั้น ทัพเรือจึงสามารถใช้กำลังคนอย่างน้อยที่สุด รวมถึงพยายามบรรลุเป้าหมายโดยมีความเสี่ยงน้อยที่สุดด้วย
ทหารกลุ่มหนึ่งได้รับมอบหมายให้ลาดตระเวนน่านน้ำในวันนี้ตามปกติ
เรือรบแยกออกมาจำนวนหกลำด้วยกัน หนึ่งในนั้นเป็นเรือจากนิกายไร้ขอบเขต ส่วนเรืออีกสองลำนั้นมาจากกลุ่มธารามืดและอีกสามลำเป็นเรือของทัพสยบสมุทร ฝ่ายชาวสมุทรนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เรือ แต่พวกเขาก็มีทหารม้าพะยูนเหล็กมาด้วย
กองทัพในลักษณะนี้เกิดขึ้นเป็นปกติในการล่าอสูร และพวกเขาก็แข็งแกร่งพอที่จะจัดการกับจักรพรรดิอสูรส่วนมากได้
เมื่อไม่มีจักรพรรดิอสูรทะเล กองทหารเหล่านี้ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการต่อกรกับอสูรทะเลที่ปรากฏในตอนนี้
หลินเซียวยืนอยู่ที่หัวเรือด้วยท่าทางมุ่งมั่น
“หัวหน้าเรือหยวนเฟิงบอกว่ามีหมาป่าทะเลหกปีกอยู่ข้างหน้า” ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตคนหนึ่งกล่าวกับหลินเซียว
“เจ้าอสูรกายหรือ ?” หลินเซียวขมวดคิ้ว “มันอ่อนแอเกินไป จงไปบอกพวกนั้นว่าไม่ต้องไปรบกวนมันและหาเป้าหมายอื่นแทน กฎที่บอกว่าเราสามารถล่าได้เพียงสามตัวต่อวันนี่น่ารำคาญชะมัด ทำไมต้องมีกฎบ้า ๆ พวกนี้ขึ้นมาด้วยนะ”
การที่เหล่าทหารสามารถล่าอสูรทะเลระดับสูงหรือเหนือกว่าอสูรกายได้ไม่เกินสามตนต่อวันนั้นเป็นกฎที่สร้างขึ้นเพื่อความปลอดภัยของพวกเขาเอง
แต่ถึงอย่างนั้น คำสั่งจากเบื้องบนก็มักจะขัดแย้งกับความปรารถนาของผู้อยู่เบื้องล่างบ่อย ๆ อยู่แล้ว สำหรับเหล่าทหารที่กระหายในการล่า ข้อห้ามที่ว่าสามารถล่าอสูรกายได้เพียงวันละสามตนนั้นยากเหลือเกินที่จะรับได้ ในฐานะทหารแล้ว พวกเขาไม่สามารถขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาได้ แต่พวกเขาจะทำตามคำสั่งอย่างไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในเมื่อสามารถล่าอสูรกายได้เพียงสามตน ถ้าเช่นนั้นแล้วทำไมไม่หาเป้าหมายที่แข็งแกร่งกว่าเพื่อการล่าล่ะ
การไม่สนใจอสูรทะเลที่ไม่แข็งแกร่งมากพอได้กลายเป็นความเคยชินของเหล่าทหารผู้ล่าไปเสียแล้ว
ในฐานะหนึ่งในข้ารับใช้ดาบทั้งสิบสองที่เคยติดตามซูเฉินมาก่อนนั้น หลินเซียวเป็นผู้บังคับบัญชาของกลุ่มที่แข็งแกร่งพอสมควรทีเดียว อย่างไรแล้วตัวเขาเองก็ยังเป็นถึงผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณอีกด้วย
ถูกต้องแล้ว… เขาบรรลุด่านผลาญจิตวิญญาณได้สำเร็จแล้ว !
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตต่างก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดดและบรรลุขั้นพลังกันเป็นว่าเล่น
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ติดตามซูเฉินมานานที่สุด ทักษะที่ติดตัวเขามาแต่แรกจึงค่อนข้างดีทีเดียว และทรัพยากรพิเศษจากนิหายไร้ขอบเขตก็ยังทำให้เขาก้าวผ่านจากด่านสู่พิสดารได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย เขาไม่เพียงแค่สามารถสร้างแท่นบงกชได้อย่างว่องไว แต่หลินเซียวยังโชคดีมากพอที่บรรลุสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณได้สำเร็จด้วย ซึ่งนั่นทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณคนแรก ๆ ในนิกายไร้ขอบเขต
แม้ว่าศิษย์กลุ่มนี้จะมีจำนวนเพียงน้อยนิด แต่พวกเขาก็ค่อย ๆ กลายมาเป็นกำลังสำคัญของทัพเรือ อีกทั้งหลายคนก็ยังได้รับการแต่งตัวให้เป็นหัวหน้าในการออกล่าอีกด้วย
เมื่อได้ยินคำสั่งของหลินเซียว กองเรือก็พากันเลี่ยงเจ้าอสูรและมุ่งหน้าไปในทิศทางอื่นแทน
“พวกนั้นไม่ต้องการเจ้าอสูรกายด้วยซ้ำหรือ ? ชักจะไปกันใหญ่แล้วสิ” เจ้าหน้าที่เผ่ามนุษย์คนหนึ่งที่ยืนอยู่บนเรือหยวนเฟิงพึมพำขึ้น
“เจ้าจะทำอะไรได้ล่ะ พวกนั้นมาจากนิกายไร้ขอบเขต ยิ่งคนพวกนั้นแข็งแกร่งมากขึ้น ความต้องการของพวกเขาก็มากขึ้นตามไปด้วย” หนึ่งในเจ้าหน้าที่จากกลุ่มธารามืดกล่าวตอบ
“ถ้าพวกนั้นมีความสามารถจริง ๆ ก็ควรพุ่งเป้าไปยังจักรพรรดิอสูรสิ” ใครบางคนกล่าวเสริม
“พวกเขาก็เคยทำนี่”
“สักสองตัวล่ะจะเป็นอย่างไร”
“ข้าไหวนะ”
“ไปให้พ้นซะ อย่าไปยั่วโมโหพวกนั้นมากนักเลย”
ขณะที่พวกเขาพูดคุยหยอกล้อกันไปมาอยู่นั้น คำพูดของทุกคนก็ไม่หลงเหลือความเหมาะสมอีกต่อไป
หลายคนจากเพลิงทมิฬเป็นโจรสลัด จอมโจร และอันธพาล ดังนั้นคนเหล่านี้จึงพูดจาอย่างไม่มีสัมมาคารวะเท่าไรนัก จึงไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะต่อว่ากันเช่นนี้
หากคนพวกนี้ไม่บ่น พวกเขาก็คงไม่ใช่คนจากเพลิงทมิฬ
ถึงจะบ่นอุบอิบกันไม่หยุด แต่ก็ไม่มีใครคิดจะทำอะไร เพราะอย่างไรแล้วโชคชะตาของพวกเขาก็เชื่อมกันทั้งหมดแล้วในขณะนี้ และการทำอันตรายต่อผู้อื่นก็เท่ากับเป็นอันตรายต่อตัวเองไปด้วย ทุกคนต่างก็ต้องกดดันเพราะอสูรทะเลพวกนี้กันทั้งนั้น ดังนั้นการทรยศกันเองจึงไม่มีประโยชน์ใด ๆ
แต่ถึงอย่างนั้น ข้อยกเว้นก็คือข้อยกเว้น… เพราะพวกเขาก็จะขัดต่อตรรกะแบบเดิม ๆ อยู่ดี
ขณะที่ทุกคนกำลังหัวเราะและพูดคุยกันนั้น ไม่มีใครสังเกตเลยว่าทหารหนุ่มกลุ่มธารามืดกำลังเข้าประชิดเรือ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังมองไกลออกไป แต่อันที่จริงชายหนุ่มกำลังเทยาสีดำลงไปในน้ำ
ยาที่ถูกหยดลงไปในน้ำพลันจางหายไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ
เขาเพิ่งจะเทยานั้นจนหมดและกำลังจะเก็บขวดไป แต่ทันใดนั้นมือของใครบางคนก็ตบเข้าที่หลัง “ซ่างหลี่ เจ้าทำอะไรน่ะ มายืนเหม่ออะไรอยู่ตรงนี้”
ชายหนุ่มยังคงไม่แสดงท่าทีใดขณะที่ลดมือที่ถือขวดยาลงช้า ๆ ก่อนจะหันหน้ามาและกล่าวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่มีอะไรหรอก ข้าก็แค่มองดูท้องทะเลน่ะ”
พลทหารผงะ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ออกมาอยู่กลางทะเลทุกวันนี่ยังไม่มากพออีกหรือไรกัน เจ้าเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าอยากจะอ้วกทุกครั้งที่มองทะเล”
ซ่างหลี่ ยิ้มเล็กน้อยและตอบกลับไป “วันนี้ข้าอารมณ์ดีน่ะ ก็ไม่แปลกหรอกที่มุมมองข้าจะต่างไป”
นายทหารโอบไหล่ซ่างหลี่ “อย่าทำเป็นผู้ดีนักเลย เจ้ากับข้าไม่ใช่คนแบบนั้นเสียหน่อย มาเถอะ พวกเรากำลังจะดื่มกันสักหน่อย”
ซ่างหลี่ถูกลากตัวไป เขาจึงจำเป็นต้องปล่อยมือ และยาทั้งหมดที่เหลืออยู่ในขวดก็ร่วงลงไปในทะเล
ซ่างหลี่เหลือบมองไปที่ด้านหลังด้วยความรู้สึกผิดและกล่าวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “เราไม่ควรดื่มระหว่างทำหน้าที่ไม่ใช่หรือ”
“ใครจะไปสนกฎกันเล่า ซ่างหลี่ วันนี้อะไรเข้าสิงเจ้า เจ้าสนใจกฎตั้งแต่เมื่อไรกัน ? พออสูรทะเลโผล่มา กฎพวกนี้ก็ไม่ได้ช่วยชีวิตเจ้าหรือข้าสักหน่อย มาเถอะ มาดื่มกัน !”
ซ่างหลี่เดินไปตามแรงดึงด้วยความไม่เต็มใจ
ไม่มีใครสังเกตเห็นยาที่จางหายในน้ำทะเลอย่างรวดเร็วเลย
และทันใดนั้นน้ำที่นิ่งสนิทก็พลันแปรปรวน
อสูรทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนมุ่งหน้าเข้ามาทางพวกเขาราวกับว่ามีบางอย่างที่กำลังดึงดูดความสนใจของพวกมันอยู่ เมื่อมาถึง อสูรกายก็เริ่มไล่กวดทัพเรือทันที
ในตอนแรกนั้นยังมีเพียงอสูรตัวเล็ก ๆ ปรากฏให้เห็น ทว่าในไม่ช้าอสูรทะเลที่ขนาดใหญ่กว่าก็เริ่มเข้ามาใกล้และรวมตัวกันมากมาย
อสูรทะเลจำนวนมหาศาลที่มารวมตัวกัน ณ จุดเดียวนั้นทำให้ผิวน้ำทะเลเกิดเป็นระลอกคลื่นมากผิดปกติ
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตที่มีหน้าที่สังเกตการณ์พลังร้องขึ้น
“ทางโน้นหรือ ?” หลินเซียวร้องถาม
“ข้างใต้เรือพวกเรา !”
“หือ !!” หลินเซียวตกใจ
เขาพุ่งตัวขึ้นไปในอากาศและเริ่มเคลื่อนตำหนักเซียนทันที ขณะที่พลังจิตของเขาแผ่กระจายออกไป ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติจึงร้องขึ้น “ท่าไม่ดีแน่ ! มีอสูรทะเลกลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่ข้างใต้เราในตอนนี้ ไปบอกทุกคนให้ถอยทัพเดี๋ยวนี้ ! ถอยทัพออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ !!!”
หวูดดด !!!
เสียงเตือนให้ถอยทัพดังก้องขึ้น
“หือ เกิดอะไรขึ้นน่ะ เรายังไม่ได้อะไรเลยนะ ทำไมจะไปกันแล้วล่ะ” ทุกคนต่างประหลาดใจ
มีเพียงซ่างหลี่เท่านั้นที่ยืนอยู่บนเรือหยวนเฟิงด้วยท่าทางน่าสงสัย
หากไม่ใช่เพราะไอ้เวรนั่น เขาก็คงไม่ต้องใช้ยาทั้งหมดนั่นหรอก ถ้าเช่นนั้นแล้วอสูรทะเลก็คงไม่แห่กันมาเร็วขนาดนี้ และการล่าก็ไปต่อได้ ถึงตอนนั้นก็คงถอยทัพไม่ได้แล้ว
ส่วนในตอนนี้… ทุกอย่างคงต้องขึ้นอยู่กับสวรรค์เสียแล้วละ
เขามองไปบนผิวน้ำด้วยสายตาเยือกเย็นพร้อมกับนับถอยหลังอยู่ในใจ สิบ เก้า แปด เจ็ด……
เมื่อเสียงเตือนให้ถอยทัพดังขึ้น ทุกคนก็กระโดดลงไปในน้ำและพากันกลับลำเรือเพื่อออกไปจากบริเวณนี้
ในขณะเดียวกันนั้น อสูรทะเลจำนวนมากที่รวมตัวกันอยู่ข้างใต้ก็เริ่มโผล่พ้นน้ำขึ้นมา
ขณะที่พวกมันเริ่มปรากฏกายขึ้นตามผิวน้ำ กระแสพลังต้นกำเนิดที่หลั่งไหลก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้นด้วย เหล่าผู้นำของเรือทุกลำเริ่มจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นใต้น้ำ
“เปิดใช้งานเกราะป้องกันเลย !”
“กลับลำเรือ !”
“กางใบด้านหลังสิ !”
“ผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารขึ้นไปเตรียมตัวเหาะขึ้นในอากาศ !”
“ถอยทัพ ! ถอยทัพเต็มกำลังไปเลย !”
เสียงคำสั่งดังก้องไปทั่วทุกหนแห่ง
หก ห้า สี่ สาม……
ซ่างหลี่ยังคงนับอยู่อย่างเงียบ ๆ และท่าทางของเขาก็ดูตื่นตัวทีเดียว ทว่าในความเป็นจริงแล้วชายหนุ่มกลับไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ เลย
“ใช้หินพลังต้นกำเนิดด้วย !”
“ทุกคนเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ !”
“เร็วเข้า ! เร็วเข้าสิ ! ยังมีอสูรทะเลโผล่มาจากข้างใต้นั่นอีก”
“เตรียมรับแรงปะทะ !”
“……สอง……หนึ่ง……”
ซ่างหลี่พึมพำ
เมื่อนับจนถึงเลขสุดท้าย แมงกะพรุนขนาดยักษ์ก็พุ่งขึ้นมาเหนือน้ำและปะทะเข้ากับเรือที่เพิ่งจะกลับลำได้สำเร็จ
แรงปะทะนั้นแทบจะยกเรือทั้งลำให้ลอยขึ้นในอากาศได้เลยทีเดียว
ต้องขอบคุณที่ฝ่ายเรือหยวนเฟิงไม่ได้นิ่งเฉย ในเวลาเดียวกันนั้น ปีกคู่ยักษ์ที่ทำด้วยเหล็กกล้าและไม้ก็กางออกจากลำเรือทำให้มันร่อนไปในอากาศได้ ทั้งลำเรือนั้นส่องประกายสีทองจากเกราะป้องกันอันแข็งแกร่งที่ทำให้แรงโจมตีจากอสูรร้ายไม่สามารถทำอะไรเรือลำนั้นได้มากนัก
“ฟ่อ !”
แมงกะพรุนยักษ์ขู่ฟ่อด้วยความเดือดดาล หนวดจำนวนนับไม่ถ้วนของมันกวัดแกว่งออกมาเพื่อคว้าเรือที่ลอยอยู่เอาไว้
เรือนั้นสามารถหลบหนวดขนาดมหึมาได้หลายครั้ง แต่ขณะเดียวกันเกราะป้องกันที่รับแรงกระแทกก็ส่งแสงกะพริบอย่างต่อเนื่อง
“ตอบโต้มัน !” แม่ทัพร้องขึ้นจากในเรือ
กลุ่มธารามืดเองก็โจมตีด้วยในเวลาเดียวกัน พวกเขาปล่อยลำแสงพลังต้นกำเนิดออกไปปะทะเข้ากับร่างของแมงกะพรุนอย่างแรง
ขณะเดียวกันนั้นอสูรทะเลก็ยังพากันพุ่งตัวขึ้นเหนือน้ำอีกจำนวนมากด้วยเช่นกัน
เสียงคำรามและเสียงร้อยโหยหวนดังก้องไปทั่วพร้อมกับที่ผืนน้ำนั้นก็แปรปรวนไปหมด รังสีพลังที่เต็มไปด้วยแรงกดดันแผ่ออกมาจากใต้ผืนน้ำและทำให้เหล่าทหารนักล่าต่างต้องต่อสู้อย่างสิ้นหวัง