ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 42 ตอนจบ (ต้น)

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

หลี่ชุ่ยฮวาที่หน่วยตาบวมแดงเอ่ยขึ้นว่า “ชิงเอ๋อร์เอ๋ย แม่ยังคงยืนยันประโยคนั้น เจ้ากลับไปขอคืนดีกับท่านปู่เจ้าเถอะ พูดจาน่าฟัง ขอร้องให้เขายอมให้เจ้ากลับไป ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าแม่ทำให้เจ้าเดือดร้อน แค่เอ่ยว่าเจ้าถึงวัยที่จะต้องแต่งงานมีครอบครัวแล้ว อยู่กับแม่ก็ไม่เหมาะสม มีแม่คอยสร้างความเดือดร้อนให้เจ้า จะมีบุตรสาวตระกูลสูงส่งร่ำรวยที่ใดจะกล้าแต่งให้เจ้า?” 

 

 

“ท่านแม่ ท่านพูดอันใดน่ะ ในเมื่อบุตรชายยอมรับท่านแล้ว ก็ต้องดูแลท่านยามแก่เฒ่า จนทอดทิ้งไม่สนใจท่านได้อย่างไร คำพูดเช่นนี้อย่าเอ่ยอีกในภายหลัง สำหรับเรื่องเรือนใหญ่นั้น รอบุตรชายมีความดีความชอบทางการทหารในภายหลัง และได้รับรางวัล จะต้องมีแน่นอน” 

 

 

“ชิงเอ๋อร์ เจ้า…” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว 

 

 

เมิ่งชิงยกมือขึ้น ห้ามไม่ให้นางเอ่ยต่อในส่วนท้าย “ท่านแม่ไม่ต้องพูดอันใดแล้ว หากท่านปู่ไม่รับปากว่าให้ข้ายอมรับท่าน ข้าก็จะไม่กลับไป” 

 

 

วันรุ่งขึ้น เมิ่งชิงยังคงไปที่ค่ายทหารเช่นเดิม เพียงแต่ไม่ค่อยสดชื่นเท่าใดนัก ขุนพลหวังและคนอื่นๆเห็นแล้ว ก็มองสบตากันไปมา และไม่กล้าถามอะไรมากมาย 

 

 

เป็นอีกครั้งที่ฝึกซ้อมอย่างหฤโหด พี่น้องตระกูลหวังเหนื่อยจนนอนแผ่นิ่งอยู่บนพื้น พูดอะไรก็ลุกไม่ขึ้น โวยวายอย่างอ่อนแรงว่า “เมิ่งชิง เจ้ามีความสามารถก็ฆ่าพวกเราสิ ฆ่าพวกเราเลย…” 

 

 

เมิ่งชิงไม่ได้สนใจพวกเขา หมุนกายเดินกลับไปยังกระโจมทหารของตัวเอง 

 

 

“พรุ่งนี้เพิ่มเวลาฝึกซ้อมอีกหนึ่งชั่วยาม!” 

 

 

กระทั่งแรงส่งเสียงร้องด้วยความเศร้าโศกของสองพี่น้องตระกูลหวังก็ไม่มีแล้ว 

 

 

คลื่นลมสงบติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน บ่าวรับใช้ภายในเรือนก็ไม่ได้น้อยลง หลี่ชุ่ยฮวาก็ไม่ได้ร่ำไห้ปรับทุกข์เรื่องเงินกับเขาเช่นกัน เมิ่งชิงใจสงบเล็กน้อย คิดคำนวณว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่จ่ายเบี้ยหวัดแล้ว 

 

 

ในวันนี้ เมื่อกลับมาจากค่ายทหาร ก็เห็นว่าประตูบานใหญ่ของเรือนปิดสนิท ด้านหน้ามีบ่าวรับใช้ยืนอยู่เพียงคนเดียว เมื่อเห็นเขากลับมาแล้ว ก็รีบก้าวเข้ามาต้อนรับ “คุณชาย ฮูหยินซื้อเรือนหลังใหม่ และย้ายเข้าไปแล้ว จึงสั่งให้ข้ารอท่านกลับมาและนำท่านไปที่นั่นขอรับ!” 

 

 

ซื้อเรือนใหม่แล้ว ท่านแม่เอาเงินมาจากที่ใดกัน เมิ่งชิงสั่งให้บ่าวรับใช้นำทางเขาไปโดยเร็วอย่างกระวนกระวายใจ 

 

 

แม้ว่าบ่าวรับใช้จะวิ่งเร็ว แต่ก็ยังต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยามถึงจะไปถึงหน้าคฤหาสน์หลังใหม่ มองจากด้านนอก คฤหาสน์หลังใหม่นี้กว้างใหญ่ไพศาล สูงตระหง่านโดดเด่นทันสมัย ไม่ใช่ว่าคิดอยากซื้อก็จะซื้อได้ 

 

 

เมิ่งชิงหน้าขรึมลงจากม้า โยนบังเหียนให้บ่าวรับใช้ ก้าวเข้าไปในตัวเรือนอย่างรวดเร็ว 

 

 

สาวใช้ที่ทำความสะอาดภายในเรือน และบ่าวรับใช้เห็นเขาเข้ามา ก็พากันทำความเคารพ 

 

 

“ท่านแม่ข้าอยู่ที่ใด” 

 

 

เมิ่งชิงถามเสียงเข้ม 

 

 

“ฮูหยินอยู่ในเรือนของนางเจ้าค่ะ” 

 

 

สาวใช้นางหนึ่งเอ่ยตอบ 

 

 

“พาข้าไป!” 

 

 

ภายในห้องพื้นที่กว้างและสว่าง หลี่ชุ่ยฮวาเอนตัวอ่อนปวกเปียกอยู่บนเตียง มีสาวใช้สองนางกำลังทุบขาให้นางอย่างเบามือ 

 

 

เมิ่งชิงเข้าประตูมา เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ เท้าก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วค่อยเดินเข้ามาในห้อง และสั่งว่า “พวกเจ้าทั้งหมด ออกไปเสีย!” 

 

 

น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ เจือไปด้วยเพลิงโทสะ 

 

 

สาวใช้สองนางตกใจตัวสั่น รีบลุกขึ้นยืน ก้มศีรษะเดินออกไป 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาก็รีบลุกขึ้นมานั่งตัวตรง ลงมาจากเตียงนุ่ม ถามยิ้มๆว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้วหรือ” 

 

 

“ท่านแม่ จวนหลังนี้มันอย่างไรกันแน่ ท่านนำเงินมาจากที่ใด” 

 

 

เมิ่งชิงเอ่ยถาม 

 

 

“เจ้าถามเรื่องนี้เอง เจ้านั่งก่อนเถอะ แม่จะค่อยๆ เล่าให้เจ้าฟัง” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาก้าวขึ้นไปดึงเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ หลังจากรินน้ำชาให้เขาถ้วยหนึ่งด้วยตัวเองแล้ว ก็เอ่ยยิ้มๆ “จวนหลังนี้น่ะ ไม่ใช่แม่ซื้อ เป็นเศรษฐีหวังผู้นั้นต่างหากที่มอบให้กับพวกเรา แม่คิดว่าแม่ได้รับความทุกข์ทรมานในจวนพวกเขามานานหลายปี ไม่เอาก็เสียเปล่า จึงรับเอาไว้” 

 

 

“แล้วอย่างไรต่อหรือ” 

 

 

เมิ่งชิงถาม จ้องสีหน้านางเขม็ง 

 

 

ในเมื่อนำสัญญาซื้อขายตัวกลับมาแล้ว เช่นนั้นมารดาของตัวเองก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขาตระกูลหวังอีก เศรษฐีหวังถึงกับมอบเรือนที่ดีขนาดนี้ให้กับนาง ถ้ากล่าวว่าเขาเกิดมีมโนธรรมขึ้นมาในใจ ตีให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวานัยน์ตาหลบวูบ ยื่นมือออกไปประคองปิ่นทองที่เพิ่งจะซื้อบนศีรษะตัวเอง เอ่ยเสียงเบาว่า “เขาพูดว่าต้องการให้เจ้าคิดหาวิธีปล่อยหลานชายสองคนนั้นของเขาออกมาจากค่ายทหาร!” 

 

 

เพล้ง! 

 

 

เมิ่งชิงขว้างถ้วยชาลงกับพื้นอย่างไร 

 

 

กรี๊ด! 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาสะดุ้งตกใจส่งเสียงร้องออกมา 

 

 

สาวใช้ที่ยืนรอปรนนิบัติอยู่นอกห้องได้ยินเสียงแล้วก็รีบเข้ามาทันที 

 

 

“ใครกล้าเขามา ข้าจะหักขานางผู้นั้น!” 

 

 

เมิ่งชิงเอ่ยเสียงเย็น 

 

 

เหล่าสาวใช้หยุดเท้า ไม่กล้าเดินขึ้นหน้าอีก 

 

 

เมิ่งชิงมองหลี่ชุ่ยฮวา “ท่านแม่ ท่านต้องรู้ว่ากฎระเบียบทางการทหารนั้นมีความเข้มงวดเป็นอย่างมาก ทหารทุกนายที่เข้าไปในค่ายทหาร ไม่มีกรณีพิเศษ ไม่สามารถไปจากค่ายทหารได้ อีกประการหนึ่ง หลานชายของเศรษฐีหวังสองคนนั้นเข้าไปในค่ายทหารเพราะเหตุใด ท่านก็ทราบ เหตุใดท่านถึงได้เลอะเลือนรับคฤหาสน์ที่พวกเขามอบให้เอาไว้เช่นนี้!” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาตกใจหน้าซีดเผือด ร่างกายอ่อนแรง ปากสั่นระริกอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ชี้แจงออกมา “ชิง ชิงเอ๋อร์ ข้าก็คิดเผื่อเจ้า ฐานะของเจ้าในยามนี้ พวกเราพักอาศัยอยู่ในเรือนขนาดเล็กเช่นนั้น จะถูกผู้คนหัวเราะเยาะเอาได้ อีกประการหนึ่ง เจ้าก็มีฐานะเป็นถึงรองแม่ทัพ อยากคิดหาวิธีปล่อยคนสองคนออกมายังจะไม่ง่ายหรือ” 

 

 

“ท่านแม่ ท่านคิดว่าบุตรชายของท่านมีความสามารถมากมายเช่นนั้นจริงๆหรือ เมื่อเข้าไปในกองทัพก็ได้รับตำแหน่งรองแม่ทัพเลยหรือ นั่นเป็นเพราะฮ่องเต้เห็นแก่หน้าของท่านพี่โยวเอ๋อร์และซื่อจื่อถึงได้ทำลายกฎเกณฑ์ให้ข้าได้เข้ารับตำแหน่งรองแม่ทัพนี้ ยามนี้ในท้องพระโรงมีนัยน์ตาหลายคู่จับจ้องอยู่ คิดอยากให้ข้ากระทำความผิด ดึงข้าลงมาจากตำแหน่งนี้ ท่านกลับดีเสียกว่า ถึงกับนึกว่าบุตรชายของท่านสามารถใช้มือเดียวปิดผืนฟ้าในค่ายทหารได้” 

 

 

“อย่าเอ่ยถึงนังเด็กสมควรตายนั้นต่อหน้าข้า!” 

 

 

เสียงของเขาเพิ่งสิ้นสุดลง หลี่ชุ่ยฮวาก็วิปลาสขึ้นมาทันที นัยน์ตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา อารมณ์ความรู้สึกรุนแรงผิดปกติ “ถ้าไม่ใช่เพราะนาง พ่อของเจ้าจะมีจุดจบเช่นนั้นหรือ แม่จะต้องแยกจากเจ้าและได้รับความทุกข์ทรมานมานานหลายปีเช่นนี้หรือ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะนาง เพราะนาง! นางติดค้างพวกเรา ติดค้างพวกเรา!” 

 

 

“ท่านแม่!” 

 

 

เมิ่งชิงเบิกตากว้างมองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ 

 

 

“ชิงเอ๋อร์ แม่จะบอกเจ้าให้นะ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของนาง หลังจากนี้ไม่อนุญาตให้เรียกนางว่าพี่ ไม่อนุญาตให้เอ่ยถึงนางต่อหน้าข้าเช่นกัน” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาตะโกนเสร็จ ร่างกายก็ร่วงผล็อยลงบนเก้าอี้ ราวกับถูกสูบลมออกไปหมด 

 

 

เมิ่งชิงคิดจะก้าวขึ้นไปประคองนาง แต่ก็ฝืนอดกลั้นเอาไว้ เอ่ยเสียงทุ้ม “ท่านแม่ ท่านต้องรู้ว่า หากไม่มีนาง ก็ไม่มีบุตรชายในวันนี้ แม้ว่าในปีนั้นนางจะกระทำเรื่องเช่นนั้นกับท่านพ่อ แต่บุญคุณในการอบรมสั่งสอนข้าในหลายปีมานี้ก็สามารถหักล้างกันได้แล้ว” 

 

 

“เป็นไปไม่ได้ๆ!” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวากรีดร้องเสียสติอย่างบ้าคลั่ง 

 

 

เมิ่งชิงหรี่ตาลง “ท่านแม่ มีใครพูดอันใดกับท่านใช่หรือไม่” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาเบิกตาโพลง ถลึงตาใส่เขา คล้ายกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของเขา เอ่ยข่มขู่ว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าฟังให้ดี ถ้าหากว่าหลังจากนี้เจ้ายังเอ่ยถึงนางอีก แม่จะตายต่อหน้าเจ้า” 

 

 

เห็นนางอารมณ์รุนแรงผิดปกติ ก็กลัวว่านางจะทำเรื่องที่ทำร้ายตัวเองออกมาจริงๆ เมิ่งชิงจึงไม่กล้าเอ่ยอะไรไปมากกว่านี้ สองแม่ลูกนั่งนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง อารมณ์ของหลี่ชุ่ยฮวาถึงได้สงบลง 

 

 

เมิ่งชิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ท่านแม่ ในเมื่อท่านไม่ยินยอมให้ข้าเอ่ยถึงนาง หลังจากนี้ข้าก็จะไม่เอ่ยถึงอีก แต่พรุ่งนี้ท่านต้องนำเรือนนี้มอบกลับคืนไป บอกกับเศรษฐีหวังว่า สิ่งที่เขาขอร้อง พวกเราทำไม่ได้ หลังจากนี้ก็ขอให้เขาอย่ามีความคิดเช่นนี้อีก” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาได้ยินแล้วก็แหงนศีรษะขึ้นมองเข้า นัยน์ตากระพริบอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยอย่างร้อนตัวว่า “คืนไม่ได้แล้ว นอกจากเรือนหลังนี้แล้ว แม่ยังรับเงินเขามาอีกห้าหมื่นตำลึง ในยามนี้ใช้ไปสองหมื่นตำลึงแล้ว”