“ยากเย็น! ข้าอันโหยวเพียงแค่ต้องการที่จะประมือกับเมืองขั้นสำนักนิกายระดับสองก็เท่านั้นเอง มันจะมีอะไรยากเย็น?” เจ้าเมืองอันกล่าวถาม

“แล้วเจ้า…”

“เจ้าเป็นใคร? ถึงได้กล้าบุกเข้ามาในที่แห่งนี้?”

หอกด้ามยาวสีน้ำตาลเข้มชี้ไปยังผู้สวมผ้าคลุมสีดำตรงหน้า สายตาของเจ้าเมืองอันไม่เป็นมิตรอย่างมาก

“ข้ามาเพื่อช่วยเจ้า แต่เจ้ากลับทำเช่นนี้กับข้า นั่นเกรงว่าจะไม่ใช่มารยาทที่ดีนัก”

“ถ้าหากว่ามาเพื่อช่วยข้า ทำไมเจ้าถึงไม่ทำอย่างเปิดเผยเล่า?”

“เด็กน้อยเหล่านั้นสามารถก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมในทุ่งรกร้างได้ในเวลาอันสั้น อีกทั้งยังได้ยึดเอาเมืองในทุ่งรกร้างไปไม่ใช่น้อย!”

“นั่นก็แค่เพียงเศษซากที่อ่อนแอทางตะวันตกและทางใต้ก็เท่านั้น” เจ้าเมืองอันไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนั้น

“แต่คนที่เจ้าส่งออกไปนั้นได้ถูกฆ่าตายไปจนหมดสิ้นแล้ว นั่นหมายความว่าอะไรเล่า?”

เจ้าเมืองอันเงียบไป เขาเองก็คิดไม่ออกเช่นกัน!

“เจ้านั้นไม่รู้อะไรแน่ชัดถึงตัวตนของคนผู้หนึ่งในหมู่พวกเขา ซึ่งสามารถทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้โดยไม่ยากเย็น ถึงต่อให้เป็นการทำลายเมืองแห่งความโกลาหลของเจ้าก็ตาม สำหรับเขาแล้วมันเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก”

เจ้าเมืองอันตะลึงงัน “นี่เจ้ากำลังขู่ข้าหรือ?”

“เจ้าคิดว่าข้ามีความจำเป็นที่จะต้องขู่เจ้าหรือ?”

แรงกดดันของมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้า ทำให้เจ้าเมืองอันที่เป็นมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าเหมือนกันหายใจไม่ทั่วท้อง “เจ้า…ท่าน…”

“เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”

“ที่จริงแล้วพวกเราสามารถร่วมมือกันได้”

“ร่วมมือกัน!” คนผู้นี้มีตัวตนที่ไม่ชัดเจน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการร่วมมือกับเขานั้นประหนึ่งดั่งการขอหนังเสือจากตัวของมันเอง ซึ่งจะไม่ได้ประโยชน์อันใดซ้ำยังต้องสูญเสียผลประโยชน์ของตนไปอีก

เขากล่าวเสริมต่อ “ถ้าหากความร่วมมือเป็นได้ด้วยดีละก็ ร่างกายของบุตรชายเจ้าก็มิใช่ว่าจะไม่สามารถรักษาให้หายดีได้ พวกเรามีนักปรุงยาที่เก่งกาจที่สุดอยู่ ซึ่งสามารถจะทำให้บุตรชายของเจ้ากลับมาเป็นชายชาตรีปกติทั่วไปและสืบสกุลต่อไปได้”

“จริงรึ!” เจ้าเมืองอันเองก็รู้สึกหวั่นไหวเข้าแล้ว

“ข้าพูดเรื่องการร่วมมือกับเจ้าด้วยใจจริง แน่นอนว่าจะไม่หลอกเจ้า”

“เช่นนั้นข้าควรจะทำเช่นไร?”

“เจ้าเตรียมกำลังพลของเจ้าเอาไว้ ส่วนทางพวกเราจะรับผิดชอบในเรื่องของยอดฝีมือและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นเช่นไร?”

“ได้!”

ทางด้านเย่เฉิน เมื่อได้กลับมาถึงเมืองหนานอวี่ก็ไม่ได้พร่ำกล่าวในเรื่องความรักใคร่กับเหยียนเซี่ยฉีแล้ว เขาอดไม่ได้ที่อยากจะทำให้ตัวเขาเพียงคนเดียวกลายเป็นคนหนึ่งร้อยคนขึ้นมา

เขาจะต้องรีบรวบรวมกำลังที่มีอยู่ทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพราะพวกเมืองแห่งความโกลาหลนั้นกำลังจะมีการเคลื่อนไหวแล้ว

เย่เฉินรู้สึกเร่งรีบและเป็นกังวลใจ เมืองแห่งความโกลาหลกำลังเตรียมการเพื่อประมือกับพวกเขา

เพื่อที่จะเป็นการฝึกฝนเย่เฉิน มู่เฉียนซีจึงไม่ได้บอกเรื่องอีกเรื่องหนึ่งให้เขารู้ ปล่อยให้เขาตึงเครียดเช่นนี้ไปก่อนแล้วกัน!

ไม่นานนักเมืองแห่งความโกลาหลก็ได้เคลื่อนตัวยอดฝีมือส่วนมากมุ่งหน้าไปยังเมืองเย่เซี่ย

เมืองแห่งนี้เพิ่งจะสร้างเสร็จขึ้นมาได้ไม่นานก็มีอันตรายที่ล่อแหลมกำลังคืบคลานเข้ามาเสียแล้ว

เย่เฉินกล่าว “นายท่าน ข้าไม่คิดที่จะรับศึกคนเหล่านั้นของเมืองแห่งความโกลาหลในเมืองเย่เซี่ยนี้”

“การป้องกันของเมืองเย่เซี่ยมิได้แข็งแกร่งนัก แล้วก็ไม่สามารถที่จะต้านทานยอดฝีมือเอาไว้ได้อยู่ หากสู้กันขึ้นมาในที่แห่งนี้มิเพียงจะทำลายเมืองเย่เซี่ยเท่านั้น อีกทั้งยังจะนำอันตรายมาให้แก่ผู้ที่มีพลังความสามารถต่ำอีกด้วย”

มู่เฉียนซีถามขึ้น “เช่นนั้น เจ้าคิดที่จะรับศึกในที่ใด?”

เย่เฉินนำแผนที่ออกมากางแล้วกล่าว “ที่นี่ ทุ่งศิลาโกลาหล ที่แห่งนี้รกร้างว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน สามารถที่จะทำศึกได้อย่างเต็มที่”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ถือโอกาสในตอนที่พวกนั้นยังมาไม่ถึงส่งสารประกาศสงครามไปเถอะ!”

เย่เฉินตะลึงงัน “ประกาศสงคราม!”

มู่เฉียนซีพยักหน้า “ใช่ ประกาศสงคราม ให้ทั้งทุ่งรกร้างได้รู้ถึงการมีอยู่ของเจ้า พวกเรามาสู้กันอย่างดุเดือดสักครานึงเถอะ!”

“ขอรับ!” เดิมทีในใจของเย่เฉินนั้นไร้ซึ่งความมั่นใจ แต่พอได้ยินคำพูดนี้ของมู่เฉียนซีเขาก็เลือดพล่านขึ้นมา

เจ้าเมืองอันที่ได้รับสารประกาศศึกก็ตะลึงงัน เขายิ้มแล้วกล่าว “ไอ้หนูนั่นส่งสารประกาศศึกให้กับข้า ช่างน่าสนใจ!”

“ทุ่งศิลาโกลาหลเหรอ? ให้สถานที่แห่งนั้นกลายเป็นที่ฝังกลบกระดูกของคนผู้นั้นก็ดูเหมือนจะไม่เลวเลย รับสารประกาศศึกไว้เถอะ!”

ทั้งสองฝ่ายต่างได้รวบรวมยอดฝีมือและมุ่งไปยังทุ่งศิลาโกลาหล

พวกเขาต่างมาถึงทุ่งศิลาโกลาหลแทบจะในเวลาเดียวกัน

เมื่อศัตรูพบหน้ากันดวงตาก็เกิดแดงก่ำขึ้นมา

เจ้าเมืองอันถลึงตาใส่เย่เฉินอย่างเดือดดาล “เจ้าหนู พวกเจ้าทำให้บุตรของข้าพิการอีกทั้งยังแย่งชิงภรรยาน้อยบุตรชายของข้าไป ตอนนี้ยังกล้าที่จะมาส่งสารประกาศศึกกับข้า ช่างกล้าดีเสียจริงนะ!”

เย่เฉินกล่าว “เรื่องทั้งหมดนั้นบุตรชายของเจ้าเป็นคนก่อขึ้นเอง จะไปโทษผู้ใดมิได้”

“ไอ้หนูยิ่งยโสนัก ข้าจะให้เจ้าชดใช้อย่างแสนสาหัส”

ทันทีที่สิ้นเสียงอันโกรธเกรี้ยวของเจ้าเมืองอัน คนเหล่านั้นของเมืองแห่งความโกลาหลก็ได้ถาโถมเข้าไปฆ่าฟันประหนึ่งสายน้ำหลากก็มิปาน

แน่นอนว่าทางฝ่ายมู่เฉียนซีเองก็มิได้ยืนรอให้ถูกฟาดฟันและได้รีบเตรียมตัวรับศึก เช่นกัน

ผู้ที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นเป็นจ้าวแห่งทุ่งรกร้าง แน่นอนว่าจึงไม่ได้เก็บออมพลังความสามารถใด ๆ เอาไว้ พวกเขาได้รีบอัญเชิญสัตว์พันธสัญญาออกมา

เมื่อเจ้าเมืองอันได้เห็นสัตว์พันธสัญญาที่พุ่งเข้ามาเหมือนดั่งกระแสน้ำเชี่ยวก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ “พวกเจ้า…พวกเจ้ามีสัตว์พันธสัญญามากมายเช่นนี้ เป็นไปได้อย่างไร?”

สัตว์วิญญาณหรือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นมิได้หายากนัก แต่ทว่าผู้ฝึกสัตว์นั้นกลับหาได้ยากยิ่ง ทั่วทั้งโลกสี่ทิศมีผู้ที่สามารถทำพันธสัญญากับสัตว์ได้ไม่มากนัก

แต่ทว่าคนเหล่านี้กลับทำพันธสัญญากันเป็นกลุ่ม

ในตอนนี้เองเงาร่างสีขาวก็ได้กระโดดออกไปและพุ่งไปทางเจ้าเมืองอันในทันที

จะจับโจรต้องจับหัวหน้ามันก่อน!

ปัง! เจ้าเมืองอันเมื่อได้ประมือกับกู้ไป๋อีแล้วก็ต้องตะลึงงันอีกครั้ง ปราณกระบี่นั้นทำให้เขาหวาดกลัวอย่างที่สุด แต่ทว่ามันกลับถูกระเบิดออกมาจากมหาจักรพรรดิยอดยุทธ์ขั้นที่หนึ่ง

ปัง ปัง ปัง! เขาจำเป็นต้องระมัดระวัง ยิ่งประมือกันมากเท่าไรใจของเขาก็ยิ่งสั่นไหวมากเท่านั้น

เขารู้สึกว่าอีกไม่นานนักตนเองก็จะพ่ายแพ้และถูกบุรุษชุดสีขาวนั้นฆ่าเสียอย่างแน่นอน

เขาร้อนใจราวกับถูกไฟเผา ในที่สุดเขาก็ได้รู้เสียที่ว่าคนในชุดคลุมสีดำนั่นมิได้มีเจตนาที่จะหลอกลวงเขา คนเหล่านี้แข็งแกร่งเสียจนแปลกประหลาดจริง ๆ

คนผู้นั้นมิใช่กล่าวไว้ว่าจะนำยอดฝีมือมาช่วยเขาหรือ? ทำไมถึงยังไม่โผล่มาเล่า?

ฉึก! ด้วยสี่ถึงห้ากระบวนท่าเมื่อครู่นี้ได้ทำให้เจ้าเมืองอันมีร่องรอยบาดเจ็บจากคมกระบี่แล้ว

มหาจักรพรรดิยอดยุทธ์ขั้นที่หนึ่งวิปริตจนถึงขั้นนี้ มันไม่ปกติเลย!

เมื่อเห็นว่าเจ้าเมืองอันรับมือได้อย่างยากลำบาก ในตอนนี้คนในชุดคลุมสีดำก็ได้ปรากฏตัวขึ้น

เคร้ง! เขาป้องกันการโจมตีของกู้ไป๋อีเอาไว้ และได้แผ่พลังของมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าออกมา

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้า ทุกคนต่างก็ตะลึงค้าง นี่มัน…

กู้ไป๋อีถอยหลังออกไปหลายสิบก้าว สายตาของเขาจับจ้องที่บุรุษชุดดำผู้นั้น

ใบหน้าของเขาถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้ผ้าคลุมสีดำจึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้ชัดเจน

สีหน้าของเย่เฉินเองก็เปลี่ยนไปในทันทีเช่นกัน “มหาจักรพรรดิแห่งภูขั้นที่เก้า เป็นไปได้อย่างไร?”

สำหรับเมืองแห่งความโกลาหลแล้ว พวกเขานั้นมีความมั่นใจที่จะเอาชนะได้อยู่ที่ห้าในสิบส่วนเท่านั้น

แต่มาตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามกลับมีมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าผู้หนึ่ง ซึ่งนั่นเพียงพอที่จะเปลี่ยนกระแสของสงครามไปได้

แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุด ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ!

ครืน!

ที่รอบด้านทุ่งศิลาโกลาหลแห่งนี้ได้ถูกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สีดำสนิทชนิดต่าง ๆ ล้อมเอาไว้แล้ว

เย่เฉินคุ้นเคยกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์พวกนี้เป็นอย่างมาก สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มันเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของสำนักขวางโซ่วมิใช่หรือ?

“บ้าจริง!” เย่เฉินสบถออกมา

เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าแม้แต่เมืองแห่งความโกลาหลก็ยังกลายเป็นหุ่นเชิดของสำนักขวางโซ่ว และถูกสำนักขวางโซ่วควบคุมเอาไว้

จากนั้นเหล่ายอดฝีมือของสำนักขวางโซ่วก็ได้บุกฆ่าฟันเข้าไปที่กลางกลุ่มของพวกเขา สถานการณ์เปลี่ยนไปเป็นเลวร้ายอย่างมาก!

ทางกู้ไป๋อีมีคนคอยกันท่าเอาไว้เจ้าเมืองอันจึงได้พุ่งไปยังเย่เฉิน

“หึหึหึ! ไอ้หนู วันนี้คนของเจ้าต้องตาย! ส่วนเจ้าจะต้องตายตกอย่างอนาถด้วยน้ำมือของข้าเช่นกัน”

.

.