บทที่ 834 ใครจะรับหน้าที่นั้น

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 834 ใครจะรับหน้าที่นั้น

เกาเฉิงฮั่นตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน

ในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิเป่ยไห่ นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาต้องเสียสละดินแดนเพื่อแลกกับความสงบสุข

ขณะนี้ เกาเฉิงฮั่นจึงมีความรู้สึกหลากหลายปนเปกันไป

สำหรับจักรวรรดิที่เป็นศูนย์กลางของแผ่นดินตงเต้า การเสียสละดินแดนเพื่อความสงบสุขนับเป็นตัวเลือกสุดท้ายเสมอ นั่นหมายความว่าหากพวกเขามีทางเลือกที่ดีกว่านี้ การเสียสละดินแดนก็จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน

หมายความว่าสถานการณ์ ณ ปัจจุบันของจักรวรรดิเป่ยไห่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้แล้วหรือ?

“แต่การเสียสละดินแดนครั้งนี้คงทำได้เพียงยื้อเวลาเล็กน้อยเท่านั้น หาได้ทำให้ชาวทะเลยินดีสงบศึกกับพวกเราอย่างแท้จริงไม่”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมา

เขายังคงมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นชาวจักรวรรดิเป่ยไห่คนหนึ่ง

การส่งมอบดินแดนในจักรวรรดิตนเองให้แก่ศัตรู แทบไม่ต่างจากการเสียภรรยาให้แก่ผู้อื่น

คำพูดของเด็กหนุ่มกระแทกใจเกาเฉิงฮั่นและพวกของเฉียนเฟยเซวียเข้าอย่างจัง

“ผู้ใดจะรับผิดชอบการเจรจาครั้งนี้?”

เกาเฉิงฮั่นสอบถาม

การเจรจาสงบศึกระหว่างสองดินแดนมีเรื่องราววุ่นวายซับซ้อนมากมาย

พวกของเฉียนเฟยเซวียทั้งสามคนใช่ว่าจะมีลำดับชั้นต่ำต้อย แต่พวกเขาก็ยังไม่มีอำนาจและบารมีมากพอที่จะรับหน้าที่เจรจาสงบศึกเช่นนี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่จะกำหนดแนวโน้มการสู้รบระหว่างจักรวรรดิเป่ยไห่กับกองทัพชาวทะเลในอนาคตเลยทีเดียว

ดังนั้นจึงมีเพียงความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น

ในภารกิจการสงบศึกครั้งนี้ ผู้ที่มีตำแหน่งสูงส่งกว่าพวกของบุรุษหนุ่มทั้งสามคนยังไม่ได้ปรากฏตัวออกมา

ชั่วขณะนั้น ราวกับว่าเฉียนเฟยเซวียจะคาดเดาความคิดของเกาเฉิงฮั่นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ผู้ตรวจการหนุ่มจึงส่ายศีรษะตอบว่า “หน้าที่การเข้าไปเจรจาสงบศึกในครั้งนี้ ข้าได้รับราชโองการให้ไปส่งมอบแก่ตระกูลหลิง”

สีหน้าของเกาเฉิงฮั่นแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง

เขาลืมไปเสียสนิทเลยว่าในนครเจาฮุย ยังมีอดีตนายทหารใหญ่ที่ได้รับความเคารพจากผู้คนทั่วทั้งจักรวรรดิอยู่อีกคนหนึ่ง

แม้ว่าชายชราผู้นี้จะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ทันทีที่มาถึงนครเจาฮุย ก็ไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย

แต่เห็นได้ชัดว่าราชโองการในมือของเฉียนเฟยเซวียมีความใหญ่หลวงมากเกินไป หากไม่ส่งมอบให้แก่ชายชราผู้นี้ ก็ไม่รู้ว่าจะส่งมอบให้แก่ใครอีกแล้ว

เกาเฉิงฮั่นเย็นเฉียบไปทั้งตัว

ปรากฏว่าถึงจะถอนตัวออกจากสนามรบมานานแล้ว แต่ชายชราก็ยังมีภาพลักษณ์สูงส่งมากพอที่จะรับหน้าที่เจรจาสงบศึกอยู่อีกหรือ?

นี่เท่ากับเป็นการมัดมือชกกันชัดๆ

หลินเป่ยเฉินยังนึกไม่ออกว่าผู้ที่จะต้องรับราชโองการเป็นใคร จึงถามว่า “ตระกูลหลิง? ใช่ตระกูลหลิงที่เป็นอดีตผู้ปกครองเมืองหยุนเมิ่งหรือไม่ขอรับ?”

เกาเฉิงฮั่นถอนหายใจและให้คำตอบว่า

“ผู้อาวุโสหลิงไท่ซวีคงต้องรับหน้าที่เป็นผู้เจรจาการสงบศึกในครั้งนี้เสียแล้ว”

ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็เข้าใจทุกอย่าง

ตั้งแต่ที่หลิงไท่ซวีมาถึงนครเจาฮุย ชายชราก็แทบไม่เคยปรากฏตัวออกมาอีกเลย

ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่อย่างไรอย่างนั้น

ทางด้านหลินเป่ยเฉินเองก็มัวแต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องราวต่างๆ จนลืมชายชราไปเสียสนิท

คิดไม่ถึงเลยว่า…

“ทางวังหลวงตั้งใจจะใช้ผู้อาวุโสหลิงไท่ซวีกลายเป็นแพะรับบาปสินะขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

เจิ้งหลงเซียงยิ้มมุมปากและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงยานคาง “เจ้าพูดเช่นนั้นได้อย่างไร นี่คือการเสียสละเพื่อความอยู่รอดของจักรวรรดิ คนเพียงคนเดียวจะไปมีค่ามากมายอะไรนัก ฮ่าฮ่า…”

เพี๊ยะ!

สายแส้ในมือของหลินเป่ยเฉินตวัดออกไปอีกครั้ง

เจิ้งหลงเซียงมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับเจ็ด ปฏิกิริยาตอบโต้รวดเร็วฉับไว เขารีบเอียงหน้าหนี หมุนตัวหลบ สายแส้จึงฟาดเข้าใส่แผ่นหลังพอดี ผิวหนังแตกลายเป็นบาดแผลเลือดไหลซึม ความเจ็บปวดทำให้เม็ดเหงื่อผุดพราวขึ้นมาบนหน้าผาก ก่อนที่เจิ้งหลงเซียงจะระเบิดเสียงคำรามออกมาว่า “เจ้าทำอะไรของเจ้า เจ้า…”

“หากท่านไม่คิดพูดภาษาคน ก็จงเงียบเสียงไปเดี๋ยวนี้”

หลินเป่ยเฉินสะบัดสายแส้ฟาดลงไปบนโต๊ะไม้ซึ่งถูกใช้เป็นโต๊ะประชุมชั่วคราว สายตาจ้องมองเจิ้งหลงเซียงราวกับเป็นคมกระบี่ทิ่มแทงทะลุทะลวง “ข้าอดทนสำหรับท่านมากพอแล้ว นี่เป็นแค่คำเตือนเท่านั้น… หากท่านพูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะฆ่าท่านซะ”

เจิ้งหลงเซียงโกรธแค้นจนเกือบจะเป็นลม

เขาไม่เคยถูกผู้ใดข่มเหงรังแกขนาดนี้มาก่อน

หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นมากระทำเช่นนี้ต่อเจิ้งหลงเซียง เขาย่อมไม่มีทางทนทานเก็บกดความรู้สึก แม้คนผู้นั้นจะเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งใหญ่กว่าตนเองก็ตาม

เพราะถึงอย่างไร ตระกูลเจิ้งก็ไม่ใช่ตระกูลธรรมดาทั่วไป

แต่บุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี้มีพลังถึงระดับเซียน

ซ้ำสมองยังไม่ปกติ

เจิ้งหลงเซียงไม่สงสัยเลยว่าหากตนเองกล้าพูดอะไรออกไปอีกแม้แต่คำเดียว หลินเป่ยเฉินก็จะต้องฆ่าเขาทิ้งอย่างไม่ลังเล

หลินเป่ยเฉินสามารถทำได้จริงๆ

ดวงตาของเจิ้งหลงเซียงร้อนผ่าวด้วยความโกรธแค้น แต่ก็ต้องเก็บความรู้สึกเจ็บปวดจากสายแส้บนร่างกาย แค่นเสียงในลำคอออกมาด้วยความเย็นชา ก่อนจะหมุนตัวหมายเดินออกไปจากห้องโถงใหญ่

“ใครอนุญาตให้ท่านไป?”

หลินเป่ยเฉินตบมือลงบนโต๊ะเสียงดังปัง “จงกลับมานั่งฟังสิ่งที่ข้ากำลังจะพูดให้ดี”

เจิ้งหลงเซียงกัดฟันกรอดและจำต้องหมุนตัวกลับมาอีกครั้งและนั่งลงที่โต๊ะประชุม โดยเลือกเก้าอี้ที่อยู่ห่างจากหลินเป่ยเฉินมากที่สุด

ชีวิตนี้ เจิ้งหลงเซียงไม่เคยอับอายขายหน้ามากมายขนาดนี้มาก่อน

ในเวลาเดียวกันนี้ ผู้นำคณะตัวแทนจากวังหลวงอย่างเฉียนเฟยเซวียก็ทำเพียงจ้องมองเหตุการณ์ทั้งหมดโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

โหลวซานกวนหมุนคอไปมาไล่ความเมื่อยขบราวกับว่าไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เพราะในใจของบุรุษหนุ่มทั้งสองกำลังรู้สึกสะใจยิ่งนัก

นี่เรียกว่าหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง

เจิ้งหลงเซียงได้ชื่อว่าเป็นตัวชั่วร้ายแห่งวังหลวง อาศัยตนเองมาจากตระกูลใหญ่ คอยข่มเหงรังแกผู้อื่นอยู่เป็นประจำ แต่เมื่อมาเผชิญหน้ากับบุคคลที่ไร้เหตุผลอย่างหลินเป่ยเฉิน สถานการณ์ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

ช่างน่าสมน้ำหน้ายิ่งนัก

หลินเป่ยเฉินแค่ใช้ข้ออ้างได้ฟาดแส้ระบายอารมณ์ เมื่อรู้สึกดีขึ้นแล้ว เด็กหนุ่มก็เริ่มใช้ความคิดอย่างจริงจัง

องค์จักรพรรดิคิดจะมอบดินแดนให้แก่ชาวทะเลเพื่อสงบศึก

ดินแดนนั้นหมายถึงมณฑลเฟิงอวี่

ซึ่งมีนครเจาฮุยเป็นเมืองหลวง

ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพยายามสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากในเมืองนี้ ก็คงสูญสลายหายไปในพริบตาเดียวเลยสินะ?

หลังจากลงหลักปักฐานได้สำเร็จ ชาวเมืองหยุนเมิ่งก็ต้องกลับไปเร่ร่อนอีกแล้วหรือ?

บัดนี้สายลมเย็นพัดผ่าน ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความหนาวเย็น แม้แต่หยดน้ำยังกลายเป็นน้ำแข็ง แล้วผู้คนนับสิบล้านคนในเมืองนี้จะเดินทางย้ายถิ่นฐานกลางฤดูหนาวโดยไม่เสียชีวิตได้อย่างไร?

โดยเฉพาะผู้คนในเขตเมืองอพยพซึ่งยังตั้งหลักกันได้ไม่นาน พวกเขาจะอยู่รอดจากปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร?

หลินเป่ยเฉินคงปล่อยให้เกิดการส่งมอบดินแดนไม่ได้เด็ดขาด

เขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายฐานบัญชาการของเขาทิ้งง่ายๆ

ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจะต้องไม่เสียนครเจาฮุยไปเด็ดขาด

แต่จะแก้ปัญหาอย่างไรดีล่ะ?

หลินเป่ยเฉินยกมือทำท่าดันแว่นแบบยอดนักสืบจิ๋วโคนัน

“บัดนี้ยังไม่สายเกินไป แม่ทัพเกา คุณชายหลิน พวกท่านสนใจติดตามข้าไปที่จวนสกุลหลิงเพื่อส่งมอบราชโองการหรือไม่?”

เมื่อเห็นบรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ เฉียนเฟยเซวียก็ถือวิสาสะลุกขึ้นจากโต๊ะประชุมอย่างแช่มช้า

เมื่อมีอนาคตของจักรวรรดิเป็นเดิมพัน เขาก็ต้องทำหน้าที่ให้ลุล่วงเท่านั้น

เกาเฉิงฮั่นพยักหน้า

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาว่า “ได้เลยขอรับ ข้าเองก็อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างเช่นกัน”

กลุ่มบุรุษหนุ่มลุกขึ้นยืน หลินเป่ยเฉินเดินออกจากโต๊ะประชุมได้เพียงเล็กน้อยก็หยุดชะงัก และหันกลับไปมองเจิ้งหลงเซียงซึ่งยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิมพลางถามว่า “ก้นของท่านมีรากงอกติดเก้าอี้หรืออย่างไร? เหตุไฉนถึงไม่ติดตามมา?”

เจิ้งหลงเซียงสะดุ้งโหยงตัวสั่นเทาราวกับเป็นลูกสะใภ้ที่ถูกแม่สามีใจร้ายโขกสับจนหวาดผวา

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”

โหลวซานกวนอดหัวเราะออกมาไม่ได้

เมื่อออกมาจากห้องโถงใหญ่แล้ว คณะตัวแทนจากวังหลวงก็เดินทางโดยใช้เรือเหาะลำหนึ่ง

แต่หลินเป่ยเฉินไม่ได้ขึ้นไปบนเรือเหาะลำนั้น

เขากระโดดขึ้นหลังม้าขาว และนำพาหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินมุ่งตรงไปยังจวนสกุลหลิงทางภาคพื้นดิน

ผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งก้านธูป

เด็กหนุ่มก็มาถึงหน้าจวนสกุลหลิง

พวกของเกาเฉิงฮั่นซึ่งเดินทางด้วยเรือเหาะมาถึงก่อนหน้าแล้ว ทุกคนกำลังยืนรอเด็กหนุ่มอยู่เพียงผู้เดียว

เห็นได้ชัดว่าจวนสกุลหลิงรับทราบข่าวการมาถึงของคณะตัวแทนจากวังหลวงแล้ว หลิงจุนเซวียนและภรรยาพร้อมด้วยผู้ติดตามอีกหลายสิบคนต่างก็มายืนรอพวกเขาอยู่หลังประตูจวน นอกจากนี้ ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งหลินเป่ยเฉินไม่รู้ว่าเป็นพวกคนใหญ่คนโตในตัวเมืองหรือเป็นคนจากทางวังหลวงกันแน่ ก็มายืนรวมตัวอยู่ด้วยเช่นกัน

หลินเป่ยเฉินกระโดดลงจากหลังม้า โยนสายบังเหียนให้กงกง และเดินออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

“หึหึ เจ้าคงเป็นหลินเป่ยเฉินสินะ ช่างอวดดีเหลือเกิน รู้ไหมว่าพวกเราทุกคนต้องเสียเวลารอคอยบุตรชายนักโทษหลบหนีคดีอย่างเจ้านานเท่าไหร่แล้ว”

เสียงพูดที่แสดงความไม่พอใจชัดเจนดังขึ้น

ปรากฏว่าเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณ 18 – 19 ปีผู้หนึ่ง เขามีใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา แววตาบอกชัดถึงความร้ายกาจ สีหน้ายามจ้องมองหลินเป่ยเฉินเต็มไปด้วยความเหยียดหยามและขยะแขยง ถ้อยคำที่พูดออกมาเห็นได้ชัดว่าต้องการยั่วโมโหเต็มที่

พิจารณาจากเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้ว เด็กหนุ่มจอมเหยียดหยามผู้นี้คงไม่สามารถพูดคุยด้วยได้ง่ายๆ แน่นอน

“เจ้าหมอนี่เป็นใครขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าพวกของเฉียนเฟยเซวีย