หลังเสียงแหบพร่าดังขึ้น หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นก็สูดลมหายใจยาว
เขาอยากรู้เป็นอย่างมากว่าเหตุใดเฉินหานถึงสามารถมีชาติต่อไปได้อีกหลายชาติแต่ตัวเองไม่มี ความสงสัยนี้ก่อตัวขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อมาได้สักพักแล้ว ยามนี้ เมื่อมาถึงชาติที่แปด หวังเป่าเล่อมองไอหมอกที่หมุนวนอยู่รอบกาย รับรู้ถึงสติของตนที่กำลังจมดิ่ง พึมพำแผ่วเบา
“หวังว่าครั้งนี้จะไม่เหมือนก่อนหน้านี้อีก ที่มองไม่เห็นสิ่งใด…” เขาปิดตา สัมผัสได้ว่าสติของตนเองจมดิ่งลงเรื่อยๆ ราวกับตกลงไปในวังวน
จากนั้น…ก็กลายเป็นความเย็นยะเยือกที่คุ้นเคย
ความเยียบเย็นนี้ทำให้จิตใจหวังเป่าเล่อจมดิ่ง สติสัมปชัญญะที่ยังคงอยู่ทำให้จิตใจที่ดำดิ่งของเขายิ่งหดหู่ หลังจากปลดปล่อยดวงจิตใช้มันสำรวจบริเวณรอบๆ ก็เห็นความมืดมิดอันคุ้นเคยอีกครั้ง หวังเป่าเล่อทอดถอนใจออกมา
“ไม่มีอะไรอีกแล้ว…” เขารู้สึกไม่อยากยอมแพ้จึงลองเพิ่มอาณาเขตการรับรู้ให้กว้างขึ้น แต่ไม่ว่าเขาจะใช้พลังมากมายเท่าไร สุดท้ายแล้วก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
เย็นเยียบ มืดมิด โดดเดี่ยว
หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ในขณะที่กำลังจะล้มเลิก ตอนนั้นเองสติสัมปชัญญะของเขาพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง ภายใต้การสั่นไหวนี้ความรู้สึกที่จมดิ่งลงนั้นก็ลอยขึ้นมาใหม่อีกครั้งอย่างไม่คาดคิด!
“ความรู้สึกนี้…”
หวังเป่าเล่อยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็มีเสียงดังสนั่นขึ้นในสติสัมปชัญญะดุจฟ้าร้องฟ้าผ่า เมื่อมันระเบิดออก เวลานั้นสติสัมปชัญญะของเขาก็สลายหายไปทันที
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เมื่อหวังเป่าเล่อรวบรวมสติอีกครั้ง เขาก็ลืมชื่อของตนเอง ลืมว่าเขากำลังระลึกอดีตชาติ ลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง
เขาลืมตาไม่ขึ้น ขยับตัวไม่ได้ ไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ใด ไม่รู้ที่มาของตน สิ่งที่เขารับรู้คือบริเวณรอบนั้นเย็นมาก ความเย็นเยียบเช่นนี้สามารถผ่านเข้าร่างกายแช่แข็งจิตวิญญาณ และสิ่งที่เขาเห็นมีเพียงความมืดมิดไม่รู้จบ
นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกที่รุนแรงอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ…ความเจ็บปวด!
ความเจ็บปวดท่วมท้นดุจคลื่นยักษ์โถมซัดครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับมีดคมกริบเล่มหนึ่งที่หั่นแล่สติสัมปชัญญะของเขาไม่หยุดหย่อน หวังเป่าเล่ออยากจะกรีดร้องแต่กลับไม่สามารถทำได้ อยากดิ้นรนแต่ก็ทำไม่ได้เช่นกัน อยากสลบเพื่อจะหลบหลีกความเจ็บปวดแต่ก็ทำไม่ได้เช่นเดิม
เขาทำได้เพียงรับรู้ความเจ็บปวดขีดสุดอย่างแจ่มชัดในความมืดและความเยียบเย็น ราวกับทั้งหมดนั้นทำให้สติสัมปชัญญะของเขาสั่นสะท้าน ทว่า แม้ความเจ็บจะยังคงอยู่ตั้งแต่ต้นเหมือนกับความมืดและความเยียบเย็น คล้ายกับจะคงอยู่อีกเนิ่นนานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ก็ยังโชคดีที่ระดับความสั่นไหวของมันกลับไม่สูงขึ้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ภายใต้ความเจ็บปวดที่เคี่ยวกรำหวังเป่าเล่อ ขณะที่จิตใจเหนื่อยล้า เขาพลันพบว่าความเจ็บปวดดูเหมือนจะลดลงไปบ้างแล้ว เขาไม่ได้คิดไปเอง ความเจ็บนั้นลดลงทีละน้อยจริงๆ
เมื่อความเจ็บปวดบรรเทาลง พร้อมกับสติสัมปชัญญะของเขาที่ค่อยๆ ถดถอย ภายใต้ความรู้สึกเจ็บปวดที่มลายหายไป ความรู้สึกง่วงงุนก็คืบคลานเข้ามาภายในจิตใจมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งในตอนที่ความรู้สึกเจ็บหายไปจนหมด สติสัมปชัญญะของเขาก็ค่อยๆ จมเข้าสู่ห้วงนิทรา หลับใหลไปราวกับทุกสิ่งจบสิ้นแล้ว หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในไอหมอก ณ ดาวชะตา ร่างกายเขาสั่นไหวรุนแรง ค่อยๆ เปิดเปลือกตา
ครานี้นัยน์ตานั้นไร้ประกายหลงเหลือไว้เพียงความลุ่มลึก หลังจากนั่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ลมหายใจของเขาก็เริ่มถี่กระชั้นขึ้น เขามั่นใจ ช่วงเวลาดำดิ่งที่รู้สึกได้ก่อนหน้านั้น สติสัมปชัญญะของตนได้แตกซ่าน เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับห้าชาติก่อนไม่มีผิด
“นี่หมายความว่า…ตอนนี้ข้าประสบความสำเร็จในการระลึกอดีตชาติที่แปดได้จริงๆ แล้วสินะ!”
“แต่ว่าชาติที่แปดของข้าค่อนข้างพิเศษ…” หวังเป่าเล่อก้มหน้า นัยน์ตาฉาวแววประหลาด เวลานี้เมื่อนึกถึงความเจ็บปวดในตอนนั้น ร่างกายก็ยังคงสั่นสะท้านเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเพราะประสบการณ์พิเศษจากชาติที่แปด ทำให้ในใจหวังเป่าเล่อเกิดการคาดเดาบางอย่าง
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่มีชาติที่หกหรือชาติที่เจ็ด แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง ในสองชาตินั้นข้ากลับหลับลึก…การหลับลึกแบบนี้เป็นการสลบไสลอย่างไร้สิ้นสติสัมปชัญญะ ดังนั้นสิ่งที่ข้าสัมผัสได้จึงมีเพียงความเย็นเยียบและความมืดมิด!”
“และที่สลบไสลในทั้งสองชาตินี้ก็เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวดที่เมื่อครู่ได้รับจากการระลึกชาติที่แปด ความเจ็บเช่นนี้…หรือว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บ? และการสลบไปในตอนท้ายคือการเยียวยารักษา? จวบจนอาการบาดเจ็บหายดีแล้ว ดังนั้นจึงมีชาติที่ห้า ข้ากลับชาติไปเกิดเป็นกวางขาว?” นัยน์ตาหวังเป่าเล่อฉายแววครุ่นคิด ครู่ถัดมาก็ยกมือขึ้นนวดคลึงบริเวณหว่างคิ้วของตน รู้สึกว่าปริศนาต่างๆ ที่เกี่ยวกับอดีตชาติ เกี่ยวกับโลกนี้ และเกี่ยวกับหวังอีอี ไม่ได้กระจ่างขึ้นเพราะเบาะแสต่างๆ เลย หนำซ้ำ…กลับยิ่งคลุมเครือ
ระหว่างงึมงำ เขาเงยหน้ามองเฉินหาน แววตาเด็ดเดี่ยวปรากฏ สองมือรีบผนึกมุทรา เปลวไฟสีดำแผ่ปกคลุมขึ้นในพริบตาพร้อมด้วยจิตวิญญาณ และพริบตาต่อมาโลกพิสดารใบหนี่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ!
ท้องฟ้า…อยู่ไกลออกไป ไกลจนมองเห็นไม่ชัดกลายเป็นภาพพร่ามัว เห็นเพียงสีของมันคล้ายกับสีไม้ที่ไม่จืดชืดอีกทั้งยังแฝงความอบอุ่น ทำให้ผู้ที่มองอยู่รู้สึกผ่อนคลาย
ส่วนพระอาทิตย์ก็อยู่ห่างออกไปไกลโพ้นเช่นเดียวกัน พร่ามัวจนมองแทบไม่เห็น เห็นแต่เพียงแหล่งกำเนิดแสงที่เปล่งประกายและความร้อนออกมาทำให้โลกทั้งใบอบอุ่น ส่วนพื้นดินนั้นแจ่มชัดดี มันเป็นสีขาว สีขาวอันไร้ขอบเขต
บริเวณรอบด้าน บางทีอาจเป็นเพราะระยะทางที่ไกลเกินไปจึงพร่ามัว แต่หวังเป่าเล่อก็ยังมองเห็นได้อย่างเลือนราง ราวกับมีสิ่งที่สูงใหญ่จำนวนมหาศาลและกลิ่นอายที่ทำให้เขาสะพรึงกลัวแผ่ออกมาเรื่อยๆ น่าเสียดายที่มองเห็นไม่ชัด
เขาไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดสิ่งเหล่านี้กลับให้ความรู้สึกราวกับเขาเคยพบเจอมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นหวังเป่าเล่อกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยเห็นมัน
“โลกภายนอกของสองชาติก่อนหน้านี้คือห้องส่วนตัวของหวังอีอี เช่นนั้นคราวนี้…นี่คือที่ไหน?” ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังสำรวจอย่างเงียบเชียบ สายตาก็มองหาเฉินหาน…
ใช่แล้ว เขากำลังมองหาเฉินหาน เพราะหลังจากที่มาถึงที่นี่แม้เขาจะมองเห็นบริเวณโดยรอบ ทว่ากลับไร้เงาร่างของเฉินหาน
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่สมเหตุสมผล จนหวังเป่าเล่อรู้สึกเหลือเชื่อ แต่ไม่ว่าเขาจะหาอย่างไรก็ไม่เจอร่องรอยของเฉินหานในโลกประหลาดนี้แม้แต่น้อย ราวกับเฉินหานไม่มีอยู่จริงและโลกที่พร่ามัวก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัด
ความรู้สึกราวกับตรงหน้าถูกผ้าคลุมไว้ และต่อให้เขาจะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่สามารถมองเห็นโลกนี้ได้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกับคนที่สายตาสั้นมากๆ เมื่อถอดแว่นสายตาออก ทุกสิ่งที่เห็นแทบจะเหมือนกับที่หวังเป่าเล่อมองเห็นในเวลานี้
สภาพเช่นนี้ดำรงอยู่เป็นเวลาเนิ่นนาน จนกระทั่งวันหนึ่งหวังเป่าเล่อมองเห็นเสาขนาดมหึมาต้นหนึ่งหล่นลงมาจากฟ้า เมื่อใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาก็เห็นว่าเสาต้นนี้ดูคล้ายกับพู่กันจีนเล่มหนึ่ง!
อีกทั้งยังมีน้ำหมึกอยู่ด้วย ขณะที่ภาพนี้สั่นคลอนสติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่อ ก็มีมือหนึ่งกำลังจับพู่กันจีนเล่มนี้อยู่ มันเป็นมือเล็กๆ ข้างหนึ่ง หวังเป่าเล่อยังไม่ทันมองให้ชัด พู่กันจีนเล่มนั้นก็ร่วงลงบนพื้นกว้างสีขาว และด้วยทักษะการวาดอันเงอะงะ ก็ได้ภาพวาดคนตัวเล็กที่เงอะงะยิ่งกว่าออกมา
เมื่อภาพคนตัวเล็กวาดเสร็จเรียบร้อย เสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากก็ดังแว่วมาจากฟากฟ้า ในเวลาเดียวกันนั้นคนตัวเล็กที่ถูกวาด ก็ลุกขึ้นจากพื้นราวกับได้รับชีวิต
ขณะที่สติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่อสั่นไหวอีกครั้ง พู่กันจีนนั่นก็จรดลงมาอีกหน หลังจากนั้นไม่นานคนตัวเล็กก็ถูกวาดขึ้นเช่นนี้เรื่อยๆ ส่วนเจ้าของพู่กันจีนก็ราวกับพบเจอความสุขจากการวาดภาพ วันเวลาต่อจากนั้นก็มีคนตัวเล็กถูกวาดขึ้นมาอีก จนกระทั่งวันหนึ่งในขณะที่จิตใจหวังเป่าเล่อกำลังสั่นสะท้าน เขาก็เห็นพู่กันจีนนั้นสั่นไหวราวกับเจอเรื่องไม่คาดคิด ภาพคนตัวเล็กที่วาดออกมาก็ต่างไปจากเดิม
เป็นคนตัวเล็กที่ขาข้างหนึ่งยาว ข้างหนึ่งสั้น และในพริบตาที่คนตัวเล็กถูกวาดขึ้น หวังเป่าเล่อก็พลันรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของเฉินหาน เมื่อคนตัวเล็กตะเกียกตะกายลุกขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างบริเวณรอบ จากพร่ามัวก็กลับกลายเป็นชัดเจนต่อหน้าหวังเป่าเล่อในทันที!
เขามองเห็นท้องฟ้ากระจ่างชัด ที่มันเป็นสีไม้ก็เพราะท้องฟ้านั้นแต่เดิมคือหลังคา ส่วนสีขาวที่พื้นดินก็คือกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง ความว่างเปล่ารอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นตึกสูงหรือเงาร่างล้วนเป็นของเล่นทั้งหมด ดวงตะวันนั้นคือแหล่งกำเนิดแสงซึ่งมาจากผลึกเม็ดหนึ่งที่กระจายแสงส่องสว่างให้กับห้อง
และมือที่กุมพู่กันจีน…ก็เป็นของเด็กหญิงผู้หนึ่งที่ดูเหมือนอายุจะน้อยกว่าสามขวบ!
หวังเป่าเล่อใช้ดวงจิตกวาดดูคร่าวๆ อย่างไม่มีเวลาพิจารณาอย่างละเอียด เพราะสมาธิของเขาในตอนนี้ได้รวมอยู่ที่พู่กันจีนซึ่งยกสูงขึ้น กำลังใช้มันวาดรูปเฉินหาน ในพริบตาที่มันได้รับชีวิต ด้วยความสัมพันธ์บางอย่างที่เกิดขึ้นทำให้สติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่อพุ่งพรวดอย่างรุนแรง เบนสมาธิจากร่างเฉินหานไปยังน้ำหมึกในพู่กันจีนนั่นแทน!
ยามที่พู่กันยกสูงขึ้นเรื่อยๆ สติของของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้น จวบจนพู่กันจีนออกไปจากพื้นดินและพาเขาออกจากโลกใบนี้ด้วย!
‘ออกมาได้แล้ว!’ หวังเป่าเล่อจิตใจสั่นสะท้าน ความรู้สึกคาดหวังที่ไม่เคยมีได้ผุดขึ้นเต็มความคิดของเขา!
…………………