ตอนที่ 806 มิติสีเลือด

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 806 มิติสีเลือด
ในตอนนี้เองเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น!

มนุษย์ทองแดงยักษ์ที่อยู่หน้าโต๊ะบูชาสองสามจั้งฉับพลันระเบิด กระทั่งหมอกสีดำที่ล้อมอยู่ใกล้ๆ ก็พังทลายสลายหายไปในพริบตาทั้งหมดด้วย

หลังเสียงแค่นหยันทีหนึ่ง บุรุษผมม่วงก็ลุกขึ้นมาจากบนพื้นช้าๆ เสื้อผ้าครึ่งท่อนบนของเขากลายเป็นเถ้าธุลีทั้งหมดเผยลวดลายจิตวิญญาณสีดำเหลืองแผ่ไปทั่วผิวหนัง สองตาแดงฉานดุจโลหิต

หลิ่วหมิงกับชายหนุ่มรถเงินเห็นเช่นนี้ล้วนพรั่นพรึง ในใจหลิ่วหมิงรู้สึกท่าไม่ดีอยู่เลือนราง

“คิดไม่ถึงว่าการทดสอบกระจอกๆ ครั้งหนึ่งกลับต้องเปลืองโลหิตบริสุทธิ์ของตัวเองหนึ่งหยด ไม่อาจให้อภัยได้จริงๆ!” ชายหนุ่มผมม่วงเงยหน้ามองพวกหลิ่วหมิงสองคนอย่างเย็นชา จากนั้นพ่นออกมาทีละคำด้วยใบหน้าชั่วร้าย

เสียงพูดเพิ่งจบลง เขาก็กู่ร้องยาว ลวดลายจิตวิญญาณสีดำเหลืองทั่วร่างฉับพลันส่องสว่าง ทันใดนั้นเลือดก็พุ่งออกมาจากผิวหนังเป็นสายนับไม่ถ้วนกลายเป็นหมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งล้อมเขาไว้ตรงกลางจากนั้นเขาก็ก้าวยาวออกมา เสียง “ตึง” ดังขึ้นไม่กี่หนเขาก็ก้าวผ่านระยะหลายจั้ง ชั่วพริบตามาถึงหน้าโต๊ะบูชาแล้วฉวยหีบไม้ที่มีปราณจิตวิญญาณสีม่วงอ่อนใบนั้นด้านซ้ายสุดมาไว้ในมือ

เหตุพลิกผันน่าตะลึงเช่นนี้ย่อมทำให้หลิ่วหมิงกับชายหนุ่มรถเงินหน้าถอดสี

ทว่ายังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะตอบสนอง เรื่องประหลาดก็บังเกิดขึ้น!

เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นหนึ่งหน!

สองตาของรูปสลักผู้เฒ่าคนนั้นด้านหลังโต๊ะบูชาเปล่งแสงจิตวิญญาณออกมา แสงสีทองประหนึ่งวัตถุจริงสองสายพุ่งออกมากวาดผ่านหน้าโต๊ะบูชาในพริบตา

หลังบุรุษผมม่วงถูกแสงสีทองโอบล้อมก็หายไปไร้ร่องรอย

เมื่อหลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ตอนนี้ถึงเข้าใจ หีบไม้สามใบเห็นชัดว่าเป็นของทั้งสามคนคนละใบ เพียงแต่คนที่ไปถึงก่อนมีสิทธิ์เลือก แต่หลังเลือกปุบก็จะถูกเคลื่อนย้ายจากไปทันที

เป็นเช่นนี้ในใจเขาย่อมโล่งอก จากนั้นยกเท้าก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง

ชายหนุ่มรถเงินก็โล่งอก ก้าวเดินเชื่องช้าไปทีละก้าวเช่นกัน

แม้เวลานี้ทั้งสองคนอยู่ห่างจากโต๊ะบูชาเพียงไม่กี่ก้าว แต่ไม่กี่ก้าวสุดท้ายนี้กลับก้าวเดินยากลำบากไม่ธรรมดา ช่วงสุดท้ายหลิ่วหมิงแทบจะฝืนลากร่างเดินไปจนจบ

ชายหนุ่มรถเงินก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน การควบคุมหุ่นนานาชนิดและชุดเกราะจักรกลอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ทำให้เขาแบกรับภาระหนักยิ่งอยู่แล้ว เมื่อเดินไม่กี่ก้าวสุดท้ายนี้จบทั้งร่างก็เหงื่อไหลโชกทันที

ทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าโต๊ะบูชาแทบจะในเวลาเดียวกัน หลังสบตากันหนหนึ่ง หลิ่วหมิงจึงยิ้มน้อยๆ สะบัดแขนเสื้อ ลากหีบไม้ที่ส่องแสงสีเงินขมุกขมัวใบนั้นเข้ามา

แสงสีทองสองสายพุ่งออกมาจากรูปสลักผู้เฒ่าเฉกเช่นเดียวกัน เขารู้สึกว่ามีแสงสีทองสว่างวาบตรงหน้า หลังร่างกายชาเล็กน้อยก็หายไปจากตรงนั้น

ชายหนุ่มรถเงินเห็นเช่นนี้ก็เม้มปากยิ้มขมขื่นเล็กน้อย เขาหยิบโอสถที่ส่องแสงสีน้ำเงินขมุกขมัวเม็ดหนึ่งออกมากลืนลงไปจากนั้นจึงคว้าหีบไม้ที่มีปราณจิตวิญญาณสีทองอ่อนปกคลุมอยู่ใบนั้นที่เหลือมาอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นจึงถูกแสงสีทองโอบล้อมหายไปเช่นเดียวกัน

……

ชั่วครู่ให้หลังแสงสีทองเบื้องหน้าหลิ่วหมิงก็สลายไป เขาส่ายศีรษะที่หนักอึ้งเล็กน้อยแล้วถึงลืมสองตาขึ้น เขาพบว่าตนปรากฏตัวขึ้นที่โลกสีเลือดแห่งหนึ่ง

ไม่ว่าพื้นดิน ท้องฟ้าหรือกระทั่งยอดเขาที่เห็นอยู่เลือนรางไกลๆ ทั้งหมดล้วนเป็นสีเลือดทั้งสิ้น

ห่างไปสิบกว่าจั้ง บุรุษผมม่วงแห่งหอเป๋ยโต่วซึ่งไม่รู้เปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าสีเทาชุดหนึ่งตั้งแต่เมื่อไรกำลังมองเขาอย่างเย็นชา ท่าทางร่ำๆ อยากจะลงมือ

บนเนินดินสีเลือดลูกหนึ่งห่างไปราวไม่กี่สิบจั้งอีกด้านมีเงาร่างคุ้นตาหลายร่างอยู่

หลิ่วหมิงเพ่งสายตามองจึงพบว่าเป็นเซวียผาน สตรีชุดเขียว บุรุษหน้าเหยี่ยวรวมถึงศิษย์อัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับ ใต้เนินเขายังมีคนหลายคนยืนอยู่ตรงนั้นอีก พวกเขาคือหลัวเทียนเฉิง พี่น้องโอวหยางและเผิงเยวี่ย

พวกเขาจับกลุ่มสองคนสามคนบ้างนั่งบ้างยืน ส่วนใหญ่หน้านิ่วคิ้วขมวด

หลิ่วหมิงเห็นคนเหล่านี้อยู่ที่นี่ไม่ตกหล่นสักคนย่อมตาค้างไปอยู่บ้าง

ตามหลักแล้วหลังตกรอบหรือได้รับรางวัลในแดนแห่งมรดกย่อมถูกเคลื่อนย้ายออกไปด้านนอก กลับไปในแดนลึกลับประตูสวรรค์

เขาเห็นชัดเจนกับตาว่าตอนหลัวเทียนเฉิงประลองกับชายหนุ่มผมม่วง เขาบีบโซ่แห่งโชคชะตาจนแหลกด้วยตนเองเพราะสถานการณ์วิกฤติ เวลานี้เขาสมควรออกจากแดนลึกลับประตูสวรรค์กลับไปด้านนอกแล้วแท้ๆ ทำไมยังอยู่ที่นี่อีก

พร้อมกับที่เขาสงสัยอย่างยิ่ง กลุ่มคนด้านนั้นก็ค้นพบแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตรงนี้ พากันเคลื่อนสายตามองมา หลังเห็นเหลิ่วหมิงกับบุรุษผมม่วงด้านข้าง แต่ละคนก็มีสีหน้าต่างกันไป

โอวหยางเชี่ยนกับเผิงเยวี่ยบนหน้าฉายแววยินดีจางๆ แต่จากนั้นความกังวลก็เข้าแทนที่ในทันใด

บุรุษหน้าเหยี่ยว สาวน้อยชุดเขียวกับสตรีจากสำนักเฮ่าหรานสีหน้าเรียบเฉย

ส่วนศิษย์อัปลักษณ์จากหุบเขาปีศาจสวรรค์เพียงเหล่ตามองเล็กน้อยจากนั้นละสายตาออกอย่างรวดเร็ว ท่าทางคล้ายไม่ใส่ใจการปรากฏตัวของพวกหลิ่วหมิงสองคนสักนิด

“พี่เผิง นี่เกิดอะไรขึ้น ที่นี่คือที่ใด” หลิ่วหมิงเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีเล็กน้อย เขาเหาะขึ้นฟ้าบินมายังเนินดินด้านนั้นในทันใด ยังไม่ทันร่อนลงมา เผิงเยวี่ยก็ประสานมือเอ่ยปากถามเขาแต่ไกลก่อนแล้ว

“สหายหลิ่ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็เข้ามาด้วย ที่แห่งนี้ค่อนข้างประหลาด ข้ากับสหายทั้งหลายที่เหลือถูกขังอยู่มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ใช้วิธีการไม่น้อยก็ยังไม่อาจสืบหาสถานการณ์ของที่แห่งนี้ให้กระจ่างได้ พวกเราปรึกษากันแล้วคิดว่าแดนแห่งมรดกคงเกิดสถานการณ์บางอย่างจึงเกิดความผิดปกติ อีกประการไม่ทราบว่าพี่หลิ่วเห็นอาจารย์อาเล็กของข้าหรือไม่” เผิงเยวี่ยลูบศีรษะยิ้มเจื่อนเอ่ยตอบ

“อะไรนะ ความผิดปกติหรือ ถ้าเป็นอาจารย์อาของท่าน…” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกตะลึง ยังไม่ทันตอบอะไรมาก ทันใดนั้นบนที่ว่างอีกแห่งหนึ่งบนเนินดินไม่ไกล แสงสีทองก็สว่างขึ้นวูบหนึ่ง ร่างของคนผู้หนึ่งโซเซปรากฏตัวออกมา

ชายหนุ่มรถเงินแห่งนิกายเทียนกงนั่นเอง

“อาจารย์อาเล็ก”

เผิงเยวี่ยเห็นเช่นนี้ก็ยินดียิ่ง รีบขยับวูบไหวไม่กี่หนไปถึงด้านนั้นจากนั้นค้อมกายถามไถ่

“ข้าไม่เป็นไร! เอ๋ ทำไมเจ้าอยู่ที่นี่…ที่นี่มันสถานที่บัดซบอะไรกัน?” ชายหนุ่มรถเงินโคลงศีรษะ หลังมองเผิงเยวี่ยทีหนึ่ง บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่หลังกวาดตามองสีเลือดรอบด้านต่อก็ยิ่งตกตะลึง

“อาจารย์อาเล็ก เรื่องนี้เล่าแล้วยาว…” เผิงเยวี่ยได้ยินก็ยิ้มเจื่อน เริ่มขยับริมฝีปากขมุกขมิบส่งกระแสจิตเล่าในทันใด

หลังชายหนุ่มรถเงินฟังไม่กี่ประโยค สีหน้าพลันเคร่งขรึม

“พี่หลิ่ว ที่นี่ประหลาดยิ่งนักจริงๆ ไม่ทราบว่าท่าน…”

หลังหลิ่วหมิงร่อนลงบนเนินเขาช้าๆ โอวหยางเชี่ยนก็เดินเข้ามาพร้อมกลิ่นหอมอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากหอมอ้าออกเล็กน้อยต้องการพูดอะไรบางอย่าง

ทว่าในตอนนี้เองท้องนภาสีเลือดพลันมีเสียงอสนนีบาตดังเปรี้ยงปร้างทั้งที่ฟ้ากระจ่าง

ทุกคนตกตะลึงรีบมองไปบนท้องฟ้า

เห็นเพียงบนท้องฟ้าสูงไอหมอกสีเลือดไหลถาโถมมา เสียงอสนีบาตดังขึ้นไม่ขาด แต่ไม่เห็นอสนีบาตแลบสว่างแต่อย่างใด

ขณะที่ทุกคนกำลังฉงนนั่นเอง แผ่นดินสีเลือดทั้งหมดก็พลันสั่นสะเทือน ผืนดินแข็งทยอยแตกออก เผยร่องลึกขนาดมหึมาเส้นแล้วเส้นเล่า ยอดเขาและทะเลหมอกสีเลือดรอบด้านก็สั่นไหวประหนึ่งฟ้าจะถล่มพสุธาจะทลาย

“แย่แล้ว!”

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

ทุกคนตกอกตกใจพากันตั้งท่าระวัง บ้างคว้าอาวุธเวทป้องกัน บ้างปล่อยจิตสัมผัสกวาดสำรวจรอบด้านไม่หยุด

ชั่วครู่ให้หลังเสียง “ฟู่” ก็ดังขึ้น แผ่นดินทั้งผืนถูกแสงสีเลือดซัดผ่านกลับกลายเป็นอ่อนนุ่มอย่างยิ่งแล้วเริ่มขยับยุกยิกประหนึ่งสิ่งมีชีวิต พร้อมกันนั้นของเหลวสีเลือดข้นเหนียวสายแล้วสายเล่าก็ผุดทะลักขึ้นมาจากรอยแยกบนพื้น

ไม่ว่าหลิ่วหมิง บุรุษผมม่วงหรือคนที่เหลือ ทุกคนล้วนหน้าถอดสีพากันลอยขึ้นฟ้าไปหลายจั้ง หมายหลบให้พ้น

ทว่าชั่วพริบตาที่สองเท้าทุกคนเพิ่งผละออกจากพื้น เสียงแหวกอากาศก็ดังลั่นขึ้นเบื้องล่าง หนวดเนื้อสีเลือดหนาเท่าชามข้าวเส้นแล้วเส้นเล่าดีดออกมาจากใต้พื้น พริบตาเดียวพุ่งเข้ามาหาพวกเขาประหนึ่งสายฟ้าแลบ

“นี่มันของบ้าอะไร น่าขยะแขยงเช่นนี้!”

สตรีชุดเขียวแห่งสำนักเฮ่าหรานเห็นหนวดเนื้อสีเลือดหลายเส้นบิดดิ้นไม่หยุดโอบล้อมเข้ามาพลันเผยสีหน้ารังเกียจแล้วกรนด่าเบาๆ คำหนึ่ง พู่กันหยกสีดำสนิทในมือยกขึ้น ประกายแสงสีดำหลายดวงบินพุ่งออกไปประจันหน้ากับหนวดเนื้อสีเลือดหลายเส้นที่อยู่ใกล้นางที่สุดทันที

เสียง “ชี่ๆ” ดังขึ้นสองสามหน!

หนวดเนื้อสีเลือดหลายเส้นที่อยู่ใกล้นางที่สุดก็ผุกร่อนอย่างรวดเร็วท่ามกลางแสงสีดำ กลายเป็นน้ำเลือดเจิ่งนองสาดกระจายบนพื้นในทันใด

ทว่าเมื่อน้ำเลือดเหล่านี้กระทบถูกพื้นดินสีเลือดที่ยุบพองไม่หยุดก็จมลงไปในร่องลึกใกล้ๆ อย่างประหลาด พื้นที่ข้างเคียงขยับยุกยิกพักหนึ่ง หนวดเนื้อสีเลือดเฉกเช่นเดิมก็ทะลวงออกมาตามต่อกันอีกเจ็ดแปดเส้นหวดเข้าใส่สตรีผู้นี้ต่อ!

อีกด้านหนึ่งบนใบหน้าของบุรุษผมม่วงไม่มีสีหน้าตระหนกสักนิด แสงสีม่วงบนร่างไหลเคลื่อนพักหนึ่ง แขนเสื้อก็สะบัด ฝ่ามือข้างหนึ่งยื่นออกมาเสกเงาฝ่ามือสีม่วงข้างหนึ่งกวาดเข้าใส่หนวดสีเลือดสิบกว่าเส้นเบื้องหน้า

เสียง “ปังๆ” ดังขึ้นต่อเนื่องไม่ขาด!

หนวดเนื้อเหล่านี้แต่ละเส้นหน้าเท่าชามข้าวเหมือนจะจัดการได้ไม่ยาก หลังฝ่ามือยักษ์สีม่วงกวาดถอนรากถอนโคน หนวดเนื้อสิบกว่าเส้นก็กลายเป็นกองเนื้อแหลกเหลวกองอยู่บนพื้น

แต่เนื้อแหลกเหลวเหล่านี้สัมผัสถูกพื้นดินฉับพลันก็กลายเป็นน้ำเลือดถูกหลุมดูดเข้าไปเช่นเดียวกัน สองสามลมหายใจให้หลัง หนวดเนื้อเกือบร้อยเส้นก็ทะลวงออกมาจากพื้นดินอย่างรวดเร็ว แห่รุมเข้าใส่เขา

หนวดเนื้อนี่เห็นชัดว่ายิ่งฟันยิ่งเพิ่ม จำนวนมีแต่เพิ่มไม่มีลด คล้ายไม่มีวันหมดไม่มีวันสิ้น!

นี่ทำให้ทุกคนที่นั่นส่วนใหญ่ตาค้าง

ในเวลานี้เองเสียงอสนีบาตบนท้องฟ้าก็ยิ่งน่าตระหนก ไอหมอกสีเลือดถาโถมก่อตัวจนเห็นเป็นใบหน้าผีร้ายพร่ามัวดวงหนึ่ง

นี่ทำให้ทุกคนตกตะลึง ไม่กล้าบุ่มบ่ามบินสูงขึ้นไปอีก ได้แต่ใช้สารพัดวิธีของแต่ละคนจัดการหนวดเนื้อเบื้องล่างไปก่อนชั่วคราว

หลิ่วหมิงคิ้วขมวดเล็กน้อยแล้วโยนโอสถหลายเม็ดเข้าปากในคราวเดียว เขาขยับตัวประหนึ่งภูตพรายบนท้องฟ้าไม่หยุด ในสถานการณ์ที่หลบไม่ได้เท่านั้นเขาถึงจะใช้วิชาคมวายุอันเรียบง่ายที่สุดสะบั้นหนวดเนื้อซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดเพื่อจะได้ฟื้นฟูพลังเวทของตนให้เร็วที่สุด

แม้เขาไม่ทราบเบื้องลึกเบื้องหลังมิติสีเลือดแห่งนี้ ทว่าคิดอย่างไรก็ไม่มีทางใช่สถานที่ดีอะไรแน่นอน ดังนั้นเขาย่อมต้องฟื้นฟูพลังเวทในร่างตนเป็นภารกิจสำคัญอันดับแรก เช่นนี้ถึงจะรับมือกับเรื่องใดๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้

ไม่ไกลนักข้างกายเขา เผิงเยวี่ยกลับใช้หุ่นนักรบเกราะที่ส่องแสงสีเหลืองขมุกขมัวหลายตัวเหวี่ยงค้อนปกป้องรอบตัวเขา สู้กับหนวดเนื้อสีเลือดที่โถมเข้ามารัดพันอย่างต่อเนื่อง ชั่วขณะหนึ่งไม่มีสิ่งใดให้กังวล

ส่วนชายหนุ่มรถเงิน เวลานี้บังคับรถเงินอาชาทองอีกครั้ง เขาพุ่งผ่านไปมาอยู่บนท้องฟ้าที่ไม่สูงนัก หลบการโจมตีของหนวดเนื้อระลอกแล้วระลอกเล่า

หลัวเทียนเฉิงเลือกใช้มาตรการป้องกันไม่โจมตีเช่นเดียวกัน สองแขนเหวี่ยงไม่หยุด มังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกสีเงินตัวแล้วตัวเล่ากู่ร้องโอบรอบกายเขา ถอยหลบหนวดเนื้อที่เข้าใกล้ร่างพลางพยายามมุ่งไปยังจุดที่หนวดเนื้อค่อนข้างน้อยเท่าที่จะเป็นไปได้

พี่น้องโอวหยางหันพลังชนกัน สองมือทำท่ามืออยู่กลางอกพร้อมกัน แสงเรืองรองสีม่วงขนาบด้วยสีเขียวแถบแล้วแถบเล่าแผ่พุ่งออกมาจากในร่างทั้งสองคนไม่ขาด ก่อตัวเป็นลูกบอลแสงใสสีม่วงเขียวประสานกันใบหนึ่งรอบร่างทั้งสองคน ทำให้หนวดสีเลือดชั่วขณะไม่อาจเข้าใกล้ร่างได้

มีสตรีชุดเขียวและชายหนุ่มผมม่วงเป็นตัวอย่างก่อนหน้า ยามทุกคนจัดการหนวดเนื้อเหล่านี้ส่วนใหญ่จึงไม่เหิมเกริมเข้าฟาดฟันอีก ทว่าพยายามขยับเพิ่มพื้นที่เท่าที่เป็นไปได้หลบหลีกการโจมตีของหนวดเนื้อเหล่านี้ พลางครุ่นคิดวิธีที่จะเอาตัวรอดออกไป

แน่นอนว่ามีบางคนไม่ได้คิดเช่นนี้