ตอนที่ 832 วิญญาณร้าย

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ณ หน้าประตูเมืองอู๋เริ่น ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยถูกโจมตีโดยพลังรุนแรงบางอย่างจนร่วงลงกระแทกพื้นและได้รับบาดเจ็บ

เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ทั้งสองก็พบกับร่างหนึ่งที่กำลังลอยตัวอยู่บนอากาศ

มันคือร่างที่ปกคลุมไปด้วยเสื้อคลุมสีดำและไม่อาจมองเห็นรูปลักษณ์ได้อย่างแน่ชัด ทว่าจากเสียงที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่ก็ทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่าคงจะเป็นบุรุษเพศ

“ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ก็จงอยู่ที่นี่ตลอดไปและกลายเป็นสมาชิกของกองทัพผีดิบนี้ซะเถอะ !”

น้ำเสียงแหบพร่าและน่าขนลุกดังขึ้นมาจากบุรุษเสื้อคลุมสีดำและพลังมหาศาลก็พุ่งตรงเข้ามาที่ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยอีกครา

ตูมมม !

แม้บาดเจ็บและถูกกดข่มด้วยแรงกดดันที่ทรงพลัง ปฏิกิริยาตอบสนองของฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยก็ไม่ได้เชื่องช้าแม้แต่น้อย ทั้งสองกระโดดออกไปเพื่อหลบหลีกการโจมตีได้อย่างหวุดหวิด ทว่าจุดที่ทั้งสองร่วงลงมาก่อนหน้านี้ก็กลายเป็นหลุมลึกขึ้นมาสองหลุมซึ่งแสดงให้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวของคู่ต่อสู้ในเสื้อคลุมสีดำทะมึน

“เจ้าวิญญาณร้าย หยุดเดี๋ยวนี้ !”

บุรุษวัยกลางคนที่เตือนให้ฉินอวี้โม่หลบหนีไปก่อนหน้านี้ก็ไม่อาจอยู่เฉยและตรงเข้ามายืนบังหน้าจอมยุทธ์หนุ่มสาวไว้อย่างรวดเร็ว

“ยินรุ่ย นี่เจ้าคิดจะขัดขวางข้างั้นรึ ?!”

ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘วิญญาณร้าย’ ตวัดสายตามองบุรุษวัยกลางคนและตะโกนกร้าวด้วยคำข่มขู่

“เจ้าวิญญาณร้าย เราติดอยู่ในเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้มานานหลายปีและไม่เคยพบหนทางที่จะได้ไปเกิดใหม่ พวกเขาเพียงบังเอิญผ่านมาที่เมืองนี้เท่านั้น เหตุใดจะต้องทำให้พวกเขาเผชิญกับความทุกข์ทรมานและตกอยู่ในชะตากรรมเช่นเดียวกับเราด้วยเล่า ?”

‘ยินรุ่ย’ แผ่พลังออกไปปัดเป่าแรงกดดันที่ปกคลุมฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยก่อนกล่าวขึ้นเบา ๆ

“เหอะ ยินรุ่ย ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีจิตใจที่เมตตาเช่นนี้ ทว่าน่าเสียดายจริง ๆ วันนี้ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเก็บทั้งสองไว้ที่นี่ตลอดไป !”

วิญญาณร้ายไม่สนใจวาจาของยินรุ่ยและแค่นเสียงเย็นชาขณะแผ่จิตสังหารแรงกล้าอย่างไม่ปิดบัง

“ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาก็มีจอมยุทธ์หลายคนที่บังเอิญผ่านมาที่เมืองอู๋เริ่นและกลายเป็นเพียงวิญญาณไร้ชีวิตเพราะข้าผู้นี้ ชะตากรรมของพวกเจ้าทั้งสองก็จะไม่ต่างกัน ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้า…หากพวกเจ้าตัดสินใจยอมจำนนด้วยตัวเอง ข้าจะเหลือร่างของพวกเจ้าไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ !”

แรงกดดันอันรุนแรงกดข่มฉินอวี้โม่อีกครั้ง ต้องยอมรับว่าความแข็งแกร่งของวิญญาณร้ายตนนี้เหนือกว่ายินรุ่ยมากนัก

“ไปตายซะ !”

ในฐานะจอมยุทธ์อัจฉริยะผู้โดดเด่นของตระกูลเมิ่งแห่งเมืองเทียนยง เมิ่งเยี่ยไม่เคยถูกข่มขู่เช่นนี้มาก่อน เขาจึงอดสบถออกมาไม่ได้และพุ่งตรงเข้าโจมตีวิญญาณร้ายอย่างไม่ลังเล

สวบ !

พริบตาต่อมา กระบี่ยาวก็ปรากฏขึ้นในมือของเมิ่งเยี่ยและแทงทะลุเข้าไปที่ร่างวิญญาณร้าย ทว่ามันกลับไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ

“ช่างไม่รู้จักประมาณตนเอาเสียเลย !”

ในทางตรงกันข้าม วิญญาณร้ายเพียงแสยะยิ้มขณะเหวี่ยงฝ่ามือวายุออกไปฟาดเข้าใส่เมิ่งเยี่ยอย่างจัง

พรวดดด !

“บัดซบ !”

เมิ่งเยี่ยล้มกระแทกพื้นอย่างแรงก่อนกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็รีบลุกขึ้นและเช็ดเลือดที่มุมปากอย่างรวดเร็วพร้อมกับสบถอย่างโกรธแค้น

“เมิ่งเยี่ย เขาน่าจะเป็นวิญญาณไร้ชีวิตซึ่งปราศจากกายเนื้อ การโจมตีธรรมดาทั่วไปคงจะทำร้ายอีกฝ่ายไม่ได้แน่”

ฉินอวี้โม่กล่าวย้ำเตือนเมิ่งเยี่ยและพอจะคาดเดาเกี่ยวกับตัวตนของวิญญาณร้ายตนนี้ได้

ไม่ว่าวิญญาณร้ายหรือยินรุ่ยก็น่าจะเป็นวิญญาณไร้ชีวิตของเมืองแห่งนี้เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ เพียงแต่ว่าพวกเขาอาจทรงพลังมากกว่าและสามารถรักษาสติการรับรู้ของตนเองไว้ได้

ยินรุ่ยมีลักษณะนิสัยที่ค่อนข้างอ่อนโยนและไม่ชอบการฆ่าฟัน ในทางตรงกันข้าม วิญญาณร้ายกลับมีจิตใจที่อาฆาตพยาบาทอย่างที่สุด สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตทำให้เขาเคียดแค้นและถูกครอบงำโดยเจตจำนงแห่งการฆ่า

และด้วยเหตุผลนี้ ความแข็งแกร่งของวิญญาณร้ายจึงเหนือกว่ายินรุ่ยเล็กน้อย

“เจ้าวิญญาณร้าย อย่าฆ่าใครอีกเลย บางทีมือของเราอาจจะแปดเปื้อนเลือดมากเกินไปจึงต้องตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้ เหตุใดจะต้องฆ่าคนเพิ่มและสร้างบาปให้ตนเองอีกเล่า ?”

ในขณะที่วิญญาณร้ายกำลังจะปล่อยการโจมตีรุนแรงใส่ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ย ยินรุ่ยก็ตัดสินใจเข้าไปขวางเพื่อปกป้องคนทั้งสองไว้

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และหมายมั่นที่จะหยุดการกระทำชั่วร้ายของอีกฝ่ายให้จงได้

“ไสหัวไปให้พ้น !”

อย่างไรก็ตาม วิญญาณร้ายเพียงเหวี่ยงฝ่ามือฟาดเข้าไปที่ยินรุ่ยอย่างแรงพร้อมกับตะโกนกร้าวออกไป

“ปล่อยพวกนางไปเถอะ จากนั้นเราจะปิดผนึกเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้ไว้เพื่อมิให้จอมยุทธ์ผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นก้าวเข้ามาได้อีก !”

ยินรุ่ยเหวี่ยงฝ่ามือวายุปัดป้องการโจมตีของอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัวและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ไม่มีทาง !”

วิญญาณร้ายปฏิเสธทันควันและกล่าวอย่างเยือกเย็น “การที่คนพวกนั้นส่งจอมยุทธ์รุ่นเยาว์เหล่านี้เข้ามาที่สมรภูมิรบเดนตายก็เพราะต้องการให้พวกเขาตายอยู่ที่นี่มิใช่รึ ? ปล่อยให้พวกเขาอยู่ที่เมืองอู๋เริ่นของเราตลอดไปเถอะ ที่นี่จะถือเป็นบ้านใหม่ของพวกเขา วิญญาณของพวกเขาจะได้ไม่ต้องล่องลอยไปทั่วทั้งสมรภูมิรบเดนตายอย่างไร้จุดหมาย”

ไม่คาดคิดว่าเขาจะทราบเกี่ยวกับสมรภูมิรบเดนตายและยังเปิดเผยถึงจุดประสงค์ที่ ‘คนพวกนั้น’ เลือกส่งจอมยุทธ์จำนวนมากเข้ามาในสถานที่ลึกลับแห่งนี้

ตูมมม !

วิญญาณร้ายฟาดฝ่ามือไปที่ยินรุ่ยจนกระเด็นถอยหลังออกไป จากนั้นเขาก็ตรงเข้าไปโจมตีฉินอวี้โม่อีกครา

“แม่สาวน้อย อย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยมนักเลย กล่าวโทษผู้ที่ส่งพวกเจ้าเข้ามาในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้จะดีกว่า พวกเขาไม่อยากให้พวกเจ้ารอดชีวิตออกไปและเลือกส่งพวกเจ้าเข้ามาทั้งที่ทราบดีว่าที่นี่เต็มไปด้วยภยันตรายมากเพียงใด”

เมื่อวิญญาณร้ายหยุดตรงหน้าฉินอวี้โม่ ฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยพลังความมืดก็เหวี่ยงฟาดตรงเข้าไปที่ฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว

“เหอะ หากคิดที่จะสังหารข้า มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีฝีมือมากพอรึไม่ !”

ฉินอวี้โม่แค่นเสียงเบา ๆ อย่างไม่เกรงกลัวขณะคิดวิธีตอบโต้ได้ในทันที

ปลายนิ้วมือของนางขยับเล็กน้อยและเปลวเพลิงร้อนระอุปรากฏขึ้น ส่งผลให้อุณหภูมิทั่วทั้งบริเวณเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

“บัดซบ ! นั่นมันเพลิงอะไรกัน ?!”

แน่นอนว่าวิญญาณร้ายที่โจมตีฉินอวี้โม่ได้รับผลกระทบจากเปลวเพลิงร้อนรุ่มและสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาพุ่งตัวหลบหลีกออกไปไกลทันทีขณะมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาหวาดหวั่น

“ในเมื่อเจ้าเป็นภูตผีวิญญาณ เจ้าก็ต้องกลัวเปลวเพลิงแห่งชีวิตของข้าเป็นแน่ หากคิดจะสังหารข้า ข้าก็อยากเห็นนักว่าเจ้าจะมีฝีมือสักแค่ไหน !”

แม้ซิวจะอยู่ในช่วงเก็บตัวจำศีล ทว่าฉินอวี้โม่ก็ยังสามารถใช้เพลิงแห่งชีวิตของมันได้อย่างอิสระ

ในเมื่อคู่ต่อสู้และประชากรเมืองอู๋เริ่นทั้งหลายเป็นวิญญาณที่ไร้ชีวิต เพลิงของซิวก็น่าจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเขาทั้งหมด ตราบใดที่สัมผัสมัน วิญญาณเหล่านั้นก็จะสลายหายไปและไม่มีแม้แต่ร่องรอยหลงเหลือ ไม่ว่าวิญญาณร้ายตรงหน้าจะแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็ไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่ามเมื่อเผชิญหน้ากับเปลวเพลิงที่ทรงพลังนี้

“ไม่แปลกใจเลยที่จะองอาจกล้าหาญเช่นนี้ ที่แท้เจ้าก็มีเพลิงที่ทรงพลังนี่เอง !”

สีหน้าของวิญญาณร้ายเหยเกเล็กน้อย เดิมทีเขามั่นใจว่าจะกำจัดฉินอวี้โม่ได้สำเร็จ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้ เพลิงจากปลายนิ้วมือของนางไม่เพียงแต่ดูน่าทึ่งเท่านั้น ทว่าพลังที่อัดแน่นในนั้นยังทำให้วิญญาณร้ายไม่กล้าที่จะทำสิ่งใดวู่วาม เขารู้สึกได้ว่าตราบใดที่เพลิงนั้นสัมผัสตน ตัวของเขาจะสลายหายไปในทันที

“คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากข้าเผาทั้งเมืองอู๋เริ่นนี้เสีย ?”

ฉินอวี้โม่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนหยุดลงที่วิญญาณร้ายและกล่าวอย่างมีเลศนัย

“แม่สาวน้อย อย่าเพิ่งวู่วามไปเลย เพลิงของเจ้าแกร่งกล้ามาก หากมันสัมผัสกับพวกเรา มันจะทำให้เราสูญสลายหายไปอย่างแน่นอน ในเมืองผีดิบแห่งนี้ พวกเราส่วนใหญ่เป็นผู้บริสุทธิ์ พวกเราติดอยู่ในเมืองแห่งนี้เพียงเพราะสาเหตุบางอย่างและไม่มีทางที่จะเกิดใหม่ได้ เราไม่มีความคิดที่จะเป็นศัตรูกับเจ้าเลย โปรดยั้งมือก่อนเถิด”

ยินรุ่ยเหาะไปตรงหน้าฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยน้ำเสียงระแวดระวังด้วยกังวลว่านางจะเผาเมืองอู๋เริ่นจริง

“เหอะ เจ้ามดปลวก คิดจะข่มขู่ข้าผู้นี้งั้นรึ ? เจ้ายังอ่อนแอเกินไป !”

จู่ ๆ วิญญาณร้ายก็แค่นเสียงเย็นชาและพลังสีดำทะมึนก็ปกคลุมร่างของฉินอวี้โม่ส่งผลให้นางขยับเขยื้อนไม่ได้ในทันที