ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 47 ตอนจบ (กลาง)

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมิ่งชิงที่เดินไปถึงเรือนรับรองแขกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก็เห็นว่ารองขุนพลหวังและอีกหลายคนกำลังหลับสนิทอย่างมีความสุข จึงยืนเงียบๆที่หน้าเตียงครู่หนึ่ง ค่อยสั่งให้บ่าวรับใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่อีกด้าน “ไปต้มน้ำแกงสร่างเมามา” 

 

 

ร่างของเขาเจือไปด้วยพลังที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว บ่าวรับใช้นั้นตื่นตระหนกจนใจสั่นไปนานแล้ว เมื่อได้ยินคำสั่ง ก็รีบวิ่งออกไปทันทีหลังจากรับคำ 

 

 

น้ำแกงสร่างเมาถูกยกเข้ามาแล้ว บ่าวรับใช้นำให้คนเหล่านี้ดื่มที่ละคน คนละชาม และรอเวลาอีกหนึ่งก้านธูป หลายคนก็เริ่มได้สติขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อเห็นสีหน้าดำทะมึนของเมิ่งชิง ที่เหมือนกับมหาเทพปีศาจองค์หนึ่งยืนตระหง่านอยู่หน้าเตียง ก็ใจสั่นกลัว ฤทธิ์ของสุราที่เหลืออยู่น้อยนิดนั้นก็ไม่เหลืออีกแล้ว มีสติตื่นเต็มตาขึ้นมาโดยพลัน 

 

 

“พวกเจ้าทั้งหมด ไปนำม้ามาจากเหลาสุรา และตามข้าไปนอกเมืองเดี๋ยวนี้!” 

 

 

เมิ่งชิงออกคำสั่งด้วยเสียงเย็นชา 

 

 

คนเหล่านี้นึกว่าเกิดเรื่องขึ้นในค่ายทหาร ก็ตกใจจนลุกขึ้นยืน และวิ่งออกไปข้างนอกทันที 

 

 

เมิ่งชิงที่ตามออกมาเช่นกัน ก็สั่งให้บ่าวรับใช้จูงม้ามาให้ พลิกตัวขึ้นหลังม้า และตามไปที่เหลาสุราติดๆ 

 

 

รองขุนพลหวังและหลายคนได้ยินเสียงม้าจากทางด้านหลัง ในใจก็ตระหนกลนลาน เดิมพวกเขาหลายคนมาเพื่อโน้มน้าวท่านรองแม่ทัพ ในยามนี้ท่านรองแม่ทัพไม่เป็นอะไรแล้ว แต่พวกเขาทุกคนกลับเมามายไม่ได้สติ ถ้าหากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในค่ายทหาร พวกเขาทั้งหมดก็คงเลี่ยงที่จะโดนโบยสิบไม้พลองทหารไม่ได้ 

 

 

ยิ่งคิดในใจของทุกคนก็ยิ่งหวาดกลัว ใช้พละกำลังทั้งร่างวิ่งไปอย่างรวดเร็ว จึงมาถึงเหลาสุราในไม่ช้า 

 

 

ภายในเหลาสุราแทบจะไม่มีแขกเหลืออยู่แล้ว จั่งกุ้ยกำลังตรวจสอบบัญชี เห็นคนหลายคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาในเหลาสุราด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ ก็ตกใจสะดุ้ง เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ “ท่านขุนพล พวกท่าน?” 

 

 

“ม้าของพวกข้าล่ะ รีบจูงมันออกมาเร็วเข้า!” 

 

 

รองขุนพลหวังที่หอบหายใจอยู่ร้องตะโกน 

 

 

จั่งกุ้ยรีบร้อนผงกศีรษะ และสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์จูงม้าออกมาทันที 

 

 

คนทั้งหมดพลิกตัวขึ้นหลังม้า และมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเมิ่งชิง 

 

 

เมิ่งชิงไม่เอ่ยวาจาใด มุ่งหน้าเดินไปทางประตูเป่ยเฉิงทันที 

 

 

คนหลายคนที่เดินทางมาได้ระยะหนึ่ง ก็รู้สึกว่าไม่ปกติ หลังจากสบตากันแล้ว รองขุนพลหวังก็กัดฟันเร่งม้าเดินขึ้นไปด้านหน้า ถามอย่างกล้าหาญว่า “ท่านรองแม่ทัพ นี่พวกเรา…” 

 

 

เมิ่งชิงกวาดสายตามองไป ขุนพลหวังหนังศีรษะชาวาบ วาจาหลังจากนั้นก็ถูกกลืนกลับลงไปทันที 

 

 

เมิ่งชิงพักอยู่นอกเมืองเป่ยเฉิงมานานหลายปี ไปๆ กลับๆ ทุกวัน ทหารที่รักษาเมืองจำเขาได้ ไม่รอให้เขาเอ่ยอันใด ก็รีบยิ้มประจบ สอบถามว่า “คุณชายเมิ่ง ดึกดื่นขนาดนี้เพิ่งจะกลับบ้านหรือขอรับ” 

 

 

ในเวลาเดียวกันกับที่เอ่ยพูด ก็ปลดสลักประตู และเปิดประตูเมืองให้มีช่องว่างเล็กๆ 

 

 

เมิ่งชิงเร่งม้าควบผ่านช่องว่างบริเวณประตูนั้นออกไป “ขอบคุณ พรุ่งนี้ข้าจะเลี้ยงข้าวพวกท่าน” 

 

 

ขุนพลหวังและคนอื่นๆ ที่ไม่ทราบสาเหตุ ก็ขี่ม้าตามออกไป 

 

 

ทหารเฝ้ารักษาประตูเมืองผงกศีรษะค้อมเอวเป็นการขอบคุณ และปิดประตูเมืองใหม่ 

 

 

นับตั้งแต่ถูกเมิ่งจงจวี่ขับไล่ออกจากตระกูล ยามนี้ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้ว เมิ่งชิงไม่ได้ออกจากประตูเป่ยเฉิงอีกเลย ในตอนนี้เมื่อเห็นเส้นทางที่คุ้นตาเบื้องหน้า ก็ไม่รู้ว่าในใจรู้สึกเช่นไร เพื่อมารดาของตนเอง เพื่อที่จะแก้ไขความเสียใจที่ไม่ได้ดูแลมารดาผู้ให้กำเนิดตนเองมานานหลายปีนี้ให้สมบูรณ์ เขาละทิ้งท่านปู่ ท่านลุงใหญ่ ท่านลุงรอง และท่านลุงสามทั้งครอบครัวที่เลี้ยงดูตนเองจนเติบใหญ่มา ก้าวเดินออกจากตระกูลนั้นอย่างห้าวหาญโดยไม่ยอมหวนกลับ ในวันนี้ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่า เขาผิดไปแล้ว ผิดมากเกินไป มารดาผู้ให้กำเนิดเขา ก็ยังคงเหมือนกับความทรงจำในวัยเยาว์ เห็นแก่ตัว ละโมบ ระรานผู้อื่น แม้ว่าเขาจะมอบชีวิตที่ดีมากกว่านี้ให้นาง นางก็ไม่พอใจ เช่นนี้ก็ดี คืนวันนี้เขามีสติสัมปชัญญะเต็มที่แล้ว ช่วงชีวิตที่เหลือจะไม่คิดเพ้อฝันถึงความรักของมารดาอีก นับจากวันนี้เป็นต้นไป เขาเป็นคนตระกูลเมิ่ง ไม่มีความเกี่ยวอันใดกับนาง หลี่ชุ่ยฮวาอีก 

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว ก็ตวัดแส้ม้า ควบม้ามุ่งหน้าตรงไปยังจวน 

 

 

ขุนพลหวังและอีกหลายคนก็รีบติดตามอยู่ด้านหลัง 

 

 

ยามนี้ดึกมากแล้ว ระหว่างทางไร้ผู้คน เสียงกุบกับของฝีเท้าม้าดังขึ้นในเส้นทางที่เงียบสงัดสายนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่ายามนี้เมิ่งชิงร้อนอกร้อนใจเพียงใด 

 

 

เมิ่งชิงควบม้าด้วยความเร็วสูง ผ่านไปไม่นานก็ถึงหน้าจวน จึงพลิกตัวลงจากม้า คุกเข่าอยู่ที่หน้าประตู 

 

 

ขุนพลหวังและคนอื่นๆ ตกใจสะดุ้ง “ท่านรองแม่ทัพ นี่ท่าน…” 

 

 

“เจ้าไปเคาะประตู…” 

 

 

เมิ่งชิงไม่ได้อธิบาย แต่สั่งเขาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม 

 

 

ขุนพลหวังไม่กล้าล่าช้า รุดหน้าขึ้นไป และจับแหวนประตูทองเหลืองเคาะดังตึงตัง 

 

 

ภายในจวนไม่มีบ่าวรับใช้คอยปรนนิบัติ แต่มีองครักษ์ลับคอยเฝ้าดูแล ทุกวันล้วนผลัดกันเข้าเวร เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังกระชั้น ก็ระแวดระวังขึ้นมาทันที เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้ม “ใคร?” 

 

 

“ข้าเอง!” 

 

 

เมิ่งชิงตะโกนตอบเสียงดัง 

 

 

องครักษ์ลับจำน้ำเสียงเขาได้ หลังจากชะงักไปเล็กน้อยก็รีบเปิดประตูใหญ่ทันที เมื่อเห็นเขาคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตู ก็รีบถามว่า “นายน้อยชิง ท่าน…” 

 

 

“ไปบอกคนในจวนว่า ข้าหน้าด้านกลับมาแล้ว” 

 

 

องครักษ์ลับไม่กล้ารีรอ รีบเข้าไปรายงานแก่เมิ่งเสียนในทันที 

 

 

เมิ่งเสียนตกตะลึง จึงรีบไปบอกเมิ่งจงจวี่ที่อยู่ในเรือนก่อน 

 

 

เมิ่งจงจวี่อายุมากแล้ว จึงพักผ่อนไปนานแล้ว เมื่อได้ยินวาจาของเมิ่งเสี่ยน ก็รีบลุกขึ้นมาทันที เมื่อยันตัวลุกขึ้นได้ครึ่งหนึ่งก็เอนตัวนอนลงไป “ในเมื่อเขาอยากจะคุกเข่า ก็ให้เขาคุกเข่าไปเถอะ บอกคนที่เหลือว่า ใครก็ไม่อนุญาตให้ไปสนใจ กลับเข้าไปนอนในห้องให้หมด ถ้าหากให้ข้ารู้ว่า มีใครกล้าไม่เชื่อฟังคำของข้า พรุ่งนี้ข้าจะไล่เขาออกจากตระกูล 

 

 

เมิ่งเสียนตะลึงค้าง ผ่านไปครู่หนึ่งก็ลองเอ่ยขอร้องว่า “ท่านปู่ ถึงอย่างไรชิงเอ๋อร์ก็ยังเด็ก ยากที่จะหลีกเลี่ยง…” 

 

 

“ทำไม กระทั่งเจ้าก็ไม่ฟังคำพูดของข้าแล้วหรือ” 

 

 

เสียงของเมิ่งจงจวี่เจือไปด้วยโทสะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเอ่ยเร็วเกินไป หรือว่ามีโทสะมาก หลังจากเอ่ยวาจาถึงได้ไอออกมาอยู่หลายครั้ง 

 

 

เมิ่งเสียนตกใจแทบแย่ รีบเอ่ยว่า “ท่านปู่ ท่านอย่าโมโห ท่านอย่าได้โมโหเลย พวกเราล้วนเชื่อฟังท่าน ไม่ไปสนใจเขา” 

 

 

เมิ่งชิงคุกเข่าอยู่นอกจวนหนึ่งคืน ผู้คนที่อยู่ในจวนก็ไม่ได้นอนหลับทั้งคืนเช่นกัน 

 

 

ขุนพลหวังและคนอื่นๆ โอดครวญด้วยความคับข้องใจ เจ้าดูสิว่าพวกเขาทุกคนล้วนถึงคราวเคราะห์ ไม่มีเรื่องอันใด ก็เชิญท่านรองแม่ทัพไปร่ำสุรา ครานี้ดีเลย ไม่เพียงแต่พบเห็นในเรื่องที่ไม่ควรเห็น ยังจะต้องตากลมหนาวทั้งคืนอย่างไร้เหตุผลอีกด้วย 

 

 

ฟ้าสว่างแล้ว ขุนพลหวังและคนอื่นๆ ล้วนมีท่าทางโงนเงนแล้ว แต่เมิ่งชิงยังคงหลังตรง มองเข้าไปในจวนอันคุ้นตา นึกถึงว่าหลังจากนี้เขาจะได้อยู่กับคนในครอบครัวที่นี่อย่างรักใคร่ปรองดองกันแล้ว แม้ว่าร่างกายจะเหน็บหนาว แต่ในใจกลับร้อนรุ่มเป็นอย่างมาก 

 

 

ในใจเมิ่งจงจวี่นั้นรู้สึกสงสารอย่างสุดซึ้ง อดกลั้นอยู่หลายครั้ง ก็อดกลั้นต่อไปไม่ไหว คิดอยากจะสั่งให้คนไปเรียกเมิ่งชิงเข้ามา แต่เขายังคงฝืนอดกลั้นต่อไป ตระกูลเมิ่งในตอนนี้ ไม่เหมือนในตอนที่อยู่ในชนบทอีกแล้ว ทุกความเคลื่อนไหว เหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ใดๆ ล้วนสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนในเมืองหลวงได้ การกระทำของเมิ่งชิงได้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตระกูลก่อนแล้ว และสร้างความเดือดให้กับโยว์เอ๋อร์และเซวียนเอ๋อร์ด้วยเช่นกัน ในยามนี้การที่เขาสำนึกผิดและกลับตัวกลับใจ แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี แต่ก็ไม่สามารถให้อภัยเขาได้อย่างง่ายดายเช่นกัน 

 

 

ผู้คนในจวนและนอกจวนล้วนไม่ได้นอนกันทั้งคืน วันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่ทันสว่าง คนทั้งหมดก็รวมตัวกันอยู่ในเรือนของเมิ่งจงจวี่ เพื่อช่วยขอร้องให้กับเมิ่งชิง