บทที่ 837 เวลาอันเหมาะสม

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 837 เวลาอันเหมาะสม

“หึหึ เด็กคนนี้กำลังทำลายอนาคตตัวเองแท้ๆ”

เจิ้งหลงเซียงคิดด้วยความสะใจ

หน้าที่เจรจาขอสงบศึกกับชาวทะเลในครั้งนี้ ต่อให้เป็นผู้มีพลังระดับเซียน ก็คงยากที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบที่ตามมารอดพ้น

หลินเป่ยเฉินกำลังจะต้องกลายเป็นคนบาปของจักรวรรดิเป่ยไห่

“หลินเป่ยเฉิน…”

เกาเฉิงฮั่นอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

หลินเป่ยเฉินขัดขึ้นว่า “หยุดก่อน พี่ใหญ่ต้องเรียกข้าว่าท่านเจ้าเมืองแล้วนะขอรับ ฮ่าฮ่าฮ่า”

เกาเฉิงฮั่นขมวดคิ้วหน้ายุ่ง

เพิ่งได้ตำแหน่งไม่กี่ลมหายใจ ก็บ้าอำนาจแล้วหรือนี่

“ท่านเจ้าเมือง ไม่ทราบว่าท่านมีแผนจะทำอย่างไรต่อไป?” เกาเฉิงฮั่นจำเป็นต้องเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกเด็กหนุ่มใหม่ทั้งหมด

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ข้าวางแผนจะเข้าไปเจรจาสงบศึกกับชาวทะเล เมื่อจัดการเรื่องราวนี้จบลง ข้าก็จะเดินทางไปนครหลวงพร้อมกับพวกท่าน”

เด็กหนุ่มหันหน้ากลับมามองที่เจิ้งหลงเซียงและพูดต่อ “ส่วนท่าน ใช่ ข้าหมายถึงท่านนั่นแหละ ไม่ต้องมองใครที่ไหน…จากวันนี้ไป ท่านต้องเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของข้า ไม่ว่าข้าสั่งคำใด ท่านก็ต้องทำตามคำสั่ง ห้ามบิดพลิ้วเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”

หัวใจของเจิ้งหลงเซียงกระตุกวูบ หน้าที่ของเขาคือการนำราชโองการมาส่งเท่านั้น แล้วทำไมเขาต้องไปเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของหลินเป่ยเฉินด้วย… แต่เมื่อเจิ้งหลงเซียงเงยหน้าขึ้นสบตามองเด็กหนุ่มอย่างไม่พอใจ เขาก็พบว่าหลินเป่ยเฉินมีแววตาดุร้ายเสียจนตนเองต้องรับคำออกไปโดยไม่รู้ตัว “เข้าใจแล้ว”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความไม่ชอบใจ “นี่เป็นข้ากำลังบังคับใจท่านหรือไม่?”

“มิได้บังคับ” เจิ้งหลงเซียงตอบกลับไป

“ทุกคนได้ยินแล้วใช่ไหม ท่านเจิ้งอาสาทำหน้าที่นี้ด้วยตนเอง ข้าไม่ได้บังคับเขาสักหน่อย” หลินเป่ยเฉินพูดออกมาหน้าตาเฉย

ทุกคนล้วนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินหันขวับกลับไปมองที่หลิงจุนเซวียนและภรรยาอีกครั้ง ก่อนประสานมือทำความเคารพ “ท่านลุง ท่านป้า บัดนี้ข้ามีสถานะเป็นเจ้าเมืองและผู้ปกครองมณฑลเฟิงอวี่ หากพวกท่านมีเรื่องเดือดร้อนอันใด ได้โปรดรีบบอกข้าอย่าได้เกรงใจ ใครก็ตามที่มันคิดไม่ดีต่อท่านผู้อาวุโสหลิงไท่ซวี ข้าจะส่งมันไปลงนรกด้วยตนเอง…”

หลังจากนั้น สายตาของเด็กหนุ่มก็หันไปจ้องมองที่หลิงซือถุยซึ่งเพิ่งจะคลานออกมาจากใต้กองหินได้สำเร็จ

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของชายชรากระตุกระริกด้วยความโกรธแค้น แต่เมื่อสบตามองเด็กหนุ่ม เขาก็ต้องรีบก้มหน้ามองพื้นดินทันที

หลิงจุนเซวียนและภรรยาตกอยู่ในสภาพหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

หลินเป่ยเฉินหันกลับมาประสานมือทำความเคารพบิดามารดาของหลิงเฉินอีกครั้ง “นี่เวลาก็ล่วงเลยมาไม่น้อยแล้ว ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อนนะขอรับ”

การแสดงประจำวันนี้จบลงแล้ว เรื่องราวต่อจากนี้สมควรกระทำด้วยความระมัดระวัง จะใจร้อนวู่วามไม่ได้เด็ดขาด

“เดี๋ยวข้าเดินออกไปส่งนะเจ้าคะ”

หลิงเฉินรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

หลินเป่ยเฉินส่ายศีรษะมองหน้าเด็กสาว ก่อนจะฉีกยิ้มสดใสราวกับแสงจันทร์บนท้องฟ้า ช่วยเสริมสร้างให้ใบหน้าของเขาหล่อเหลามากยิ่งขึ้น หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “วันเวลาที่พวกเราจะได้ใช้ด้วยกันยังมีอยู่อีกมากนัก เหตุไฉนเจ้าต้องรีบร้อน… บัดนี้เจ้าอยู่ดูแลบิดามารดาก่อนเถอะ แล้วพวกเราจะได้กลับมาพบกันใหม่แน่นอน”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเป่ยเฉิน ดวงตาของหลิงเฉินก็เป็นประกายวิบวับขึ้นมาในทันใด

หลินเป่ยเฉินเดินนำผู้คนจากไป

ห้องรับแขกตกอยู่ในความเงียบ

คนเราเมื่อมีพลังและอำนาจสูงส่งก็สามารถทำได้ทุกอย่างตามใจชอบจริงๆ

บรรดาคนใหญ่คนโตประจำเมืองหันมองหน้ากัน เรื่องราวจบลงเช่นนี้ ดูเหมือนพวกเขาจะทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว

เฉียนเฟยเซวียรู้สึกละอายแก่ใจเหลือเกิน แต่ยังไม่ทันที่จะได้ปรับเปลี่ยนให้บรรยากาศกลับมาผ่อนคลายเช่นเดิม เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นที่ด้านนอก

ทุกคนสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ

ไม่กี่ลมหายใจต่อมา เด็กรับใช้ก็วิ่งเข้ามารายงาน

ปรากฏว่าเป็นเสียงกรีดร้องของเว่ยซือเซวียนซึ่งใช้เวลาระหว่างนี้นั่งรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่ด้านนอก เขากำลังกัดฟันกรอดและสบถด่าใครบางคนด้วยความเจ็บใจ หลินเป่ยเฉินเดินผ่านไปได้ยินเข้าพอดี การทุบตีจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้คุณชายหนุ่มจากตระกูลเว่ยแขนหักขาหัก ต้องกลับมานั่งโคจรพลังรักษาอาการบาดเจ็บต่ออีกครั้ง

พวกเขาอดรู้สึกเห็นใจเว่ยซือเซวียนไม่ได้

ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่น่าสงสารเหลือเกิน

เมื่อกลายเป็นศัตรูของหลินเป่ยเฉินเสียแล้ว ก็เท่ากับชีวิตของเว่ยซือเซวียนจะต้องตกอยู่ในฝันร้ายไปอีกนานแสนนาน

ครึ่งชั่วยามต่อมา

เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านผู้อพยพ หลินเป่ยเฉินก็เรียกตัวกลุ่มคนสนิทของเขามาเข้าประชุมและอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด

“นับเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย”

ฉุยเฮาเฟิงถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

เขาสามารถเดาได้ว่าเพราะเหตุใดหลินเป่ยเฉินถึงทำเช่นนี้

หมู่บ้านผู้อพยพในเมืองพื้นที่เขตสองเพิ่งก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยและกำลังตั้งหลักตั้งฐาน ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเข้ารูปเข้ารอย หากปล่อยให้พวกชาวทะเลยึดครองเมืองเจาฮุยได้สำเร็จ ความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาของหลินเป่ยเฉินก็จะสลายหายวับไปในพริบตาเดียว

คุณชายหลินเป็นคนที่รักเงินทองมากที่สุดในชีวิต ดังนั้น เขาคงไม่ยอมเห็นสิ่งที่ตนเองสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากต้องพังทลายลงไปต่อหน้าต่อตาเด็ดขาด

แต่ถึงอย่างนั้น นี่ก็เป็นการตัดสินใจที่เลวร้ายมาก

หากเกิดความผิดพลาดเพียงนิดเดียว ความเสียหายก็จะยิ่งร้ายแรงมากกว่าเดิม

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริงว่า “ท่านเจ้าเมืองฉุยอาจจะมองว่าการตัดสินใจของข้าช่างโง่เขลา แต่ท่านอย่าลืมสิขอรับว่าข้าเป็นใคร ข้าคือหลินเป่ยเฉินผู้หล่อเหลา ใจดีมีเมตตา หากปล่อยให้เมืองนี้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาวทะเล ชาวเมืองนับสิบล้านคนก็จะกลายเป็นทาสของพวกมัน ชีวิตเดิมทีที่ยากลำบากอยู่แล้วก็จะทรมานแสนสาหัสมากกว่าเดิม”

“เมื่อเวลานั้นมาถึงจริงๆ เหล่าผู้ร่ำรวยและขุนนางใหญ่โตคงไม่ได้รับผลกระทบอันใด แต่ชาวเมืองและผู้อพยพเล่าขอรับ จะมีคนมากมายสักเท่าไหร่กันที่ต้องออกไปตายภายใต้อากาศอันหนาวเหน็บ? ท่านคิดว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะสามารถอยู่รอดได้ยาวนานสักเท่าไหร่? ความหิวโหยและความอดอยากจะแผ่กระจายราวกับเชื้อโรคร้าย ศพคนตายจะต้องกองสูงเป็นภูเขาเลากา เพียงแค่นึกภาพนั้นอยู่ในใจ ข้าก็รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก แล้วท่านเจ้าเมืองฉุยคิดว่าข้าจะปล่อยให้ความเลวร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นได้จริงๆ หรือขอรับ?”

ทุกคนถึงกับตกตะลึงในคำพูดของหลินเป่ยเฉิน

พวกเขาซาบซึ้งใจไปกับวิสัยทัศน์ของหลินเป่ยเฉิน

จิตใจอันเสียสละเช่นนี้จะหาได้จากที่ไหนอีก?

เมื่อหลินเป่ยเฉินไม่ได้มีอาการสมองเสื่อมกำเริบ เขาก็ถือเป็นเด็กหนุ่มที่ควรค่าต่อการได้รับความเคารพเทิดทูนโดยแท้จริง

เถียนเถียนผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยประชาสัมพันธ์ของค่ายผู้อพยพรีบเปิดสมุดออกและจดข้อความลงไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความซาบซึ้งใจสุดขีด

อดีตอาจารย์ฝึกหัดอยากจะบันทึกทุกถ้อยคำที่ได้ยินเมื่อสักครู่นี้ นำไปเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับรู้ถึงความเสียสละของหลินเป่ยเฉิน

หลินเป่ยเฉินพอใจมากๆ กับการตอบรับของเถียนเถียน

ในกลุ่มผู้ติดตามทั้งหมดของเขา หลินเป่ยเฉินมีความประทับใจในตัวเถียนเถียนมากที่สุดแล้ว

อดีตอาจารย์ฝึกหัดผู้นี้มีประโยชน์มากกว่าที่เขาคิดหลายเท่า

“คุณชายหลินเป็นห่วงเป็นใยพวกเราถึงขนาดนี้ ข้าน้อย… ฮื่อออ ข้าน้อยช่างซาบซึ้งใจยิ่งนัก”

อดีตเถ้าแก่สวนแตงโมนามว่าอู๋เฟิ่งกูไม่ปล่อยให้โอกาสดีเช่นนี้หลุดลอยไปเด็ดขาด เขารีบยกมือขึ้นปิดบังใบหน้า ร้องไห้กระซิกๆ

นับตั้งแต่ที่เดินทางมาถึงเมืองเจาฮุย ชายอ้วนก็รู้สึกว่าตนเองถูกลดคุณค่าลงมากกว่าเดิมหลายเท่า

แม้แต่จวงปู้โจวกับอานมู่ซี ซึ่งก่อนหน้านี้มีสถานะต่ำต้อยกว่าเขา บัดนี้ทั้งสองคนนั้นก็มีสถานะสูงส่งกลายเป็นคนใหญ่คนโตในค่ายผู้อพยพไปแล้ว

บัดนี้ อู๋เฟิ่งกูจึงคิดว่าตนเองต้องทําอะไรสักอย่าง มิฉะนั้น ตัวตนของเขาอาจจะเลือนหายไปตลอดกาลเลยก็เป็นได้

แต่เถ้าแก่สวนแตงโมแสดงออกมาอย่างชัดเจนมากเกินไป

หลินเป่ยเฉินดูออกแต่ไม่ได้พูดเปิดโปง อีกอย่าง ขณะนี้เขาจะพูดจาสามหาวสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เพราะสิ่งที่ตนเองต้องการที่สุดในตอนนี้คือผู้สนับสนุน ไม่ใช่ผู้ต่อต้าน ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงกล่าวตอบกลับไปด้วยความซาบซึ้งใจเช่นกันว่า

“นี่คือสิ่งที่ข้าสมควรทำ ในเมื่อต้องมีใครสักคนตัดสินใจก้าวลงสู่หุบเหวนรก… หากข้าไม่เป็นผู้เสียสละเสียเอง แล้วจะให้ใครมาเสียสละได้อีก?”

ทุกคนนิ่งเงียบ

น้ำตาไหลพราก

พวกเขาต่างซาบซึ้งใจไปกับคำพูดของหลินเป่ยเฉิน

เด็กหนุ่มพอใจกับการตอบรับของทุกคนมาก

เขาชำเลืองมองกลับมาที่เถียนเถียนและกล่าวว่า “ข้อความเหล่านี้ ท่านต้องจดจำให้ขึ้นใจ อย่าลืมนำไปเผยแพร่ให้ทุกคนได้รับรู้”

เถียนเถียนกล่าวตอบว่า “คุณชายได้โปรดวางใจ ข้าจะนำไปเผยแพร่โดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความชื่นชม “ข้าต้องการผู้ติดตามที่เลียเก่งเช่นท่านนี่แหละ… ประเสริฐ”

หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย เด็กหนุ่มก็กล่าวต่ออีกครั้ง “เอาละ สิ่งที่พวกเราต้องทำหลังจากนี้ก็คือการสร้างจวนผู้ว่าอยู่ในเมืองพื้นที่เขตหนึ่ง และจวนผู้ว่าหลังนี้จะต้องมีขนาดใหญ่โตแข็งแกร่ง มีความสูงเทียบเท่ากับป้อมบัญชาการรบ ไม่ว่าจะเป็นคนงานหรือวัสดุก่อสร้าง สามารถเบิกใช้ได้จากงบประมาณประจำเมืองโดยทันที… อ้อ จริงด้วยสิ อีกไม่นานก็จะปีใหม่แล้ว เดี๋ยวข้าจะหาโอกาสขึ้นเงินเดือนและค่าแรงให้ทุกคนเป็นของขวัญปีใหม่ก็แล้วกัน”

เหลียงหยงจงดวงตาลุกวาว

ฟังดูน่าจะมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้นไม่ใช่น้อย

หวังจงก็มีดวงตาลุกวาวเช่นกัน

เขามองเห็นช่องทางทำเงินจากเรื่องราวนี้ได้เยอะมากทีเดียว

หากการเจรจาสงบศึกผ่านไป การค้าขายภายในตัวเมืองก็จะกลับมาเป็นปกติ และเมื่อถึงเวลานั้น บรรดาพ่อค้ามากมายก็คงไม่มีทางเลือก นอกจากยอมเป็นพันธมิตรกับหลินเป่ยเฉินและส่งมอบเงินทุนพิเศษเป็นค่าคุ้มครองให้แก่เขาเดือนละจำนวนไม่น้อย

ฉุยเฮาเฟิง ฉุยหมิงโหลว หลิวฉีไห่ พานเว่ยหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็เริ่มประชุมแผนการเตรียมรับมือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างเคร่งเครียด

สถานการณ์ในขณะนี้เหมือนพวกเขายืนอยู่บนยอดเขาสูง และกำลังจะกระโดดลงไปจากยอดเขา ซึ่งสิ่งที่ทุกคนต้องทำก็คือเตรียมตัวรับแรงกระแทกที่จะตามมา

กว่าจะประชุมกันเสร็จเรียบร้อย เวลาก็ล่วงเลยเข้าช่วงเย็นย่ำแล้ว

หลินเป่ยเฉินกลับเข้าไปในกระโจมหลังใหญ่บนยอดไม้สูง เฉียนเหมยกับเฉียนเจินสองสาวรับใช้รอคอยเขาอยู่ที่นั่นพร้อมด้วยอ่างน้ำอุ่นและเสื้อผ้าชุดใหม่สะอาดสะอ้าน เมื่อได้เวลาอันสมควร เด็กหนุ่มก็กระโดดขึ้นไปเหยียบบนกระบี่และบินตรงไปยังวิหารประจำเมืองทันที

เขากำลังคิดว่าตนเองควรปรึกษาแผนการกับเยว่เว่ยหยางเช่นกัน

“เจ้ายังจำทางกลับมาที่นี่ได้อยู่อีกหรือ?”

ด้านในวิหารส่วนกลาง เยว่เว่ยหยางยืนมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาคมกริบยิ่งกว่าคมกระบี่

หลินเป่ยเฉินกระพริบตาปริบๆ

เมื่อรับฟังคำถามของเยว่เว่ยหยาง ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าตนเองเหมือนกับเป็นสามีที่เถลไถลไม่ยอมกลับบ้าน และถูกภรรยาจับได้เลยนะ

“เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่ล่วงเลยมานานแค่ไหนแล้ว?”

ความหมายของคำถามนี้ก็คือ

‘ที่ผ่านมาเจ้าหายหัวไปอยู่ที่ไหน?’

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากมานะ แต่ช่วงนี้ข้างานยุ่ง มีเรื่องราวต่างๆ ให้คอยจัดการมากมาย” หลินเป่ยเฉินรีบคิดหาข้อแก้ตัวอย่างรวดเร็ว และเขาก็นึกถึงพระราชโองการขึ้นมาเป็นอย่างแรก “โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสำคัญเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าด้วยเช่นกัน ข้าจำเป็นต้องจัดการทุกอย่างให้สำเร็จลุล่วงไปก่อน ถึงจะมาหาเจ้าได้อย่างปลอดโปร่งโล่งใจ”

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง

“การจัดระดับจักรวรรดิ? การสละดินแดนเพื่อขอสงบศึก?”

เยว่เว่ยหยางมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด และดวงตาของนางก็ทอประกายวูบวาบอย่างน่ากลัวและน่าพิศวงในเวลาเดียวกัน

“หา นี่เจ้าไม่ได้รู้ข่าวเลยหรือ?”

หลินเป่ยเฉินถามด้วยความไม่อยากเชื่อ

เยว่เว่ยหยางหันกลับมามองหน้าเขาและพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ตำแหน่งบนดินแดนทวยเทพตกเป็นของเทพีกระบี่ตัวปลอม ช่วงเวลาระหว่างนี้ นางปีศาจนั่นก็ไม่สนใจใยดีโลกมนุษย์… แต่นี่ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ล้างกระดานเช่นกัน ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก แต่ถ้าเจ้าจะออกเดินทางไปนครหลวงเมื่อไหร่ เจ้าต้องพาข้าไปด้วยรู้หรือไม่”

หลินเป่ยเฉินพอจะคาดเดาปฏิกิริยาตอบรับจากเด็กสาวได้อยู่แล้ว

“ไม่มีปัญหา ข้าต้องพาเจ้าไปด้วยแน่นอน”

เขาตอบกลับโดยไม่ลังเล

เยว่เว่ยหยางมีพลังสูงส่งถึงเพียงนี้ ยิ่งอยู่ใกล้ตัวเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งปลอดภัยขึ้นเท่านั้น

เมื่อได้ยินคำตอบของเด็กหนุ่ม สีหน้าของเยว่เว่ยหยางก็แสดงความอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย

“ถ้าอย่างนั้นเรารีบฝึกวิชากันดีกว่า ยิ่งเจ้าแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ เวลาอยู่ในนครหลวง เจ้าก็จะดูแลตัวเองได้ดีขึ้นเท่านั้น”

เยว่เว่ยหยางพูดพร้อมกับเริ่มเปลื้องเสื้อผ้าออกอย่างแช่มช้า

เผยให้เห็นถึงเรือนร่างขาวเนียนที่สะท้อนประกายระยิบระยับกับแสงไฟในตัววิหาร

“เดี๋ยวสิ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับนครเจาฮุย…” หลินเป่ยเฉินพยายามโบกมือห้ามปราม “ข้าคิดว่าพวกเราสมควรคุยเรื่องนี้กันก่อน…”

“ฝึกเสร็จค่อยคุยก็ได้”

เยว่เว่ยหยางตอบเสียงเรียบ

“ฮื่อ”

หลินเป่ยเฉินไม่รู้จะพูดอย่างไรอีกแล้ว

ช่างมันเถอะ เขารู้ดีอยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้

วิญญาณของเทพกระบี่ในร่างเยว่เว่ยหยางไม่สนใจสิ่งอื่นใด นอกจากการทวงคืนบัลลังก์ของนางกลับคืนมาเพียงอย่างเดียว

ผ่านไปหลายชั่วยามหลังจากนั้น

นับเป็นค่ำคืนที่หลินเป่ยเฉินทำศึกหนัก

รุ่งเช้า ตอนที่เด็กหนุ่มเหยียบกระบี่บินออกมาจากวิหาร เยว่เว่ยหยางยังคงนอนหลับใหลอย่างหมดแรง

หลินเป่ยเฉินรู้สึกสดชื่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาตัดสินใจว่าก่อนฟ้าสางจะต้องลอบเข้าไปพบกับเหยียนอิงให้ได้

ไม่มีเวลาใดจะเหมาะสมมากไปกว่านี้อีกแล้ว