ตอนที่ 1045 ปฏิบัติการจู่โจมสายฟ้าแลบ (1)

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1045 ปฏิบัติการจู่โจมสายฟ้าแลบ (1)

“เจิ้นได้ให้กำเนิดโอรสที่โง่เขลามาหนึ่งขโยง มีหนึ่งคนที่ปราดเปรื่องทว่ากลับต้องการจะเอาชีวิตของเจิ้น จะยังทำอันใดได้อีกกัน ? เจ้าอยากได้บัลลังก์มากมิใช่หรือ ? เจิ้นจะมอบให้เจ้าประเดี๋ยวนี้เลย ! ”

ในตอนนั้นเองเยลู่ซ่วยถึงได้สติขึ้นมา ถ้าหากซูฉางเซิงเคลื่อนทัพเข้ามายังเมืองต้าติ้ง มิว่ากองทัพใดในราชวงศ์เหลียวก็มิอาจต้านทานแสงยานุภาพของกองทัพอสนีบาตได้

เวลานี้ผู้ใดเป็นฮ่องเต้ก็คงอยากผูกคอตายหนีความวุ่นวายกันทั้งนั้น นับเป็นโชคดีที่ยังมิได้ออกพระราชโองการสืบทอดราชบัลลังก์

เขาตบหน้าอกด้วยความรู้สึกเสียดาย พร้อมกับยิ้มแหยแล้วโบกมือปฏิเสธ “ข้ามิต้องการแล้ว หรือว่าจะมอบให้พี่รองดีพ่ะย่ะค่ะ ? ”

เมืองทั้งเมืองนี้มิอาจต้านทานการโจมตีของซูฉางเซิงได้อย่างแน่นอน จำต้องหาทางหลบหนีก่อนที่กองทัพของซูฉางเซิงจะมาถึงที่นี่ !

ทว่าบัดนี้มีปัญหาอยู่หนึ่งอย่าง กองทัพ 100,000 นายของพี่รองได้ล้อมรอบกำแพงเมืองเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ข้าควรหนีไปทางใดดีนะ ?

“หรือว่า…ให้ข้าไปเรียกพี่รองเข้ามา ? พวกเราจะมิฆ่าฟันกันเอง พวกเรามาร่วมมือกันต่อต้านกองทัพของซูฉางเซิงมิดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

……

……

ขณะนี้ถังเชียนจวินก็กำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้สูงและกำลังใช้กล้องส่องทางไกลส่องเข้าไปในเมืองต้าติ้งเช่นกัน

เขาเองก็ไม่เข้าใจสถานการณ์ที่มองเห็นอยู่ไกล ๆ เมืองที่ใหญ่โตมโหฬารถึงเพียงนี้ ตามหลักการควรจะมีกองทัพคอยประจำการอยู่รอบเมือง ทว่าตั้งแต่ที่พวกเขาเดินทางมาถึงที่นี่กลับมิเจอทหารแม้แต่นายเดียว เป็นไปได้หรือไม่ว่าทหารรักษาการณ์จะวิ่งเข้าไปโจมตีกันเองในพระราชวัง ?

“ราชวงศ์เหลียวนี่ก็เหลือเกินจริง ๆ พวกเรายังมิทันได้ลงมือ เหตุใดพวกเขาถึงรบกันเองเสียแล้วเล่า ? ” เฮ้อซานเตาก็มิเข้าใจสถานการณ์ในราชวงศ์เหลียว

“หรือว่า…พวกเราจะอาศัยตอนที่เกิดความวุ่นวายภายในแล้วบุกเข้าไปเสียเลย ? ”

“อืม…เจ้าจงไปเตรียมกองทัพให้พร้อม จงจำเอาไว้ว่าพวกเราแต่ละคนมีกระสุนเพียงแค่ 20 นัด อีกประเดี๋ยวตอนที่บุกเข้าไปถ้าหากดูท่าจะต้านทานมิไหวก็ให้ใช้ดาบสู้ เมื่อพวกเรายึดเมืองต้าติ้งได้แล้ว คาดว่าหลังจากนั้นมินานกองหนุนของข้าศึกคงจะสบทบเข้ามา ให้ตายเถิด…มิรู้ว่าพวกเฝิงซีและเว่ยอู๋ปิ้งอยู่ที่ใดกัน พวกเรามีจำนวนคนน้อย คาดว่าต้องหลบอยู่ในเมืองนานถึงสิบวันหรืออาจจะนานถึงครึ่งเดือน”

“รับทราบ ! ”

ถังเชียนจวินกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ จากนั้นก็สั่งการให้หน่วยรบนาวิกโยธินรวมตัวกันในรูปแบบของกองพล

เฮ้อซานเตายังคงถือกล้องส่องทางไกลสำรวจลาดเลาอย่างละเอียดอยู่บนกิ่งไม้ บัดนี้ดูเหมือนว่าสงครามภายในกำลังปะทุ

แม้จะไร้วี่แววของเสียงปืน ทว่าเสียงกรีดร้องดังลั่นมาถึงที่นี่ นับว่าเป็นข่าวดี เพราะมันเป็นตัวบ่งชี้ได้ดีว่าแสนยานุภาพของกองทัพข้าศึกนั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

เขากระโดดลงไปข้างล่าง จากนั้นก็แผดเสียงสั่งการอยู่เบื้องหน้ากองทัพ “ทุกคน…จงบุกไปพร้อมกับข้า จงจำเอาไว้ว่า…ผู้ใดที่ยอมจำนนพวกเราจะมิลงมือสังหาร ! ”

ขณะนี้เยลู่ซู่องค์ชายรองแห่งราชวงศ์เหลียวยืนอยู่ห่างจากกำแพงชั้นในราวร้อยจั้ง เขายิ้มแย้มพลางเอ่ยกับคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายว่า “คาดมิถึงเลยว่าน้องห้าจะสวามิภักดิ์ต่อองค์เหนือหัว ทั้งยังขัดขืนต่อข้าอย่างรุนแรงอีกด้วย หากประเมินจากสถานการณ์แล้ว ท่านเยว่หมิง ท่านคิดว่าพวกเราจะใช้เวลานานเท่าใดในการบุกเข้าไปในพระราชวัง ? ”

คนที่เยลู่ซู่สนทนาด้วยคือซุยเยว่หมิงนั่นเอง !

ซุยเยว่หมิงลูบเครายาวของตน จากนั้นก็ส่งยิ้มอย่างเรียบเฉย “คาดว่ามิเกินครึ่งชั่วยามขอรับ ! ”

เขาประคองสองมือขึ้นคราวะเยลู่ซู่ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “กระหม่อมขอแสดงความยินดีต่อองค์ชายด้วยพ่ะย่ะค่ะ อีกครึ่งชั่วยามให้หลัง ราชวงศ์เหลียวอันเกรียงไกรแห่งนี้ก็จะตกไปอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว ! ”

เยลู่ซู่หัวเราะจนตัวโยน จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “นี่ล้วนเป็นแผนการของท่านทั้งสิ้น หากข้าได้ขึ้นครองบัลลังก์เมื่อใด ข้าจะแต่งตั้งให้ท่านเป็นอัครมหาเสนาบดีของข้า… ท่านเยว่หมิง ท่านคิดว่าเยลู่ฮัวจะยกกองทัพมาเอาคืนข้าหรือไม่ ? ”

“เขายกทัพมาเอาคืนแล้วเยี่ยงไร ? ฝ่าบาททรงมีกองกำลังตั้ง 200,000 นายที่กำลังจะเดินทางมาถึงที่นี่ในวันพรุ่งนี้ และอีกอย่าง กองทัพที่เยลู่ฮัวกำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นเป็นกองทัพของต้าเซี่ย เกรงว่าเขาคงต้องสู้รบกับทหารของต้าเซี่ยที่ด่านเม่าซานจนมืดฟ้ามัวดิน”

“หากเขาพ่ายแพ้ กองทัพต้าเซี่ยจะยกทัพเข้ามารบกับพวกเราหรือไม่ ? ”

“องค์ชายอย่าคิดมากไปเลยพ่ะย่ะค่ะ จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยมีพระชนมายุเพียงยี่สิบกว่าชันษาเท่านั้น หากยอมสวามิภักดิ์ต่อจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยมิใช่เรื่องน่าขายหน้าแต่อย่างใด ทั้งเก้าแคว้นโดยรอบของต้าเซี่ยต่างก็ยอมสวามิภักดิ์ต่อต้าเซี่ยมิใช่หรือ ? ”

“เยี่ยงไรเสียราชวงศ์เหลียวของพวกเราก็ตั้งอยู่ไกลโพ้นถึงเพียงนี้ อย่างมากเมื่อถึงเวลาก็แค่ส่งเครื่องบรรณาการที่หรูหราไปให้ก็ได้แล้ว ส่วนพระองค์ก็ยังคงเป็นฝ่าบาทของราชวงศ์เหลียวอยู่ดังเดิม”

เมื่อเยลู่ซู่ได้ยินดังนั้น ก็พลันรู้สึกว่าสิ่งที่ชายชราผู้นี้เอ่ยนั้นมีเหตุผล !

เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน !

“ยุทธการศึกได้ถูกกำหนดไว้แล้ว กระหม่อมต้องขอตัวไปสำรวจทั้งสี่ประตูเมืองเพื่อมิให้องค์จักรพรรดิหลบหนีไปได้ เพราะเยี่ยงไรเสียฝ่าบาทก็จำเป็นต้องร่างพระราชโองการแต่งตั้งให้พระองค์สืบทอดบัลลังก์ต่ออยู่ดี เช่นนี้ถึงจะเกิดความชอบธรรม ราษฎรถึงจะยอมศิโรราบแทบเท้าพระองค์ ! ”

“ท่านพูดถูก พกตราประจำตัวของข้าไปเถิด”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

ซุยเยว่หมิงนำตราประจำตัวขององค์ชายรองไปยังประตูเมือง เขามิได้ออกไปลาดตระเวนสี่ประตูเมืองดั่งที่เอ่ยเอาไว้ ทว่าเขากลับไปรวบรวมกองกำลัง 20,000 นายที่ประตูเมืองมาไว้ในมือตน

พวกเจ้าจงตั้งใจฟังและเชื่อฟังพระบัญชาขององค์ชายรอง ตั้งแต่บัดนี้สืบไป พวกเจ้าทุกคนจะต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของข้า ! ”

ทหารรักษาการณ์กลุ่มนี้ล้วนเป็นทหารที่องค์ชายรองสนิทสนมและไว้เนื้อเชื่อใจ พวกเขารู้ว่าท่านเยว่หมิงคือคนที่องค์ชายรองทรงไว้ใจมากที่สุด ทั้งยังมีตราประจำพระองค์อีกด้วย จึงมิมีผู้ใดเคลือบแคลงใจแม้แต่ผู้เดียว

ทว่าในตอนนั้นเอง ก็ได้มีกลุ่มคนในชุดสีดำทะมึนเหินนภาบุกเข้ามา !

ทหารเหล่านั้นแหงนหน้าขึ้นไปมองบนท้องนภาด้วยความประหลาดใจ พวกเขาเห็นกลุ่มคนเหล่านี้กำลังพุ่งเข้ามา… “พวกเขามาจากที่ใดกัน ? ”

“อย่าได้ตื่นตระหนกไป นั่นคือพันธมิตรของพวกเรา ! ”

ทหารเหล่านั้นงุนงงเป็นไก่ตาแตก องค์ชายรองไปเอากองกำลังพันธมิตรที่แข็งแกร่งเยี่ยงนี้มาจากที่ใดกัน ?

และอีกอย่างเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ดูจากการแต่งกายของทหารเหล่านี้เหมือนจะมิใช่กองทัพของราชวงศ์เหลียว…หรือว่าองค์ชายรองได้ยืมกองทัพมาจากซีเซี่ยเยี่ยงนั้นหรือ ?

มิใช่ ! เพราะซีเซี่ยถูกราชวงศ์เหลียวโจมตีจนย่อยยับเลยนี่ แล้วพวกเขาจะมีกองทัพให้ยืมได้เยี่ยงไรกัน ?

ทันใดนั้นเอง ซุยเยว่หมิงก็ได้หยิบธงเหยี่ยวผืนเล็ก ๆ ของกองทัพดาบเทวะขึ้นมาโบกสะบัด

เฮ้อซานเตาเหินนภาอยู่ในตำแหน่งหน้าสุดเมื่อเห็นธงในมือของซุยเยว่หมิงก็รู้สึกดีใจมากยิ่งนัก ฝ่าบาทเก่งกาจมากยิ่งนัก แท้จริงแล้วพระองค์ได้คำนวณเอาไว้แล้วว่าพวกเราจะเดินทางมาถึงเมืองต้าติ้งในวันนี้ และพระองค์ได้เตรียมคนคอยประสานงานไว้เรียบร้อยแล้ว ฝ่าบาททรงละเอียดรอบคอบอย่างแท้จริง พระองค์ทำหน้าที่องค์จักรพรรดิได้มิเลวเลยนี่

“ถังเชียนจวิน…เจ้าจงนำกองทัพบุกเข้าไปในพระราชวังก่อน อีกประเดี๋ยวข้าจะตามไป ! จงจำเอาไว้ว่าอย่าให้ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหลียวหลบหนีไปได้เป็นอันขาด ! ”

เมื่อเหล่าทหารสองหมื่นนายได้ยินดั้งนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาคือกองทัพพันธมิตรตัวจริง ดังนั้นแต่ละคนจึงยกยิ้มอย่างเบิกบานใจ

เฮ้อซานเตาเหินนภามาหยุดอยู่หน้าซุยเยว่หมิง “เฮ้อซานเตา ! ”

“ซุยเยว่หมิงจากหอเทียนจี ! ”

“ทำได้มิเลวเลยนี่ ! บัดนี้พวกเราจะทำเยี่ยงไรต่อไปดี ? ”

ซุยเยว่หมิงหันไปมองทหาร 20,000 นาย จากนั้นก็เอ่ยกำชับว่า “พวกเจ้าจงรีบไปควบคุมสถานการณ์ที่พระราชวังต้าติ้งเร็วเข้า ห้ามให้พวกเขาหลบหนีไปได้ มิว่าผู้ใดหรือจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้นมาก็ห้ามให้ออกไปเป็นอันขาด ! รีบไปเสีย ! ข้าและกองกำลังพันธมิตรจะไปจับตัวฮ่องเต้ผู้นั้นเอง ! ”

“ข้าน้อยรับคำบัญชา ! ”

ทหารกลุ่มหนึ่งได้เดินเท้าเข้าไปในเมืองอึกทึกคึกโครม

“บัดนี้ข้ามิได้มีเวลามาชี้แจงรายละเอียดให้เจ้าฟัง จงตามข้ามา…พวกเราต้องไปสนทนากับองค์ชายรอง ! ”

เฮ้อซานเตาผงะ “ต้องเข้าไปจับตัวฮ่องเต้มิใช่หรือ ? จะไปสนทนากับองค์ชายรองเพื่ออันใดกัน ? ”

“ตอนนี้ได้เกิดความสับสนอลหม่านขึ้นที่พระราชวังต้าติ้ง ข้าได้ยุแยงให้องค์ชายรองยกทัพ 100,000 นายที่ควรอยู่คุ้มกันเมืองบุกเข้ามาในเมือง และเจ้าก็มาได้ถูกเวลาจริง ๆ หน่วยรบนาวิกโยธินของเจ้าให้เข้าไปยึดพระราชวัง ถ้าหากพวกเราควบคุมองค์ชายรองได้ก็เท่ากับว่าพวกเราสามารถควบคุมกองทัพที่คุ้มกันเมือง 100,000 คนนั่นได้”

“เกรงว่าเจ้ายังมิทราบข่าว กองทัพ 450,000 นายของซูฉางเซิงกำลังมุ่งหน้ามาที่เมืองต้าติ้ง และเกรงว่าจะเดินทางมาถึงในวันพรุ่ง พวกเราต้องควบคุมกองกำลังขององค์ชายรองและองค์ชายห้าเอาไว้ให้ได้ เพื่อที่จะใช้พวกเขาสกัดกั้นการโจมตีของซูฉางเซิง”

บัดนี้เอง เฮ้อซานเตาได้เข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์อย่างแท้จริงแล้ว

ทว่าเมื่อลองคิดในมุมกลับกัน นี่อาจจะเป็นแผนการของฝ่าบาทก็เป็นได้ ข้าจะต้องปักหลักอยู่ที่นี่จนตัวตาย กว่าพวกเว่ยอู๋ปิ้งจะมาถึง…พวกตนก็คงจะถูกซูฉางเซิงเฉือนเนื้อไปห่อเกี๊ยวกินแล้ว !