ภาคที่ 6 บทที่ 36 หุบเหว (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 36 หุบเหว (1)

เมื่อตัดสินใจแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะลังเลต่อไปให้เสียเวลา

ทัพเรือที่รอเวลานี้มานานแล้วก็เริ่มเตรียมตัวโดยไม่รอช้า

สองวันหลังจากนั้น กองทัพเรือก็ออกเดินทางในที่สุด

กองทัพขนาดใหญ่หลั่งไหลออกจากท่ามุ่งหน้าสู่หุบเหว

หุบเหวแห่งท้องสมุทร !

เป็นชื่อที่ทั้งน่ากลัวและน่าตื่นเต้นไปพร้อม ๆ กัน

การเดินทางเข้าสู่หุบเหวอาจนำพาพวกเขาไปยังยุคสมัยใหม่ หรือทั้งหมดอาจไม่มีวันได้กลับออกมาเลยก็ได้

ในระหว่างทางนั้น ทหารทุกคนต่างเตรียมอาวุธพร้อมสรรพเพื่อตั้งรับการต่อสู้ที่กำลังใกล้เข้ามา และบรรยากาศการเดินทางก็เป็นไปอย่างเคร่งเครียดและจริงจัง

แย่หน่อยที่ซูเฉินไม่ได้กังวลอย่างพวกเขาเลยสักนิด เขากอดกู่ชิงลั่วและกระซิบกระซาบคำหวานกับนาง ราวกับว่าไม่รับรู้ถึงการต่อสู้ครั้งสำคัญที่รออยู่เบื้องหน้าเลยแม้แต่น้อย

เมื่อจีหานเยี่ยนเห็นสิ่งที่ซูเฉินทำก็อดถามขึ้นไม่ได้ “เจ้ามั่นใจในตัวเองขนาดนั้นเชียวหรือ ?”

“ข้าว่า… จะเรียกว่ามั่นใจในตัวเองก็คงไม่ถูกนักหรอก แต่ถ้าเจ้ามองเห็นอนาคตได้ เจ้าก็คงไม่กังวลเช่นเดียวกับข้านี่แหละ” ซูเฉินตอบ

“มองเห็นอนาคตหรือ นี่เจ้าใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดเพื่อทำนายผลของการเดินทางครั้งนี้อย่างนั้นหรือ”

การที่ซูเฉินมีไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดนั้นไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด หากหยงเยี่ยหลิวกวงสามารถคาดเดาความจริงได้ คนอื่น ๆ ก็ทำได้เช่นกัน

แต่ถึงอย่างนั้น… นี่ก็ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเสียทีเดียว

ซูเฉินหัวเราะลั่น “ล้อกันเล่นเหรอ ต่อให้ต้องสละทั้งทัพเรือนี้ข้าก็คงทำนายอะไรไม่ได้หรอก แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดในการทำนายเสียหน่อยนี่”

“ถ้าอย่างนั้นแล้วเจ้าใช้อะไรล่ะ”

“แน่นอนว่าก็ต้องเป็นสติปัญญา ประสบการณ์ และความรู้ของข้าน่ะสิ เจ้าไม่คิดว่าสามอย่างนี้จะน่าเชื่อถือว่าไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดหรือ ?”

“แล้วท่านเห็นอะไรหรือท่านซู” องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นถาม

ซูเฉินตอบทันที “ปฏิบัติการธรรมดา ๆ ที่ดำเนินไปอย่างราบรื่น”

ไม่ช้าหุบเหวก็เริ่มปรากฏให้เห็นที่เบื้องหน้า

สายน้ำที่หมุนวนของหุบเหวหมุนไปอย่างนั้นตลอดเวลา ซึ่งสิ่งที่อยู่เบื้องล่างนั้นก็คือหุบเหวนั่นเอง

ที่แห่งนี้มีแดนพลังสูญเป็นของตัวเอง

ดินแดนหุบเหวส่วนนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของหุบเหวเท่านั้น แต่อันที่จริงแล้วมันถูกแบ่งออกเป็นสองแดนที่แยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง

เมื่อทัพเรือเดินทางมาถึง เหล่าแม่ทัพก็เริ่มออกคำสั่งโดยไม่รอช้า

“เรือทุกลำเตรียมตัวหยุด ไม่ต้องทิ้งสมอและเตรียมลงน้ำ !”

การไม่ทิ้งสมอเรือนั้นทำให้การหลบหนีง่ายดายมากขึ้น ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการเฝ้าดูสถานการณ์อยู่บนเรือจะต้องเตรียมการเพื่อถอยทัพตลอดเวลา หรือในกรณีที่แย่ที่สุด พวกเขาก็จะต้องทำหน้าที่ในการเบี่ยงเบนความสนใจของเป้าหมาย

หากต้องการจะเข้าไปในหุบเหว… ทัพเรือก็ต้องผ่านน่านน้ำเข้าไป

ชาวสมุทรอาศัยอยู่ในน้ำอยู่แล้ว พวกเขาจึงไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ ส่วนชาวมนุษย์ก็ได้เตรียมพร้อมไว้แล้วเช่นกัน… พวกเขาจะใช้ปลามังกรนั่นเอง

โทเทมโลหิตสลายปลามังกรที่ซูเฉินพัฒนาขึ้นนั้นเป็นทักษะอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ทำให้มนุษย์สามารถหายใจใต้น้ำได้

เวลาผ่านไปหลายปี และแม้ว่าโทเทมโลหิตสลายจะถูกนิกายไร้ขอบเขตละทิ้งความสนใจไปเพราะมีเพียงผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดระดับล่างเท่านั้นที่จะใช้มัน และเพราะประโยชน์ของโทเทมนี้เองที่ทำให้มันยังมีเหลือให้เห็นอยู่

ไม่เพียงเท่านั้น แต่อีกหลายคนก็เริ่มทำการพัฒนาโทเทมโลหิตสลายด้วยเช่นกัน ณ จุดนี้ ขนาดของมันขยายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยังมีประสิทธิภาพที่มากขึ้นอีกด้วย

โทเทมโลหิตสลายที่ถูกใช้โดยทั่วไปนั้นแสดงพัฒนาการให้เห็นได้อย่างชัดเจน ตอนนี้โทเทมโลหิตสลายปลามังกรก็มีขนาดเท่าฝ่ามือแล้ว

และอันที่จริงแล้วนี่ก็ไม่ใช่ฝีมือของซูเฉิน แต่เป็นผลงานของชายหนุ่มอัจฉิรยะหนึ่ง ซึ่งซูเฉินก็ได้ขอให้เขามาช่วยสลักโทเทมโลหิตสลายลงบนทหารของเขาด้วย

ถูกต้อง… ผู้คิดค้นโทเทมโลหิตสลายกลับต้องซื้อมันจากคนอื่นเสียแล้ว

แต่ถึงกระนั้น… นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ซูเฉินต้องการอยู่แล้ว

ปัญญาของคนคนหนึ่งนั้นมีได้จำกัด แต่ปัญญาของหลายคนรวมกันนั้นหาที่เปรียบมิได้

ซูเฉินเปิดทางไว้ให้ก่อนที่จะปล่อยให้คนอื่นตามเขามาติด ๆ และด้วยความพยายามของทุกคนเหล่านั้นในการฝึกฝนซ้ำ ๆ และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ความแข็งแกร่งของมวลมนุษยชาติจึงเพิ่มขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด

การฝึกตนก็เช่นเดียวกัน

ด้วยความช่วยเหลือจากปลามังกรแล้ว มนุษย์ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดจึงสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระใต้ผืนน้ำ อันทั้งยังสามารถต่อสู้และใช้ทักษะต้นกำเนิดได้ด้วย

เหล่าทหารกล้าต่างพุ่งตัวลงไปในน้ำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา

ทันทีที่พุ่งเข้าสู่กระแสน้ำวน ทิศทางของมันก็ทำให้พวกเขาต้องเวียนหัว

กระแสน้ำพาพวกเขาหมุนวนอยู่หลายรอบก่อนที่จะหยุดลงในที่สุด

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทหารทั้งหลายก็พบว่าสายน้ำที่แปรปรวนรอบตัวได้นิ่งลงแล้ว

น้ำในบริเวณนี้ใสสะอาดและดูเหมือนจะไม่มีสิ่งแปลกปลอมใด ๆ เลยแม้แต่น้อย แปลว่าพวกเขาอาจถูกส่งลงมาลึกถึงหลายสิบจั้งเลยก็ได้ ซึ่งภาพที่ได้เห็นนี้ทำให้เหล่าทหารประทับใจไม่น้อยเลย

ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็พบแต่เพียงสหายของตัวเองที่มองกลับมาด้วยท่าทางที่ยังคงสับสนจากกระแสน้ำวนเมื่อครู่นี้

จากนั้นชาวสมุทรก็ว่ายน้ำผ่านพวกเขาไปพร้อมกับทำท่าทางเพื่อส่งสัญญาณบางอย่างก่อนจะพุ่งตัวขึ้นไปยังผิวน้ำ

หุบเหวนั้นเป็นดินแดนต้องห้าม แต่ชาวสมุทรก็คุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี

เผ่าท้องสมุทรเคยส่งทหารลงไปมากมายเพื่อไขปัญหาของท้องสมุทรโศกา และหวังว่ามันจะสิ้นสุดลงได้เสียที

ดังนั้นทหารเผ่ามนุษย์จึงรีบมุ่งหน้าตามชาวสมุทรไปโดยไม่รอช้า

ทุกคนพุ่งตัวขึ้นเหนือผิวน้ำอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าที่เบื้องบนนั้นเป็นสีฟ้าสดใส และลมที่พัดมาก็สงบนิ่งเช่นเดียวกับคลื่นในท้องทะเล ราวกับว่าที่นี่เป็นทะเลสาบ…ไม่ใช่มหาสมุทร

“ช่างงดงามและสงบดีจริง ๆ” ใครบางคนกล่าวขึ้น

“ไม่น่าแปลกใจนักหรอก ที่นี่เป็นมิติที่แยกตัวออกมาก็เลยไม่มีลม ซึ่งก็ทำให้มันเงียบสงบและเป็นสาเหตุที่ท้องฟ้าเป็นสีนี้ มันดูงดงามก็จริง แต่ถ้าพวกเจ้าต้องมองภาพนี้ต่อไปอีกสักหมื่นปี คงจะน่าคลื่นไส้ไม่น้อย” ดูเหมือนจะมีใครบางคนที่ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี

“ชู่ว !” ชาวสมุทรคนหนึ่งส่งสัญญาณให้เงียบเสียง

ขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจอยู่นั้น เสียงโครมครามก็ดังขึ้น

คลื่นยักษ์ปรากฏขึ้นไกลออกไป

ผิวน้ำอันสงบนิ่งพลันแปรปรวนขึ้นในทันใด น้ำทะเลพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับว่ามีแรงโน้มถ่วงอยู่บนนั้น ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้งหลายก็ถูกกระแสน้ำพาขึ้นไปบนฟ้าด้วยเช่นกัน ซึ่งก็ทำให้พวกเขาต้องเวียนหัวกันอีกครั้ง

ขณะที่กำลังพยายามหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น… ความรู้สึกนั้นก็หายไปเสียอย่างนั้น ม่านน้ำที่ลอยตัวขึ้นพลันถล่มลงและทิ้งร่างของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดเอาไว้กลางอากาศ

นอกจากนั้นแล้ว… สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศด้วยเช่นกัน

ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นคืออะไร ร่างของมันอ้วนกลมราวกับลูกบอลสีขาว ไม่มีตา และมีแต่ปากเท่านั้น

ปากที่ว่านั้นสามารถเคลื่อนไปรอบตัวมันได้อย่างอิสระ ก้อนกลมนั้นมุ่งหน้าเข้ามา ทำให้เหล่าทหารอดขนลุกขนพองด้วยความขยะแขยงไม่ได้

ชาวสมุทรและผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดพากันเข้ามาในหุบเหวมากขึ้นแล้วในตอนนี้ และเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตดังกล่าวก็ต้องร้องขึ้น “แย่แล้ว ! นั่นมัน แมลงวันเขมือบภพ เจ้าอสูรนี่มีพลังในการควบคุมแรงโน้มถ่วงโดยกำเนิด เจ้าตัวนี่จัดการได้ยากทีเดียวละ”

มันคือ ‘แมลงวันเขมือบภพ’ นั่นเอง…. ไม่แปลกเลยที่แรงโน้มถ่วงจะกลับด้านอย่างเมื่อครู่นี้

เดี๋ยวนะ… ถ้ามันสามารถควบคุมแรงโน้มถ่วงได้ นั่นก็หมายความว่า……”

ใครบางคนถามขึ้น “มันเปลี่ยนแรงโน้มถ่วงให้ไปอยู่ด้านข้างด้วยได้ไหมน่ะ”

“มันทำได้ !”

วินาทีต่อมาเหล่าทหารก็ต้องเสียสมดุลกันอีกครั้ง แต่คราวนี้แรงโน้มถ่วงไม่ได้มาจากด้านบน…. มันมาจากด้านข้างของพวกเขาแทน….

ในทิศทางที่มุ่งหน้าไปหาแมลงวันเขมือบภพนั่นเอง

ทหารทั้งหลายพากันเคลื่อนเข้าหาแมลงวันยักษ์อย่างไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งเจ้าก้อนกลมสีขาวก็กำลังค่อย ๆ อ้าปากของมันขึ้น

ปากนั้นยังอ้ากว้างขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ช้ามันก็กินพื้นที่ทั่วทั้งร่างของก้อนเนื้อสีขาว มันไม่ใช่ก้อนเนื้อกลม ๆ อีกต่อไป แต่เป็นปากขนาดยักษ์ไปเสียแล้ว และเหล่าทหารก็กำลัง ‘ร่วง’ ลงไปในปากนั้น

“อ๊ากกก !” ทุกคนต่างกรีดร้อง

และในขณะเดียวกันก็พยายามต้านทานต่อแรงโน้มถ่วงที่กำลังพาร่างพวกเขาไปด้วย

และเพราะว่าหลายคนสามารถเหาะได้ การต้านแรงโน้มถ่วงจึงเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคุ้นเคยกันอยู่แล้ว

ทว่าแรงสนามแรงโน้มถ่วงที่แมลงวันเขมือบภพสร้างขึ้นนั้นก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน อันที่จริงแล้วมันสามารถเพิ่มพลังให้กับแรงโน้มถ่วงได้อย่างต่อเนื่องด้วยนั่นเอง

ในขณะที่ทุกคนพยายามจะหยุดอยู่กับที่ให้ได้ แรงโน้มถ่วงก็พลันรุนแรงขึ้นกว่าเดิมถึงสามเท่าในเสี้ยววินาทีนั้น

เหล่าทหารต้องพยายามหาสมดุลให้ตัวเองอีกครั้ง แต่แรงดึงในครั้งนี้ยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปเป็นสิบเท่า และยี่สิบเท่า……

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดต่างพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะต้านทานกับแรงโน้มถ่วงอันทรงพลังนี้ แต่พวกเขากลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย

แมลงวันนั่นเป็นจักรพรรดิอสูรทะเลนั่นเอง !

อสูรทะเลทั้งหมดที่นี่เป็นจักรพรรดิอสูรทะเลทั้งหมด !

ให้สู้ตอบโต้กับจักรพรรดิอสูรทะเลอย่างนั้นหรือ ?

นี่ล้อกันเล่นหรืออย่างไร ?

แมลงวันเขมือบภพเหมาะอย่างยิ่งกับการต่อสู้ขนาดใหญ่ เพราะจำนวนของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ส่งผลใด ๆ ต่อมันเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดจะมีจำนวนมากเพียงไร ก่อนเนื้อสีขาวก้อนนี้ก็เพียงกลืนพวกเขาเข้าไปเท่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดจำนวนหนึ่งไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป และ ‘ตก’ ลงไปตามแรงนั้นพร้อมกับส่งเสียงโหยหวนด้วยความสิ้นหวัง

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอีกจำนวนหนึ่งที่พยายามจะโจมตีก็ถูกจักรพรรดิอสูรทะเลกลืนเข้าปากไป ทว่าทุกการโจมตีที่มีเป้าหมายเป็นแมลงวันนั้นกลับพุ่งเข้าปากของมันและสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียอย่างนั้น

ขณะที่เหล่าทหารกำลังจะถูกกลืนเข้าไปในก้อนเนื้อนั้น เวลาก็ดูเหมือนว่าจะหยุดลงชั่วขณะ

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดหลายสิบคนที่กำลังร่วงลงไปตามแรงอย่างไม่สามารถควบคุมได้นั้นกลับมายืนนิ่งได้อีกครั้ง

ทันใดนั้นก็เกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว

แต่ระเบิดนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อที่จะโจมตีแมลงวันยักษ์ เพราะมันไม่มีประกายไฟใด ๆ …ปรากฏแค่เพียงเสียงเท่านั้น

ถึงกระนั้น การระเบิดครั้งนี้ก็ทำให้แมลงวันเขมือบภพปิดปากของมันลงเล็กน้อย

จากนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ และแมลงวันเขมือบภพก็ดูเหมือนว่าจะมีปฏิกิริยาต่อต้านกับเสียงระเบิดเหล่านั้น… มันพุ่งตัวไกลออกไปในทันที

ความสามารถในการเคลื่อนที่ของมันขึ้นอยู่กับแรงโน้มถ่วงนี้ด้วย

ในที่สุดผู้โจมตีก็เปิดเผยตัวออกมา…. เป็นซูเฉินนั่นเอง

“คิดจะหนีหรือ ?” ซูเฉินพึมพำขณะเตรียมตัวไล่ตามมันไป

คนอื่น ๆ อาจกลัวจักรพรรดิอสูรทะเล แต่ซูเฉินไม่สะท้านเลยแม้แต่น้อย เขาแข็งแกร่งพอ และก็ยังทำการบ้านมาแล้วเป็นอย่างดี แมลงวันเขมือบภพจะเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ต่อเมื่อฝ่ายตรงข้ามเป็นทหารที่อ่อนแอกลุ่มใหญ่ แต่ความสามารถในการต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งนั้นถือว่าอยู่ในระดับทั่วไปเท่านั้น และที่สำคัญที่สุดก็คือ… มันกลัวเสียงระเบิด !

ซูเฉินพร้อมแล้วที่จะไล่ตามแมลงวันยักษ์ที่กำลังหนีไป

ชายหนุ่มก้าวไปได้เพียงก้าวเดียวเท่านั้นก็รู้สึกว่าแรงโน้มถ่วงกำลังทำงานและฉุดเขาไว้ให้อยู่กับที่อีกครั้ง

ไม่เพียงเท่านั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่รอบตัวเขายังเริ่มที่จะเหาะเข้ามาหาซูเฉินอีกด้วย

คราวนี้แมลงวันยักษ์ได้เปลี่ยนให้ซูเฉินกลายเป็นจุดศูนย์กลางของสนามพลังแรงโน้มถ่วงเสียแล้ว

อีกทั้งยังได้สร้างจุดศูนย์กลางของแรงโน้มถ่วงอีกจุดขึ้นในเวลาเดียวกันด้วย

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดจำนวนหลายหมื่นคนถูกดึงเข้ามาหาซูเฉินในขณะที่เจ้าตัวเองก็ไม่สามารถหาทางหนีไปจากตรงนั้นได้ สนามพลังโน้มถ่วงทั้งสองถูกวางไว้ในทิศทางที่ต่างกัน จึงทำให้ซูเฉินไม่สามารถไล่ตามจักรพรรดิอสูรไปได้เลย

“เจ้าคิดจะเล่นกับข้าจริง ๆ หรือ ?” ซูเฉินเริ่มจะเดือดพล่าน

ขณะที่มองดูเหล่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดพุ่งตัวเข้ามาหาเขา ซูเฉินไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าเหยียดแขนของตนออกไปในทิศทางตรงกันข้าม “เปิดออก !”

พลังที่รุนแรงพลันพุ่งออกมาจากฝ่ามือทั้งสองของเขาและกันไม่ให้ร่างของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดเหล่านั้นเข้ามาปะทะได้

ทว่าในตอนนั้นเอง ระลอกคลื่นก็ปรากฏขึ้นไม่ไกลออกไปนัก

สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อีกหนึ่งตัวเริ่มเผยกายออกมาอีกครั้ง……