บทที่ 505.1 เจี้ยนเซียนอยู่ในมือของเซียนกระบี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ตอนที่คนชุดเขียวคว้าจับร่างทองของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นก็มีสีหน้าเดือดดาลคล้ายจะลงมืออย่างอำมหิตได้ทุกเมื่อ ถึงขั้นอาจบุกขึ้นฝั่งมาเปิดฉากเข่นฆ่าอย่างไม่สนใจสิ่งใด

แต่เมื่อคนผู้นั้นใช้หนึ่งหมัดต่อยให้ร่างทองของเทพลำคลองท่านหนึ่งแหลกสลาย อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบกลับมีจิตใจที่นิ่งสนิทดุจผิวน้ำ เผชิญหน้ากับคนต่างถิ่นที่ราวกับแม่ทัพควบม้านำเดี่ยวทะลวงขบวนรบผู้นั้น อินโหวยกมือขึ้น สองนิ้วประกบกัน แสงศักดิ์สิทธิ์สองกลุ่มที่หนึ่งเป็นสีทองจางๆ อีกหนึ่งเป็นสีเขียวมรกตรวมตัวคล้ายงูน้อยสองตัวที่ขดอยู่ปลายนิ้วแล้วเลื้อยรัดพันกันและกัน อินโหวสะบัดนิ้วเบาๆ ผิวน้ำทะเลสาบชางอวิ๋นที่มีเขาเป็นจุดศูนย์กลางก็เริ่มมีไอน้ำลอยอบอวลขึ้นมา ควันเขียวกลิ้งหลุนๆ พริบตาเดียวก็ปกคลุมผิวน้ำไปทั่วในรัศมีร้อยลี้

ทางฝั่งของท่าเรือ อย่าว่าแต่ตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีเลย ต่อให้เยี่ยนชิงโคจรลมปราณเพ่งสมาธิมองไป สิ่งที่สายตามองเห็นก็มีเพียงไอหมอกขาวโพลนเท่านั้น ไม่เหลือเงาร่างของเจ้าแห่งทะเลสาบและขุนนางบุ๋นบู๊มากมายของทะเลสาบชางอวิ๋นอีกแล้ว ส่วนบรรพจารย์ของดินแดนเซียนเป่าต้งตนก็คล้ายว่าจะเรียกใช้สมบัติหนักของสำนักชิ้นนั้น แสงอัญมณีเรืองรองเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ปกป้องผู้ฝึกตนสำนักเดียวกันกับนางทั้งหมดไว้ภายใน จากนั้นก็เริ่มถอยร่นไปช้าๆ น่าจะต้องการยกสนามรบทั้งหมดนี้ให้กับอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบฝ่ายเดียว

ริมขอบของไอน้ำมีงูเหลือมสีทองจางๆ ตัวหนึ่งกับงูใหญ่สีเขียวมรกตตัวหนึ่งเลื้อยวนไม่หยุดนิ่ง ทั้งสองตัวบินวนคาบหางกันและกัน ประหนึ่งเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่โปรยพิรุณ เพิ่มไอน้ำบนทะเลสาบให้หนาแน่นขึ้น

เยี่ยนชิงแค่พอจะรู้ว่านี่คือหนึ่งในวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของเทพวารีที่บรรลุมหามรรคาคนหนึ่ง ไม่เรียบง่ายเพียงเป็นแค่เวทอำพรางตาอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นกรงขังที่ลักษณะคล้ายคลึงกับค่ายกลยันต์อย่างหนึ่ง หากผู้ฝึกตนหรือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวถูกขังไว้ภายใน มันก็สามารถเผาผลาญปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณและปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของพวกเขาได้ คือวิชาที่ค่อยๆ ลดทอนพละกำลังไปช้าๆ ซึ่งใช้ได้ทั้งโจมตีและทั้งป้องกัน

ตู้อวี๋ยืนอยู่ที่เดิมตลอดเวลา ชำเลืองตามองท่าเรือเบื้องหน้าที่สภาพเละเทะแวบหนึ่ง พื้นดินแถบนั้นพังยุบไม่เหลือชิ้นดี มีเพียงพื้นดินตรงจุดที่วางหีบไม้ไผ่กับไม้เท้าเดินป่าเท่านั้นที่ยังคงสมบูรณ์แบบเหมือนเดิม

ผู้อาวุโสช่างมีฝีมือเลิศล้ำประดุจเซียนจริงๆ

นี่หมายความว่าอะไร? หมายความว่าเท้าที่กระทืบลงไปครานั้นของผู้อาวุโสยังไม่ได้ออกแรงทั้งหมด

เยี่ยนชิงโบกชายแขนเสื้อสลายฝุ่นผงที่ตลบคลุ้งอยู่ตรงท่าเรือออกไป

เพียงแต่ว่าสายตาของนางจ้องมองความเคลื่อนไหวตรงพื้นผิวน้ำทะเลสาบชางอวิ๋นอยู่ตลอดเวลา ค่ายกลใหญ่ไอน้ำที่ขาวโพลนกินรัศมีเป็นร้อยจั้งพลันเหมือนแหตกปลาที่ถูกคนขยุ้มแล้วกระชากกลับมา กลายเป็นมีขนาดแค่สิบกว่าจั้ง ทว่าไอน้ำกลับเปลี่ยนมาเป็นเข้มข้นจนเหมือนกลายมาเป็นน้ำ งูเหลือมสีทองและงูยักษ์สีเขียวมรกตพากันพุ่งเข้าไปในค่ายกลทันใด

เยี่ยนชิงถอนหายใจอยู่ในใจ ถึงอย่างไรก็เป็นศึกบนทะเลสาบชางอวิ๋น อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบจึงได้เปรียบทั้งด้านฟ้าอำนวยดินอวยพรและคนสามัคคี อีกทั้งยังมีเทพลำคลองคนสนิทคนหนึ่งสละชีวิตขัดขวางการบุกรุดหน้าของคนผู้นั้น เมื่อสูญเสียโอกาสช่วงชิงความได้เปรียบ คิดดูแล้วสภาพการณ์ของคนผู้นั้นก็มีแต่จะย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบสามารถหยัดยืนอยู่ในแคว้นอิ๋นผิงมาได้นานเป็นพันปีโดยที่ไม่ล้มลง ใช้สถานะของเทพวารีสามารถนั่งทัดเทียมได้กับเจ้าแห่งขุนเขาทั้งห้าของหนึ่งแคว้น ก็ไม่แปลกที่บรรพจารย์ของสำนักจะเลือกวังมังกรเป็นสถานที่พักแรมแห่งสุดท้ายในการเดินทางมาเยือนเมืองสุยเจี้ย

เยี่ยนชิงชำเลืองตามองตู้อวี๋ เห็นว่าสีหน้าของเขายังราบเรียบเป็นปกติ

ตู้อวี๋เองก็สัมผัสได้ถึงสายตาของเยี่ยนชิงจึงหันหน้ามายิ้มกล่าว “บ่อน้ำเล็กๆ ไม่อาจกักตัวพี่น้องเฉินของข้าคนนั้นที่แค่จามง่ายๆ หนึ่งทีก็สามารถพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทรได้หรอก”

เยี่ยนชิงหลุดหัวเราะพรืดอย่างขำขัน

ถ้อยคำประจบสอพลอที่น่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้ หลังสงครามใหญ่ปิดฉากลงแล้ว ดูสิว่าเจ้าจะยังพูดออกมาจากปากได้อีกหรือไม่

ผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนเป่าต้งได้ถอยห่างออกไปจากสนามรบในระยะร้อยจั้งกว่าแล้ว บรรพจารย์ฟ่านเหวยหรานยังคงไม่ได้เก็บวิชาอภินิหารจากสมบัติพิทักษ์ขุนเขาชิ้นนั้นลงไป เห็นเพียงว่ามงกุฎสีทองบนศีรษะของนางส่องประกายแสงสีทองไหลวน สาดแสงเจิดจ้าไปสี่ทิศ ข้างกายของนางมีขุนนางหญิงแห่งสรวงสวรรค์เหมือนในภาพวาดคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา ใบหน้าของนางพร่าเลือน ทั่วร่างอาบไปด้วยแสงสีทอง เรือนกายอรชรอ้อนแอ้น ชายแขนเสื้อของสาวใช้ร่างทองที่เรือนกายพร่าเลือนคล้ายภาพมายานี้พลิ้วสะบัด ในมือนางกางฉัตรตระกูลเซียนอันหนึ่งคอยปกป้องผู้ฝึกตนจากดินแดนเซียนเป่าต้งทุกคน ส่วนผิวน้ำทะเลสาบใต้ฝ่าเท้าของฟ่านเหวยหรานก็เกาะตัวเป็นน้ำแข็ง ประหนึ่งท่าเรือที่ถูกสร้างขึ้นชั่วคราวให้คนได้มีที่ยืนอยู่บนทะเลสาบ

เยี่ยนชิงผ่อนลมหายใจโล่งอก

ดูท่าแล้วบรรพจารย์คงไม่คิดจะมีส่วนร่วมกับการเข่นฆ่าในคืนนี้

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่เทพลำคลองอีกสองคนที่เหลืออยู่ได้พาคนอื่นๆ ถอยห่างไปไกลแล้ว ดูจากทิศทางก็น่าจะย้อนกลับไปยังจวน เจ้าแห่งคูน้ำเสาซีผู้นั้นไม่เพียงแต่เหมือนได้รับอภัยโทษ ยังคล้ายกับว่าจะได้รับโชคหลังหายนะ บนใบหน้าไม่อาจปกปิดสีหน้าของความลิงโลดเอาไว้ได้ นางโคจรวิชาอภินิหารกลายร่างเป็นไอน้ำกลุ่มหนึ่งที่บินพุ่งไปยังทิศทางของคูน้ำเสาซีอันเป็นบ้านของตัวเองอย่างว่องไว

เยี่ยนชิงรู้ดีว่า ทะเลสาบชางอวิ๋นคิดจะระดมกองกำลังยิ่งใหญ่เพื่อสังหารคนผู้นั้นให้สิ้นซาก

อินโหวยังคงมีท่าทางผ่อนคลายอยู่ดังเดิม เขาคลี่ยิ้มน้อยๆ ส่งให้เยี่ยนชิง

เยี่ยนชิงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

ภาพปรากฎการณ์ผิดปกติพลันเกิดขึ้นบนทะเลสาบ

กรงขังค่ายกลที่ปกคลุมผิวทะเลสาบพลันปรากฎแสงสีทองเส้นหนึ่ง จากนั้นค่ายกลน้ำก็ระเบิด ประหนึ่งน้ำแข็งที่ละลายเป็นน้ำแล้วผสานรวมเข้าไปในทะเลสาบ

ชายชุดเขียวยืนมือหนึ่งไพล่หลัง เขาเองก็ประกบสองนิ้วเช่นกัน เวลานี้กำลังหันหน้าเข้าหาอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบ หันหลังให้กับท่าเรือ

ยันต์วิเศษตระกูลเซียนกระดาษสีทองที่คนผู้นั้นคีบไว้ระหว่างสองนิ้วเพิ่งจะเผาไหม้ไปได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ

เยี่ยนชิงฉงนสนเท่ห์ไม่เข้าใจ

แค่ใช้ยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางแผ่นเดียวเท่านั้นหรือ?

บนโลกมียันต์ทำลายสิ่งกีดขวางที่ทรงอานุภาพเช่นนี้อยู่ด้วยหรือไร?

ไม่เพียงแต่ใช้มันฝ่าค่ายกลของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบ เมื่อมองไปจากทิศทางของท่าเรือที่เยี่ยนชิงยืนอยู่นี้ ยังมองเห็นว่ามือที่ไพล่หลังของคนผู้นั้นกำเป็นหมัดเบาๆ และบนหมัดยังมีหางของงูน้อยสองตัวที่เป็นสีทองอ่อนและสีเขียวมรกตโผล่ออกมา

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกลับไม่มีท่าทีตกตะลึงใดๆ เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาหารเรียกน้ำย่อยจานเล็กที่ทะเลสาบชางอวิ๋นใช้รับรองแขก เซียนซือต่างถิ่นท่านนี้คิดว่ารสชาติเป็นอย่างไร?”

เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน เทพลำคลองทั้งสองท่านและเจ้าแห่งคูน้ำเสาซีน่าจะย้อนกลับไปยังอาณาเขตของตัวเองแล้ว เพื่อเตรียมพร้อมในการโจมตีโดยเริ่มตั้งแต่ต้นกำเนิดของลำคลองและคูน้ำสามสาย ไล่มายังตอนล่างของสายน้ำ เพื่อช่วยเจ้าแห่งทะเลสาบผู้นี้วางค่ายกลสังหารที่แท้จริง

หากไม่เป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวภายนอก อันที่จริงเฉินผิงอันก็ไม่ถือสาหากจะต้องอยู่รับลมชมจันทร์ในค่ายกลแห่งนี้ เพราะถึงอย่างไรหลังจากจับงูโชคชะตาน้ำทั้งสองตัวของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบมาหลอมเล็กได้แล้ว นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่แก่นโชคชะตาน้ำสี่ตำลึงที่เจ้าแห่งคูน้ำเสาซีเอาออกมามอบให้จะเปรียบเทียบได้ ลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว อย่างน้อยแต่ละตัวก็น่าจะหนักถึงหนึ่งจิน *(ประมาณครึ่งกิโล)*ไม่เสียทีที่เป็นผู้ปกครองทะเลสาบคนหนึ่ง รากฐานเหนือกว่าที่แม่ย่าลำคลองของคูน้ำเล็กๆ คนหนึ่งจะทัดเทียมได้

เฉินผิงอันจึงล้มเลิกความคิดที่จะหลอมเล็กงูโชคชะตาน้ำสองตัวนั้นให้เสร็จสมบูรณ์ไปชั่วคราว กลุ่มแสงสองสีที่อยู่ในมือด้านหลังพลันหายวับไปในชั่วพริบตา ถูกเขากักตัวไว้นอกประตูจวนน้ำ

หากอีกฝ่ายมีแผนการรับมือภายหลังที่รออยู่ ทำร้ายให้จิตวิญญาณของตนต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานเล็กๆ ได้จริง ก็ถือว่าเป็นความสามารถของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบ เฉินผิงอันยินดีรับความเสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ นี้

ในช่องโพรงลมปราณอันเป็นฟ้าดินขนาดเล็กในร่างคน งูธาตุน้ำสองตัวนอนขดอยู่นอกประตูใหญ่จวนน้ำด้วยอาการตัวสั่นสะท้าน

มังกรเพลิงตัวหนึ่งพุ่งมาถึงอย่างบ้าคลั่ง มันชูหัวขึ้นสูง หลุบตาลงต่ำมองเจ้าพวกพันธ์ผสมที่เทียบกับมดสักตัวก็ยังไม่ได้สองตัวนั้น มันใช้กรงเล็บข้างหนึ่งกรีดพื้นเบาๆ หากไม่เป็นเพราะบนร่างของพวกมันยังมีกลิ่นอายของการหล่อหลอมที่คุ้นเคยติดอยู่ แค่มันตวัดกรงเล็บลงไป อีกฝ่ายก็ต้องหายวับไม่เหลือร่องรอยแล้ว

ประตูใหญ่ของจวนน้ำพลันเปิดอ้า แล้วก็ปิดลงในทันควัน

ที่แท้เด็กจิ๋วชุดเขียวสองคนก็ออกมาแบกงูเหลือมทอง งูเขียวมรกตสองตัวนั้นไปแล้วเผ่นกลับเข้าจวนทันที

มังกรเพลิงที่เห็นได้ชัดว่าเป็นการจำแลงตัวของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธค่อยๆ หมุนเรือนกายที่ใหญ่โตมโหฬารกลับ แล้วจากไปอย่างเชื่องช้า

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบแบฝ่ามือข้างหนึ่งออก บนฝ่ามือคือเศษชิ้นส่วนร่างทองหนึ่งชิ้น ก็คือทั้งหมดที่เหลืออยู่หลังจากเทพลำคลองแห่งลำคลองมู่หานตายดับ

ส่วนที่เหลือยังมีชิ้นที่ใหญ่กว่านี้ แต่พอหนึ่งหมัดนั้นผ่านไป เศษชิ้นส่วนร่างทองสองชิ้นก็แตกออกจากกัน ชิ้นที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือถูกคนชุดเขียวดักเก็บเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อแล้ว หากไม่เป็นเพราะอินโหวลงมือแย่งชิงมาได้อย่างรวดเร็ว แก่นของร่างทองชิ้นนี้ เกรงว่าก็คงต้องกลายเป็นของในกระเป๋าของอีกฝ่ายเป็นแน่

อินโหวส่ายหน้าเบาๆ พลางถอนหายใจ แม้ว่าเทพลำคลองมู่หานผู้นี้จะมีพลังการต่อสู้ต่ำที่สุดในบรรดาเทพลำคลองทั้งสอง แต่กลับเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ภักดีมากที่สุด แล้วก็ติดตามตนมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ มีทั้งความอาวุโสเหมือนกับเจ้าแห่งคูน้ำเสาซี แล้วก็มีทั้งความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเหมือนเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี แต่อยู่ดีๆ ต้องมาตายทั้งอย่างนี้ น่าเสียดายยิ่งนัก ตายไปแล้วยังเหลือเศษร่างทองไว้ให้ตนแค่ชิ้นเดียวอีก นี่ก็ยิ่งน่าเสียดาย หากรวมกับชิ้นที่ใหญ่กว่าหน่อยนั้น บางทีอาจจะเพิ่มตบะได้อีกร้อยปี

เศษชิ้นส่วนร่างทองที่อยู่กลางฝ่ามือของอินโหวจมหายไปในฝ่ามือ เขาคิดว่าหลังศึกใหญ่ผ่านไปจะค่อยๆ หล่อหลอมมัน นี่ก็จะนับว่าเป็นเรื่องยินดีที่ไม่คาดคิดอย่างหนึ่ง

แม่ทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งตายไปจะนับเป็นอะไรได้ หลังจากนี้ก็ค่อยไปขอบรรดาศักดิ์จากฮ่องเต้แคว้นอิ๋นผิงก็ได้แล้ว ถึงอย่างไรแขนซ้ายแขนขวาของเทพลำคลองผู้นั้นก็กระเหี้ยนกระหือรือ อยากครอบครองตำแหน่งเทพลำคลองมาไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกสมบัติของหายากทั้งหลายที่เพิ่มเข้ามาในหอเรือนของบุตรสาวตนจะเอามาจากที่ไหนเล่า?

เทพลำคลองมู่หานผู้นี้ เวลาร้อยปีที่ผ่านมาได้ซุกซ่อนสาวใช้หน้าตางดงามพรสวรรค์ไม่ธรรมดาเอาไว้สองคน หากวังมังกรคิดจะเอาความขึ้นมาจริงๆ ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย แต่เจ้าแห่งทะเลสาบอย่างเขาเป็นคนใจกว้าง ก็แค่ไม่อยากให้เหล่าลูกน้องใต้บังคับบัญชารู้สึกหมดกำลังใจก็เท่านั้น

เฉินผิงอันชำเลืองตามองผู้ฝึกตนจากดินแดนเซียนเป่าต้งที่อยู่ห่างออกไปซึ่งวางท่าว่าจะนั่งภูดูเสือกัดกัน อันที่จริงเขารู้สึกจนใจเล็กน้อย ความคิดที่จะหอบเอากำไรก้อนใหญ่กลับไปคงไม่มีหวังแล้ว เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลเหล่านี้ เหตุใดถึงไม่มีจิตใจผดุงคุณธรรมของจอมยุทธที่พอเห็นความไม่เป็นธรรมก็ชักดาบเข้าช่วยเหลือบ้างเลยนะ? ต่างก็พูดกันว่ากินของคนอื่นต้องปากหวาน เมื่อครู่เพิ่งจะผลัดกันชนจอกสุราอยู่ในงานเลี้ยงของวังมังกรกันไป ตอนนี้กลับชักสีหน้าทำเป็นไม่รู้จักกันเสียแล้ว? แค่โยนสมบัติอาคมสองสามชิ้นมาหยั่งเชิงความตื้นลึกหนาบางของตนก็คงไม่ถือว่าทำให้พวกเจ้าลำบากใจเท่าไรหรอกกระมัง?

สำหรับผู้ฝึกตนตระกูลเซียนกลุ่มนี้ เฉินผิงอันไม่ได้อยากจะผูกปมแค้นด้วยสักเท่าไรนัก

แต่กับทะเลสาบชางอวิ๋นนั้นไม่เหมือนกัน

การที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำเป็นฝ่ายกระทำความชั่วร้าย ก่อกรรมทำชั่วอยู่ในพื้นที่หนึ่ง กับการที่ผู้ฝึกตนไม่ทำความดี มองโลกมนุษย์ด้วยสายตาเฉยเมยเย็นชา คือสองสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นเห็นว่าคนผู้นั้นไม่มีความเคลื่อนไหวก็ถามว่า “คิดจะปรองดองกันแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันตอบกลับ “รออาหารหลักขึ้นโต๊ะ”

อินโหวแผดเสียงหัวเราะดังลั่น “ดีๆๆ ตรงไปตรงมาดี!”

เฉินผิงอันหรี่ตาลง

เฝ้าพิทักษ์โชคชะตาน้ำของทะเลสาบชางอวิ๋นมาพันปี อาณาเขตการปกครองใหญ่พอๆ กับแคว้นใต้อาณัติเล็กๆ ของอุตรกุรุทวีป คิดดูแล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ก็คงหัวเราะเยาะคนบนโลกมาโดยตลอดกระมัง? กลายเป็นภูต บรรลุมรรคา ได้รับบรรดาศักดิ์ มีวิธีฝึกตนจนกลายมาเป็นเทพวารีได้สำเร็จ ชีวิตนี้คงไม่เคยหลั่งน้ำตามาก่อนสินะ?

บนพื้นผิวทะเลสาบไม่มีริ้วน้ำกระเพื่อมแม้แต่น้อย

ทว่าเบื้องหน้าของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นกลับมีเงาร่างสีเขียวเส้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

อินโหวที่สวมชุดคลุมมังกรสีม่วงเข้มหรูหราลังเลไปเล็กน้อย แต่ก็เลือกที่จะไม่หลบเลี่ยง เขาคิดจะลองชั่งน้ำหนักหมัดของ ‘เซียนกระบี่’ ที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ดู

ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปบังเบื้องหน้าตัวเอง

ชุดคลุมมังกร ‘ช่าจื่อ’ (ดอกไม้งามสะพรั่ง) ตัวนั้นคือชุดคลุมอาคมที่เจ้าแห่งทะเลสาบผู้นี้ทุ่มเงินเทพเซียนก้อนใหญ่แล้วนำมาหล่อหลอมอย่างตั้งใจ คือสมบัติอาคมของแท้แน่นอน หากเอาไปวางไว้ในนครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้งก็ยังถือว่าเป็นสมบัติหนักลำดับต้นๆ ของตระกูลเซียน คำว่ารากฐานทรัพย์สมบัติของภูเขาตระกูลเซียนนั้น ก็ต้องดูที่ว่าในสำนักของพวกเขามีสมบัติอาคมอยู่กี่ชิ้นกันแน่ ส่วนเจ้าแห่งทะเลสาบอย่างเขาและองค์เทพแห่งขุนเขาทั้งหลาย ก็ต้องดูที่ว่าจะสามารถจัดหาตำแหน่งเทพที่ถูกต้องตามกฎระเบียบให้กับคนสนิทของตัวเองได้สักกี่คน

ช่างเป็นพละกำลังที่หนักหน่วงรุนแรงยิ่งนัก

เจียวหลงตัวหนึ่งที่แหวกว่ายอยู่บนชุดคลุมอาคมถึงขั้นแหลกสลายคาที่

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นอาศัยโอกาสนี้ถอยกรูดห่างออกไปหลายสิบจั้ง

หรือว่าจะเป็นปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธที่มีขอบเขตร่างทองคนหนึ่ง? ตัวตนของผู้ฝึกกระบี่ก็เป็นแค่เวทอำพรางตาที่จงใจนำออกมาใช้ตอนอยู่ในศาลสุ่ยเซียนเท่านั้น?

แต่กระนั้นอินโหวก็ยังคงหน้าไม่เปลี่ยนสี เขายกมือขึ้นอีกครั้งแล้วรับหมัดอีกหนึ่งหมัดที่ปล่อยมา คราวนี้เจียวหลงชะตาน้ำสองตัวบนร่างระเบิดแตก แต่ชุดคลุมอาคมหมายความว่าอย่างไร? เจียวหลงที่ฟูมฟักจากปราณวิญญาณอยู่บนช่าจื่อตัวนี้สามารถสลายตัวและกลับมารวมตัวกันใหม่ได้ดังใจปรารถนา ต่อให้เจียวหลงบนชุดคลุมมังกรจะสลายไปตัวสองตัว แต่ภายใต้สถานการณ์ที่รากฐานมรรคาขององค์เทพไม่ถูกทำลาย ก็จะสามารถกลับมารวมตัวได้ใหม่ในชั่วพริบตา หากมีพละกำลังเท่ากับแค่สองหมัดนี้ อินโหวก็มั่นใจว่าตัวเองสามารถต้านรับหมัดร้อยกว่าทีของคนผู้นี้ได้ ถึงเวลานั้นก็มาดูกันว่าเป็นชุดคลุมอาคมของข้าที่มหัศจรรย์ไร้คำบรรยาย หรือจะเป็นปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของเจ้าเฮือกนั้นกันแน่ที่ทอดยาวได้มากกว่า

หมัดที่สามมาถึง

เจียวหลงสองตัวที่ว่ายอยู่บนชายแขนเสื้อใหญ่ของชุดคลุมอาคมระเบิดแตกไปพร้อมกัน

สีหน้าของอินโหวเริ่มเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด

กำลังคิดว่าควรจะร่ายวิชาอภินิหารหลบหนีไปหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรการปั่นหัวคนผู้นี้เล่นก็เป็นแค่การถ่วงเวลาไว้เท่านั้น ตอนนี้พลังอำนาจของสองลำคลองหนึ่งคูน้ำได้รวมตัวกันเสร็จสิ้นแล้ว อีกเดี๋ยวองค์เทพร่างทองทั้งสามก็จะปล่อยน้ำให้ไหลทะลักเข้ามาในทะเลสาบชางอวิ๋น ไม่จำเป็นต้องสนใจเลยว่าเจ้าแห่งทะเลสาบที่สถานะสูงศักดิ์ไม่แพ้ให้กับจักรพรรดิในโลกอย่างเขาจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่ หากไม่เป็นเพราะอยากจะวางมาดของเจ้าแห่งทะเลสาบต่อหน้าทพธิดาเยี่ยนชิงผู้นั้นดูสักหน่อย คนผู้นี้คิดจะขยับเข้ามาใกล้ร่างของตนบนผิวน้ำทะเลสาบชางอวิ๋นก็ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์

หลังจากถูกต่อยอีกหนึ่งหมัด เท้าข้างหนึ่งของอินโหวที่ลอยตัวเหนือผิวน้ำทะเลสาบมาหลายฉื่ออยู่ตลอดเวลา ก็เหยียบจมลงไปในน้ำทะเลสาบอย่างเงียบเชียบ เขายิ้มบางๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

หนึ่งหมัดมาถึงอีกครั้ง

เทวรูปเจ้าแห่งทะเลสาบที่คล้ายกับแกะสลักขึ้นจากน้ำแข็งระเบิดแตกดังปัง

—–