ตอนที่ 624 ซวงซิว (ร่วมฝึกฝน)

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

คนผู้นั้นก็หันมามองดูตู๋กูซิงหลันเช่นกัน 

 

 

ทั้งสองต่างสบตากัน 

 

 

เมื่อได้เห็นอย่างชัดเจน ตู๋กูซิงหลันแทบอยากจะขยี้ตาตนเอง นางพลันเกิดความสงสัยว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่ 

 

 

สตรีผู้นั้น….จะว่าอย่างไรดี เหมือนกับซ่งชิงอีไม่มีผิดเพี้ยน 

 

 

ตอนที่อยู่ในอวกาศ นางได้เห็นซากศพของคนตระกูลซ่งมาไม่น้อย 

 

 

เดิมทียังคิดว่าไม่มีผู้ใดสามารถก้าวผ่านความว่างเปล่าเหล่านั้นมาได้เสียอีก 

 

 

หากมิใช่ว่าได้เห็นสตรีผู้นี้กับตา ตู๋กูซิงหลันก็คงคิดว่าพวกเขาดับสิ้นกันไปหมดแล้ว 

 

 

ตอนนี้ก็ได้พบแล้ว แต่ว่าเพียงแค่รูปลักษณ์ก็ยังไม่แน่ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกัน 

 

 

“จ้องมองข้าทำไม” สตรีผู้นั้นเหาะมาถึงข้างกายนาง “ผู้อาวุโสเช่นข้าเป็นถึงเทพโอสถ ซ่งเจียเหริน ใช่ผู้ที่เทพน้อยอย่างเจ้าจะมาจดจ้องได้หรือ?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “….” ซ่งเจียเหริน ว่าแล้วไง นางเป็นรุ่นบรรพชนของตระกูลซ่งจริงๆด้วย 

 

 

นางรีบก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ด้วยท่าทางสุภาพ ดวงตาและหัวคิ้วมีรอยยิ้ม เอ่ยว่า “นี่ย่อมต้องเป็นเพราะว่าท่านเทพธิดางดงามน่าประทับใจ จนผู้คนต้องเหลือบดูให้มากอีกหน่อย ขอเทพธิดาอย่าได้ถือสา” 

 

 

“ด้วยรูปโฉมของเทพธิดา เทพบุตรองค์ใดในแดนสวรรค์ได้พบพาน ย่อมต้องอยากมองดูด้วยกันทั้งนั้น ผู้น้อยเพียงชื่นชมด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิได้คิดอกุศลใดๆทั้งสิ้น” 

 

 

หากว่าพูดถึงรูปโฉมภายนอก รูปลักษณ์และหน้าตาของเยี่ยเฉินนับว่าอยู่ในระดับยอดเยี่ยม 

 

 

โครงหน้าส่วนนูนโหนกล้วนสมสัดส่วน ปากคอคิ้วคางคมสัน ทั้งยังมีเส้นผมสีน้ำเงินดำยาวที่งดงามอย่างยิ่ง 

 

 

ดวงตาคู่นั้นลึกล้ำดุจน้ำทะเล เหมาะสมกับการเป็นบุรุษเจ้าสำราญอย่างแท้จริง 

 

 

ยิ่งเมื่อมีร่างกายที่สวยงามราวกับนายแบบระดับโลก รูปลักษณ์ของเยี่ยเฉินย่อมโดดเด่นจนเหนือล้ำกว่าเหล่านักรบสวรรค์ทั่วไป 

 

 

ท่าทางที่สุภาพนุ่มนวล ชื่นชมอย่างจริงใจไม่หยาบคาย ย่อมสามารถทำให้ซ่งเจียเหรินพอใจอยู่บ้าง 

 

 

“เห็นแก่ที่เจ้าเป็นนักรบสวรรค์ที่พึ่งมาใหม่ ยังไม่รู้จักกฎเกณฑ์ ข้าจะบอกให้ว่า ยอดพธูของแดนสวรรค์ ย่อมต้องเป็น เทียนโฮ่ว[1] ต่างหาก” 

 

 

แม้ว่าจะพูดออกไปเช่นนั้น แต่ในใจของซ่งเจียเหรินก็ยังคงยินดี “เห็นแก่ที่เจ้าพึ่งมาไม่รู้เรื่องราว ข้าจะไม่ถือสาเอาความกับเจ้า ตำหนักโตวซ่วยกงมิใช่สถานที่ที่เจ้าควรจะมา จงรีบไปเสีย” 

 

 

“ขอบคุณในความปรารถนาดีของเทพธิดา” ตู๋กูซิงหลันพยักหน้า นางเองก็ไม่คิดจะสร้างความกระโตกกระตากใดที่นี่ 

 

 

พอหมุนตัวกลับ เหาะออกไปยังไม่ทันถึงสองก้าว ก็ถูกซ่งเจียเหรินเรียกเอาไว้อีก 

 

 

“เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันชะงักเท้าหยุดลง หันกลับมา นางคลี่ยิ้มสดใสราวลูกหมาย้อย “ผู้น้อย เยี่ยเฉิน เป็นนักรบสวรรค์ใต้บัญชาของเทพสงคราม” 

 

 

“เยี่ยเฉิน…..” ซ่งเจียเหรินทวนชื่อนั้นเบาๆ นางถูกรอยยิ้มสดใสราวลูกหมาน้อยของเจ้าหนุ่มนั่นทำเอาใจเต้นโครมคราม “เหมือนว่าจะเคยได้ยินจากที่ใดมาก่อน…” 

 

 

ในแดนสวรรค์ เพียงแบ่งลำดับชั้นอย่างเข็มงวด แต่การแบ่งแยกระหว่างชายหญิงกลับมิได้ชัดเจน 

 

 

นี่อาจมิใช่เรื่องของความรัก แต่เพื่อการบำเพ็ญเพียร ในแดนสวรรค์จึงมีการจับคู่เพื่อฝึกฝนอยู่มากมาย 

 

 

มีทั้งที่เต็มใจร่วมกันฝึกฝน และแบบทั้งที่บีบบังคับให้ฝึกฝนร่วมกัน 

 

 

ซ่งเจียเหรินพึ่งบอกลากับคู่ฝึกคนก่อน จัดว่าอยู่ในช่วงพึ่งโสด[2] นางกำลังคิดจะหาหนุ่มเนื้ออ่อนมาร่วมกันฝึกฝนซวงซิว นี้มิใช่ว่าช่างบังเอิญพอดีหรอกหรือ 

 

 

ขณะที่นางพึมพำอยู่กับตนเอง ตู๋กูซิงหลันก็เหาะออกไปไกลแล้ว 

 

 

เหาะผ่านตำหนักโตวซ่วยกง ก็ได้เจอหมีหลัวกง กว่างหมิงกง เมี่ยวเหยียนกง ไท่หยางกง ฮว่าเล่อกง หยุนโหลกง อูฮ่าวกง ถงหวากง 

 

 

ตำหนักเหล่านั้นล้วนครึกครื้น มีเทพธิดาและเทพบุตรเหาะไปมาอย่างคึกคัก 

 

 

ตำหนักต่างๆในแดนสวรรค์มิได้อยู่ในระดับเดียวกันทั้งหมด 

 

 

แต่ละตำหนักแยกออกจากกัน ล้วนตั้งอยู่บนหมู่เมฆ และระหว่างดวงดาวต่างๆ 

 

 

หลังจากเหาะผ่านตำหนักนั้นตำหนักนี้ สายตาของนางก็มองไปเห็นตำหนักที่วิจิตรงดงามที่สุดในแดนสวรรค์ 

 

 

มังกรสีเขียวหยกเก้าตัวบินผงาดนำทางอยู่ด้านหน้า ตำหนักที่ใหญ่โตโอ่อ่าหลังหนึ่งตระหง่านอยู่เหนือหมู่เมฆ 

 

 

 มังกรทองขนดทั้งแปดสิบแปดตัวแทบจะทะลวงหมู่เมฆเบื้องบนออกไป 

 

 

ท่ามกลางหมู่มังกรขนดเหล่านั้น คือบันไดที่สูงตระหง่านแห่งหนึ่ง 

 

 

บันไดสร้างขึ้นจากหยกขาวมีทั้งหมดสิบแปดชั้น 

 

 

ที่อยู่เบื้องหลังของบันไดคือวังที่วิจิตรงดงามตระการตาหลังหนึ่ง 

 

 

วังขนาดใหญ่ที่สูงหลายร้อยเมตรหลังหนึ่ง ตำหนักหลักตั้งอยู่ตรงกลาง อักษรขนาดใหญ่ ‘หลิงเซียวเป่าเตี้ยน’ สี่ตัวลอยพลิ้วอยู่เบื้องบน 

 

 

รอบข้างของตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนยังมีตำหนักน้อยอีกหลายหลัง 

 

 

รอบนอกของตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนทั้งหลังมีเขตอาคมที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งคุ้มครองอยู่ 

 

 

งดงามอลังการ สวยสง่าล้ำโลก 

 

 

เหตุที่ยามตู๋กูซิงหลันอยู่บนตำหนักของเทพสงครามแต่กลับมองไม่เห็นตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนแห่งนี้ ก็คงจะเป็นเพราะว่ามีเขตอาคมบังตาอยู่นั่นเอง 

 

 

หากเอาเกณฑ์ของโลกปัจจุบันมาใช้ สิ่งก่อสร้างที่สูงประมาณร้อยเมตร สมควรมีทั้งหมดสามสิบชั้น 

 

 

และตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนแห่งนี้ อย่างน้อยๆต้องสูงกว่าหกร้อยเมตรแล้ว 

 

 

กะกะดูแล้วก็ต้องมีขนาดเทียบเท่ากับตึกสองร้อยชั้นในโลกปัจจุบัน 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “….” 

 

 

หากว่ามิได้เห็นด้วยตาของตนเอง นางคงต้องคิดว่านี่มันเกินจริงไปแล้ว 

 

 

บนตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยน มีอัญมณีหลากสีสัน แต่ละอย่างต่างก็แข่งขันกันเปล่งประกายสุดชีวิต 

 

 

ตอนแรกนางก็คิดว่าซือเป่ยหรูหรามากแล้ว 

 

 

ตอนนี้ดูๆไปแล้ว ตำหนักเทพสงครามก็แค่ของเด็กเล่นเท่านั้น 

 

 

หากหยิบเอามุกมณีบนตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนสักเม็ดออกมา ก็สามารถเขวี้ยงใส่ตำหนักเทพสงครามจนเป็นรูโบ๋ได้แล้ว 

 

 

ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ ตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนแห่งนี้มิได้อยู่นิ่ง! 

 

 

ตอนแรกตู๋กูซิงหลันเข้าใจไปว่า มังกรทั้งเก้าที่อยู่ตรงหน้าตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนสร้างขึ้นจากหยกเขียว 

 

 

แต่ความคิดนั้นต้องถูกปฏิเสธอย่างรวดเร็ว 

 

 

นั่นคือมังกรจริงๆ! 

 

 

บนลำคอของพวกมันยังมีโซ่ขนาดใหญ่หนาเท่าท่อนแขน มังกรทั้งเก้าถูกล่ามเอาไว้ด้วยกัน พอแส้จากท้องฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาครั้งหนึ่ง ก็จะได้ยินเสียงร้องคำรามสะเทือนฟ้าสะท้านดินจากมังกรเขียวหยกเหล่านั้น 

 

 

เสียงคำรามเหล่านั้นบีบรัดเข้าไปในหัวใจของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

นางรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังและเสียงวิงวอนดังสะท้อนไม่สิ้นสุดจากเสียงคำรามที่ได้ยิน 

 

 

ในกายของนางมีสายเลือดของมังกรทมิฬไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่ง อีกทั้งบิดาคนงามยังยกตำแหน่งประมุขเผ่ามังกรทมิฬให้กับนาง 

 

 

ภาษาของมังกร นางในตอนนี้จะฟังไม่เข้าใจได้อย่างไร? 

 

 

เพียงแต่ว่าทั้งที่ได้ยินเป็นครั้งแรก แต่ว่าจิตใจกลับได้รับความสะเทือนใจถึงเพียงนี้ 

 

 

พวกมังกรที่ถูกบังคับให้มีชีวิตอยู่เช่นนี้ ช่างสงสารอย่างยิ่ง 

 

 

แส้สวรรค์แต่ละเส้นที่ฟาดลงไป ฉีกเนื้อหนังของพวกมันออกมา 

 

 

แต่แล้วบาดแผลบนร่างของพวกมันก็ประสานคืนดังเดิมอย่างรวดเร็ว 

 

 

จากนั้นก็ฉีกขาดอีกครั้ง แล้วก็ประสานคืนอีก 

 

 

โซ่แต่ละเส้นทะลวงเข้าไปในลำคอของพวกมัน ถูกพวกมันลากดึงวังที่วิจิตรงดงามแต่หนักยิ่งกว่าภูเขาลูกหนึ่งเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ 

 

 

และเหล่าเทพองค์อื่นๆที่เห็นอยู่ ต่างก็มีรอยยิ้มอยู่ในหน้า 

 

 

“เจ้าสัตว์เดรัจฉานเหล่านี้กรีดร้องอยู่ทั้งวี่ทั้งวัน ช่างหนวกหูจริงๆ” 

 

 

“เทียนตี้และเทียนโฮว่ทรงมีพระเมตตา มิได้ตัดลิ้นของพวกมันทิ้งไป เผ่ามังกรกระทำความผิดมีโทษมหันต์ แต่แค่ถูกจับกลับมาลากตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนเท่านั้น ยังจะน่าอนาถในที่ใด?” 

 

 

“ที่น่าสงสารก็คือหูของพวกเรา ที่ต้องทนทรมานฟังเสียงร้องคำรามของพวกมันอยู่ทุกวัน” 

 

 

ในหูของตู๋กูซิงหลันมีแต่เสียงของเทพเหล่านั้นดังกลับไปกลับมา 

 

 

ในตอนนี้ นางได้แต่กำหมดแน่น 

 

 

แม้แต่เยี่ยเฉินที่มีกำเนิดจากเผ่ามังกรทมิฬก็ยังคำรามอยู่ภายในไปพร้อมๆกับนาง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้ถึงจิตมังกรที่ถูกผนึกเอาไว้ของเยี่ยเฉินกำลังร้องคำรามอย่างเกรี้ยวกราด 

 

 

ถึงแม้ว่าเยี่ยเฉินจะมิใช่ตัวดีงามอะไร แต่ก็มิใช่ผู้ที่จะยืนเฉยทนดูเผ่าเดียวกันถูกทรมาน 

 

 

“ข้าขอสาบานในฐานะประมุขแห่งเผ่ามังกร สักวันหนึ่งจะต้องปลดปล่อยพวกเจ้าออกมา ให้ได้รับอิสระ” 

 

 

เมื่อได้มองดูมังกรหยกเหล่านั้น ตู๋กูซิงหลันก็ได้แต่เอ่ยความคิดนี้อยู่ในใจ 

 

 

ขณะที่มังกรหยกทั้งหลายลากวังเหาะผ่านนางไป พวกมันก็เหมือนรู้สึกได้ถึงบางสิ่งจึงพากันหันมามองดูนางแวบหนึ่ง 

 

 

…………………………… 

 

 

 

 

 

[1] ชายาเอกของจักรพรรดิสวรรค์ 

 

 

[2]  [kōngchuāngqī] (ช่องว่างระหว่างบานหน้าต่าง): = ช่วงที่ร่างกายได้รับเชื้อจนถึงเริ่มแสดงอาการ ภายหลังถูกนำมาใช้กับความรัก คือช่วงโสด พึ่งจบกับรักเก่า และกำลังรอคอยรักใหม่