บทที่ 839 เจ้ามาทำอะไรที่นี่?

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 839 เจ้ามาทำอะไรที่นี่?

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

เมื่อเห็นว่าเป็นหลินเป่ยเฉินที่โผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นดิน ดวงตาของเด็กสาวบนรถเข็นก็ทอประกายวูบวาบ แต่สีหน้าปรากฏความผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย

“ค่ำคืนช่างยาวนาน ข้านอนไม่ค่อยหลับ ก็เลยอยากมาเห็นหน้าพี่สาวสักหน่อยน่ะขอรับ…”

หลินเป่ยเฉินผู้กระโดดขึ้นมาจากใต้ดินก้มหน้ามองกลีบดอกบัวที่หล่นกระจายอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ก่อนจะพูดอย่างปวดใจว่า “พี่สาว ทำแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ ข้าอุตส่าห์เก็บดอกไม้มาฝากท่าน แต่ท่านกลับระเบิดมันไม่เหลือชิ้นดี ท่าน…”

“เฮอะ เก็บดอกไม้ของเจ้ากลับไปให้ผู้อื่นเถิด”

เหยียนอิงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้ารู้ดีว่าเจ้าต้องการอะไร เลิกใช้ลูกไม้ตื้นๆ เช่นนี้ได้แล้ว… จงบอกมาเดี๋ยวนี้ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

หลินเป่ยเฉินใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเศร้าเสียใจ

นี่คือบัวสวรรค์เชียวนะ

ระเบิดกระจายไปอย่างไร้ค่า

เขาไม่เข้าใจจิตใจของเหยียนอิงเลยจริงๆ

ช่างมีอารมณ์รุนแรงเหลือเกิน

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่ แต่เมื่อมีเวลาได้ตั้งสติเล็กน้อย เขาก็ตัดสินใจดำเนินการตามแผนการเดิมต่อไป “แน่นอนว่าข้ามาที่นี่ทั้งที ย่อมมีเรื่องดีๆ มาบอกต่อท่านอยู่แล้ว หลังจากที่พูดคุยกันเมื่อครั้งก่อน ข้าไปนอนคิดอยู่หลายคืนว่าจะช่วยท่านอย่างไรดี สุดท้าย ข้าก็ค้นพบวิธีที่จะทำให้ท่านสามารถครองอำนาจได้อย่างมั่นคง…”

“เจ้าจะใจดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”

เหยียนอิงหัวเราะเยาะด้วยความขบขัน

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “แน่นอนสิขอรับ ก็ในเมื่อท่านเปรียบเสมือนเป็นพี่สาวของข้า…”

เมื่อพูดจบ หลินเป่ยเฉินก็ถึงกับสำลักน้ำลายเล็กน้อยเมื่อเห็นแววตาวาวโรจน์ด้วยความดุร้ายของเด็กสาวบนรถเข็น หลังจากนั้น เขาจึงรีบตัดสินใจเปลี่ยนคำพูดของตนเองทันทีด้วยการหัวเราะฮ่าฮ่า และกล่าวต่อ “แต่มีอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญคือ ข้าได้ยินมาว่าฝ่ายท่านเองก็กำลังมีปัญหากับทางวังบาดาลเช่นกัน ข้าอุตส่าห์หวังดีต่อท่านแท้ๆ แต่ท่านกลับมองข้าในแง่ร้ายไปเสียได้ เฮ้อ มันช่างน่าน้อยใจนัก…”

“นั่นเป็นเพราะว่าในพจนานุกรมของข้า ไม่มีที่ว่างสำหรับคำว่าล้มเหลว”

เหยียนอิงพูดสวนกลับมาน้ำเสียงเย็นเยียบ

หลินเป่ยเฉินคลี่ยิ้มเล็กน้อย

เขาได้ยินบทสนทนาก่อนหน้านี้ระหว่างเด็กสาวกับนักบวชหรงตั้งแต่ต้นจนจบ

“พี่สาวจ๋า คนฉลาดไม่เคยหลอกลวงตนเอง ท่านย่อมรู้สถานการณ์ดีมากกว่าข้า”

หลินเป่ยเฉินลอยตัวสูงขึ้นไปในอากาศอย่างช้าๆ และก้มหน้ามองลงไปที่เด็กสาวบนรถเข็น ก่อนที่เขาจะหัวเราะเยาะและพูดต่อ

“ท่านกับข้าร่วมมือกัน พวกเราต่างได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่ มิฉะนั้นแล้ว ข้าจะขัดขวางท่านทุกทางที่ทำได้… ท่านเองก็รู้ดีว่าข้าเป็นใคร ข้าคือหลินเป่ยเฉินผู้ทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะได้ขึ้นเถลิงอำนาจ จักรวรรดิแห่งนี้ต้องตกเป็นของข้า มันเป็นความฝันที่ไม่เคยหายไปจากจิตใจของข้าเลยแม้แต่วันเดียว…”

“ฮ่าฮ่า พี่สาว ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ร่วมมือกับข้า ต้องขอบอกเลยว่าการดำเนินงานของท่านนั้นเชื่องช้ามากเกินไป ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรข้าได้มากนัก แต่โชคดีที่ข้าเตรียมตัวไว้ก่อนล่วงหน้านานแล้ว ข้าจึงมีวิธีที่จะแก้ไขสถานการณ์ของท่านได้ทั้งหมด และท่านจะสามารถครอบครองมณฑลเฟิงอวี่ได้ในเวลาสิบวัน โดยไม่ต้องสูญเสียทหารแม้แต่นายเดียว”

เหยียนอิงจ้องมองเด็กหนุ่มในอากาศด้วยสีหน้าพิศวง

นี่หรือคือความทะเยอทะยานของเด็กหนุ่ม?

ช่างน่าประทับใจเหลือเกิน

สมแล้วที่นางตัดสินใจร่วมมือกับเขา

แต่หลินเป่ยเฉินต้องการอะไรตอบแทนล่ะ?

“หึหึ…” เด็กสาวหัวเราะในลำคอ รถเข็นค่อยๆ ลอยขึ้นไปในอากาศจนอยู่ในระดับเดียวกับหลินเป่ยเฉิน “เจ้าพูดจริงหรือ? เจ้าจะสามารถทำได้อย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินอยากแสดงความเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่า ด้วยการลอยตัวสูงขึ้นไปอีกเล็กน้อย “บ่ายวันพรุ่งนี้ ข้าจะกลับมาที่นี่อีกครั้งในฐานะของผู้ปกครองมณฑลเฟิงอวี่ และข้าจะมาเจรจาขอสงบศึกกับพวกท่านด้วยฐานะตัวแทนจักรวรรดิเป่ยไห่ ข้าจะยอมยกมณฑลเฟิงอวี่ให้กับท่านทั้งหมด แต่ท่านต้องรับปากว่าจะยินยอมปล่อยให้ประชาชนอพยพออกไปอย่างปลอดภัย และทุกเมืองที่อยู่ในมณฑลนี้จะตกเป็นของท่าน ยกเว้นแต่นครเจาฮุยเพียงแห่งเดียวเท่านั้น”

“ว่าไงนะ?”

ในที่สุด เหยียนอิงก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา

นางลืมแม้แต่จะยกรถเข็นให้ลอยสูงขึ้นไปเทียบเท่ากับเขา

หลินเป่ยเฉินไม่ตอบรับคำใด เพียงแต่ก้มหน้ามองลงมาพร้อมกับส่งยิ้มหวาน

เด็กสาวบนรถเข็นสูดหายใจลึก “เจ้าเนี่ยนะเป็นตัวแทนจักรวรรดิเป่ยไห่?”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างผู้ชนะ

เหยียนอิงถามด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้าทำได้อย่างไร?”

เด็กหนุ่มเอียงหน้าทำมุม 45 องศา ยิ้มมุมปาก แล้วตอบ “เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาที่ท่านต้องสนใจ พี่สาวสนใจเรื่องของตนเองก่อนดีกว่า จัดการทุกอย่างให้ดี อย่าทำให้ข้าต้องเสียเวลาอีก”

เหยียนอิงขมวดคิ้วนิ่วหน้า

ต้องยอมรับเลยว่านี่เป็นข้อเสนอที่ยากต่อการปฏิเสธ

ถือเป็นการทำภารกิจที่นางได้รับมอบหมายสำเร็จเสร็จสมบูรณ์

กองทัพชาวทะเลคำนวณว่าอาจจะต้องมีนายทหารของพวกเขาตกตายนับพันชีวิต และได้รับบาดเจ็บอีกไม่ต่ำกว่า 800 ราย

แต่บัดนี้ นางอาจจะสามารถยึดครองมณฑลเฟิงอวี่ได้ โดยไม่ต้องสูญเสียกำลังทหารเพิ่มอีกแม้แต่ชีวิตเดียว

ตราบใดที่นางสามารถทำให้ฝ่ายมนุษย์ส่งคนมาเจรจาขอสงบศึกด้วยการยกดินแดนได้สำเร็จ ก็จะถือว่าเหยียนอิงทำหน้าที่ในการบัญชาการรบได้อย่างดีเยี่ยม และไม่มีเหตุผลที่ทางศาลสมุทรจะตัดสินถอดถอนนางออกจากตำแหน่ง ซึ่งนั่นก็จะทำให้แผนการที่องค์ชายฉีจะมาเป็นผู้บัญชาการรบแทนนางต้องพังทลายลงไปราบคาบ

แล้วตำแหน่งของเหยียนอิงก็จะกลับมามั่นคงอีกครั้ง

นางจะมีเวลาวางแผนสำหรับการชำระแค้นมากขึ้นอีกด้วย

“เจ้าแน่ใจหรือ?”

เด็กสาวบังคับรถเข็นให้ลอยสูงขึ้นไปมากกว่าหลินเป่ยเฉิน ก่อนก้มหน้ามองลงไปที่เขาด้วยความหวาดกลัวว่าเด็กหนุ่มสมองเสื่อมผู้นี้จะเพียงพูดจาล้อเล่นเท่านั้น

หลินเป่ยเฉินลอยตัวสูงขึ้นมาอีกครั้ง ศีรษะของเขาชนเข้ากับเพดานกระโจมขณะตอบว่า “ข้าขอเอาชื่อมารดาท่านเป็นเดิมพัน…”

“หุบปาก”

ชายเสื้อคลุมของเด็กสาวปลิวไสว แสดงให้เห็นว่านางโกรธกริ้วขึ้นมาจริงๆ เด็กสาวกัดฟันตอบว่า “ข้าเชื่อเจ้าก็ได้”

หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม

มารดาของนางก็คือภรรยาอาจารย์ของเขา นับเป็นหลักประกันที่สมควรเชื่อถืออยู่แล้ว

“งั้นบอกมาเลยว่าเจ้าต้องการสิ่งใด?”

เหยียนอิงเป็นบุคคลฉลาดเฉลียว ย่อมรู้ดีว่าการร่วมมือเช่นนี้ หลินเป่ยเฉินคงต้องการผลประโยชน์ตอบแทนใหญ่หลวง

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “สิ่งที่ข้าต้องการไม่มีอะไรมากมาย มณฑลเฟิงอวี่เป็นของท่าน เมืองเจาฮุยเป็นของข้า ข้าต้องการจะเช่าที่ดินของเมืองเจาฮุยจากชาวทะเล”

“เช่าที่ดิน?” เด็กสาวบนรถเข็นขมวดคิ้ว “นานแค่ไหน?”

“ขอเช่าสักพันปี… เอ่อ สักหนึ่งร้อยปีก็พอแล้ว”

เด็กหนุ่มรู้สึกว่าหนึ่งพันปีออกจะยาวนานเกินไปหน่อย เขายิ้มและพูดต่อ “ขอข้าอธิบายเพิ่มเติมสักหน่อยนะว่า ระหว่างที่มีการเช่าเมืองเจาฮุย การบริหารงานบ้านเมืองต้องเป็นของพวกข้าโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ชาวทะเลห้ามยื่นมือเข้ามาแทรกแซง พวกเรายินดีจ่ายภาษีเพิ่มเติม ซึ่งค่าภาษีและค่าเช่าที่ดินเหล่านี้ เดี๋ยวเราค่อยมาคุยกันทีหลังก็ได้…”

เหยียนอิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ไม่มีปัญหา แต่นครเจาฮุยต้องเปิดรับชาวทะเล ห้ามขับไล่พวกเราเด็ดขาด”

หลินเป่ยเฉินผายมือออกกว้าง “ย่อมได้ แต่เมื่อเหยียบเท้าเข้ามาในเมืองเจาฮุยแล้ว ชาวทะเลก็จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของมนุษย์ หากพวกเขาทำผิดกฎหมาย ก็จะถูกจับไต่สวนดำเนินคดีตามความผิดในศาลมนุษย์ และหากชาวทะเลของพวกท่านไม่เชื่อฟังคำสั่ง ก็อย่าหาว่าข้าโหดร้ายอำมหิตมากเกินไปแล้วกัน”

“ประเสริฐ”

เหยียนอิงใช้เวลาขบคิดเพียงเล็กน้อย ก็ตัดสินใจรับข้อเสนอของเด็กหนุ่ม

หลังจากนั้น พวกเขาก็หารือกันเรื่องรายละเอียดในสัญญาสงบศึก

เมื่อขั้นตอนดำเนินการมาถึงส่วนนี้ สีหน้าของเด็กสาวบนรถเข็นก็มีความผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว

บางครั้งนางถึงกับยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

รายละเอียดในสัญญาสงบศึกถูกร่างขึ้นมาคร่าวๆ หลินเป่ยเฉินไม่ลืมตรวจสอบจนแน่ใจว่านี่คือการลงนามในสัญญาที่จะไม่มีปัญหาแทรกซ้อนตามมาทีหลัง

เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็เรียบร้อย

“พี่สาวได้โปรดเตรียมตัวให้พร้อม อย่าทำให้ข้าผิดหวังอีกเป็นอันขาด ท่านจงอย่าลืมว่าไม่ใช่ทุกคนที่ข้ายินดีร่วมมือด้วยเช่นนี้”

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืน ทำท่าจะเตรียมตัวกลับ

เด็กสาวบนรถเข็นมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดออกมา “ครั้งนี้ถือว่าเจ้าชนะ ครั้งหน้าข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าได้เห็นว่า การที่เจ้าเลือกร่วมมือกับข้านั้น คือการตัดสินใจที่ฉลาดที่สุดในชีวิตของเจ้า”

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”

หลินเป่ยเฉินจมตัวหายลงไปใต้พื้นดิน

ตอนที่เขาจมลงไปได้ครึ่งตัวนั้น เด็กหนุ่มทอดสายตาจ้องมองกลีบดอกบัวที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ในหัวใจเกิดความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวจนต้องถอนหายใจ บ่นออกมาว่า “เฮ้อ ดอกไม้งามถูกทำลายอย่างไร้ความปราณี… นี่คือบัวสวรรค์ที่หายากและบริสุทธิ์ ไม่เคยได้รับการแตะต้องจากผู้คนมายาวนานนับร้อยปี…”

พูดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสุดแสนเสียใจว่า “แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ครั้งแรกที่ข้าพบเจอดอกบัวดอกนี้ มันสวยงามอย่างหาตัวจับยาก งอกเงยขึ้นมาท่ามกลางโคลนตม สภาพภายนอกอาจจะดูเย็นชา แต่ภายในกลับบริสุทธิ์ผุดผ่องและอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง ข้าได้กลิ่นหอมของมันตั้งแต่ไกล และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทันทีที่ข้าเห็นดอกบัวดอกนี้ ข้าก็นึกถึงท่านขึ้นมาทันที ท่านรู้หรือไม่ว่านี่คือบัวสวรรค์ที่ขึ้นอยู่ในวิหารเทพกระบี่ ข้าอุตส่าห์ยอมเสี่ยงตายเก็บมันมาฝากท่านโดยเฉพาะ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าท่านกลับ… ฮื่อ”

พูดจบ เด็กหนุ่มก็มุดดินหนีไปโดยไม่เปิดโอกาสให้เหยียนอิงได้พูดแก้ต่างสักคำ

เหยียนอิงถึงกับตกตะลึง

“สภาพภายนอกอาจจะดูเย็นชา แต่ภายในกลับบริสุทธิ์ผุดผ่องและอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง…”

“ข้าอุตส่าห์ยอมเสี่ยงตายเก็บมันมาฝากท่านโดยเฉพาะ…”

คำพูดของหลินเป่ยเฉินดังก้องกังวานอยู่ในหัวใจเหยียนอิง

โดยเฉพาะหลังจากที่นางกับเขาเพิ่งเจรจาสงบศึกกันอย่างลงตัว

เด็กสาวจิตใจเหม่อลอย เมื่อตั้งสติได้อีกครั้ง สายตาของนางก็จับจ้องไปยังกลีบดอกบัวที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นดิน

นางพบว่าตนเองกำลังรู้สึกผิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย เหยียนอิงก็โบกสะบัดมืออีกครั้ง

แล้วกลีบดอกบัวที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นดินก็รวมตัวกันใหม่กลายเป็นดอกบัวขาวที่สมบูรณ์แบบดอกหนึ่งดังเดิม