บทที่ 3069 (3) บทพิเศษ 2
นั่นคือทารกน้อยเพศชายที่น่ารักน่าเอ็นดูปานหยกสลักคนหนึ่ง อายุราวหกเดือน บนร่างสวมชุดคลุมตัวน้อยสีครามดาราตัวหนึ่ง ปอยผมดำสนิท เครื่องหน้าจิ้มลิ้มงดงาม
เขาลืมตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นแจ่มใสดั่งนภากระจ่าง ราวกับมีแสงดาวส่องสกาวไหลวนอยู่
สายตาของเขาหันเหมาที่ใบหน้าของตี้ฝูอีกู้ซีจิ่วและตี้ซวี่เยวี่ยอย่างรวดเร็วยิ่ง จากนั้นก็แย้มยิ้ม ยื่นมือเล็กจ้อยออกมาหากู้ซีจิ่ว ท่าทางสื่อว่าขอให้อุ้ม “ท่านแม่ ท่านพ่อ!”
ไม่น่าเชื่อว่าเกิดมาก็พูดเป็นเลย!
กู้ซีจิ่วมองรอยยิ้มของเขาแล้วรู้สึกเพียงว่าหัวใจหลอมละลายแล้ว ก้าวเข้าไป อุ้มเขาขึ้นมา “เฮ่าเอ๋อร์!”
ยามที่เปล่งเสียงนี้ออกมา หัวใจเธอรวดร้าวขึ้นมาอย่างน่าประหลาดแวบหนึ่ง ราวกับว่าได้สิ่งที่เสียไปกลับคืนมาอีกครั้ง ได้อุ้มแล้วก็ไม่อยากจะปล่อยอีก
ตี้ฝูอีก็คล้ายจะโล่งอกเช่นกัน รับตัวเขาไป เพ่งพิศขึ้นๆ ลงๆ ครู่หนึ่ง พลังวิญญาณที่แฝงเร้นอยู่ในร่างเด็กคนนี้ช่างน่าตะลึงนัก เป็นต้นกล้าที่ต้องอบรมบ่มเพาะให้ดี! เขามีทายาทสืบทอดแล้ว!
“เจ้าเด็กตัวเหม็น ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกมาได้เสียทีนะ!”
เขาบีบคลึงแขนขาของบุตรชาย เริ่มร่างแผนการอบรมเลี้ยงดูอยู่ในใจแล้ว…
ตี้เฮ่าถูกเขามองด้วยสายตา ‘มีแผนการ’ ตัวแข็งทื่อไปแวบหนึ่ง ตัดสินใจชูมือเล็กจ้อยขอให้มารดาอุ้ม
ท่านพ่อน่ากลัวเกินไปแล้ว!
เขาเพิ่งอายุแค่นี้ก็เริ่มวางแผนต่อตัวเขาแล้ว
ผู้อื่นยังไม่ต้องการรับตำแหน่งอะไรทั้งนั้น ผู้อื่นยังเป็นเด็กน้อยอยู่! เป็นเด็กน้อยของจริงแล้ว!
“ท่านแม่ๆ ให้ข้าอุ้มเสี่ยวซิงซิงบ้างสิ ให้ข้าอุ้มเสี่ยวซิงซิงบ้าง!” ตี้ซวี่เยวี่ยกระโดดโลดเต้นอยู่รอบตัวกู้ซีจิ่วร้อนใจ ปรารถนาจะอุ้มน้องชายคนนี้อย่างยิ่ง
กู้ซีจิ่วย่อมไม่คิดจะทำให้บุตรสาวผิดหวัง เอ่ยกำชับสองสามประโยค ก็ส่งตี้เฮ่าให้นาง
ตี้ซวี่เยวี่ยมองหนูน้อยตาโตในอ้อมแขน แย้มยิ้มปานบุปผา “น้องชาย น้องชาย เจ้านุ่มนิ่มเหลือเกิน” นางตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว พูดคุยกับเขา “น้องชาย ข้าพาเจ้าเหาะขึ้นไปบนฟ้าสักรอบดีหรือไม่?”
ไม่รอให้กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีตอบตกลง นางก็อุ้มเขาเหาะทะยานขึ้นฟ้าไปแล้ว…
นางเหาะเหินได้มั่นคงยิ่ง สายลมบนท้องนภาพัดโหม พัดพาอาภรณ์นางจนเกิดเสียงดังพึ่บพั่บ
นางเกรงว่าสายลมจะพัดตีดวงหน้าน้อยๆ ของน้องชายจนยับย่น จึงกางเขตแดนไว้รอบกาย สายลมกระโชกแปรเปลี่ยนเป็นสายลมเอื่อยริน พัดต้องหน้าแล้วสบายยิ่งนัก
“น้องชาย การเหาะของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ตี้ซวี่เยวี่ยตื่นเต้นคึกคัก
“ดีมาก! เพียงแต่ ยังดีไม่เท่าข้าหรอก” ตี้เฮ่าที่อยู่ในอ้อมแขนนางเอ่ยขึ้น
ซวี่เยวี่ยเลิกคิ้วขึ้นสูง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ “เจ้าเพิ่งถือกำเนิดนะ จะเหาะเป็นได้ยังไง?”
“หากว่าข้าเหาะเป็นเล่า?”
“ถ้าเจ้าเหาะได้ข้าจะเรียกเจ้าว่าพี่ชายเลย!”
ตี้เฮ่ายิ้มแล้ว ดวงตาหยีโค้งดุจจันทร์เสี้ยว เขาดิ้นออกมาจากอ้อมแขนนาง ร่างกายเล็กจ้อยยืนอยู่บนยอดเมฆาและไม่น่าเชื่อว่าจะยืนได้มั่นคงยิ่ง เขาลากตี้ซวี่เยวี่ยออกเหินบิน เหาะทะยานย่างทั้งเร็วทั้งมั่นคง
ตี้ซวี่เยวี่ยตาค้างอ้าปากหวอ “เจ้า…เจ้า…”
“เอาล่ะ ซวี่เยวี่ย เรียกพี่ชายสิ”
ตี้ซวี่เยวี่ยอ้ำอึ้ง “…เสี่ยวซิงซิง…”
“ห้ามเรียกแบบนี้ ซวี่เยวี่ย ข้าเหาะได้ดีกว่าเจ้า เจ้าต้องรักษาคำพูดสิ มา เรียกพี่ชายนะ”
ตี้ซวี่เยวี่ยเงียบงันไป
ให้นางเรียกเด็กน้อยตัวเท่านี้ว่าพี่ชาย นางเรียกไม่ออกจริงๆ
แต่นางก็ไม่อยากเป็นคนไม่รักษาคำพูด จึงหาทางเบี่ยงหัวข้อสนทนาไปเสียเลย
นางมองไปด้านหน้า พบว่าทิศทางที่ตี้เฮ่าพานางเหาะมุ่งไปคือตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุด…
นางเอ่ยถามด้วยความฉงน “เจ้าจะพาข้าไปไหน?”
“พาเจ้าไปซื้อกลเก้าห่วงไง…”
….
————————————————————————————-
บทที่ 3070 บทพิเศษ 3 หยกนภา
บทพิเศษ หยกนภา
นับตั้งแต่ข้ามีจิตวิญญาณขึ้นมาก็รู้แล้วว่า ตนเป็นหยกชิ้นหนึ่งพิเศษไม่เหมือนผู้ใด!
หินหยกชิ้นอื่นก็คือหินหยก แต่ข้ากลับเป็นศิลาดวงดาวก้อนหนึ่งที่เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ใช้ควบคุมจัดการโลกหล้าสรรพสิ่ง เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์อาศัยดาราควบคุมสรรพสิ่ง ในจักรวาลมีทวีปดินแดนมากมายเพียงใด ศิลาดวงดาวในมือของเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ก็มีมากมายเท่านั้น หน้าที่ของข้าก็คือถ่ายทอดโองการแก่ผู้พิทักษ์ลิขิตสวรรค์ ปกป้องปวงประชาหกภพภูมิ
ข้ามีพี่น้องอยู่มากมาย พวกเขาต่างมีความสามารถเฉพาะตัว และต่างมีผู้พิทักษ์ของตัวเอง ส่วนข้าคือก้อนสุดท้ายที่ถือกำเนิดขึ้นมา ตอนที่ข้าถือกำเนิดขึ้นเป็นช่วงเวลาที่เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์เพิ่งฝ่าด่านเคราะห์กลับสู่ฐานะเดิม ยามนั้นเขาอ่อนแอยิ่งนัก ตัวคนมีสภาพหมดอาลัยตายยาก เขาทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อนำเศษดวงวิญญาณกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าใช้วิธีการใดถึงควบรวมไว้ด้วยกันได้บรรจุใส่ในร่างข้า…
ข้าเพิ่งจะเกิดจิตวิญญาณขึ้นมา ยังคงมึนงงอยู่ จำได้เพียงว่ายามนั้นอยู่ในแดนต้องห้ามสำหรับทวยเทพ รอบข้างเนืองแน่นรายล้อมไปด้วยศิลาดวงดาว เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ยืนอยู่บนแท่นสูง ตัวคนอ่อนแรงเสมือนถูกงมขึ้นมาจากน้ำ สีหน้าก็ซีดเซียวอย่างยิ่ง
เขาลูบตัวข้า เรียกข้าว่า ‘ซีจิ่ว’ เอ่ยว่า “ซีจิ่ว ข้าไม่มีทางปล่อยให้ดวงวิญญาณเจ้าแตกสลายไปเช่นนี้! เจ้าต้องกลับมาได้แน่! ต่อให้ข้าต้องทุ่มพลังทั้งหมดก็ต้องทำให้เจ้าหวนกลับมา!”
ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงทราบว่าดวงวิญญาณเล็กๆ ที่อยู่ในร่างข้านามว่า ‘ซีจิ่ว’ เพียงแต่วิญญาณดวงนี้ได้รับความเสียหายร้ายแรงเกินไป แตกสลายเป็นหลายพันเศษเสี้ยว สามจิตเจ็ดวิญญาณไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งหมดที่รวบรวมมาได้มีเพียงหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณเท่านั้น ถึงแม้จะฝืนยึดรวมกันไว้ได้ แต่มันก็ไม่มีจิตสำนึกเลย ข้าสงสัยว่ามันคงไม่มีวันฟื้นตื่นขึ้นมาได้…
เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์หลั่งโลหิตหยดหนึ่งลงบนร่างข้า บอกว่านี่คือโลหิตจากหัวใจเขา สามารถหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณได้ ทำให้ดวงวิญญาณค่อยๆ ซ่อมเสริมขึ้นมาจนสมบูรณ์ได้ จากนั้นก็ติดตั้งกำบังพลังวิญญาณไว้รอบกายข้า บอกว่ามีสิ่งนี้อยู่ ผู้ใดก็ไม่อาจทำลายได้…
เขาให้ข้าหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณนี้ให้ดีๆ ไม่อนุญาตให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ขึ้น
ฟังจากที่เขาพูดคือ รอให้เขาฟื้นฟูหายดีแล้ว จะใช้อาคมชั้นสูงรวบรวมเจ้าวิญญาณน้อยดวงนี้ให้สมบูรณ์เพื่อคืนชีพให้อีกครั้ง กำหนดเวลาคือหนึ่งร้อยปี เขาบอกว่าหลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยปีแล้วจะทำให้นางถือกำเนิดใหม่
แต่แผนการยั่งยืนมิอาจสู้การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วได้ ยามที่ออกมาเขาเก็บข้าไว้ในแขนเสื้อ พบเข้ากับฟั่นเชียนซื่อที่ใกล้จะคลุ้มคลั่งแล้ว ฟั่นเชียนซื่อบุกเข้าไปในแดนต้องห้ามสำหรับทวยเทพ เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์บอกว่า ฟั่นเชียนซื่อคือศิษย์เพียงคนเดียวที่นางห่วงพะวง ไม่อาจปล่อยให้เขาประสบเหตุได้ ด้วยเหตุนี้จึงกลับเข้าไปในแดนต้องห้ามสำหรับทวยเทพเพื่อช่วยเหลือเขา
ผลคือสุดท้ายแล้วเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์อ่อนแรงเกินไป ใช้วิชาต้องห้ามเก็บรวบรวมดวงวิญญาณมาก็ผลาญพลังวิญญาณส่วนใหญ่ของเขาไปแล้ว ซ้ำยังสร้างข้าขึ้นมาเพื่อหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณโดยเฉพาะอีก เขาแทบจะเป็นม้าตีนปลายแล้วส่วนฟั่นเชียนซื่อผู้นั้นอาจเป็นเพราะโศกเศร้าจนเกินไป ไม่น่าเชื่อว่าจะบุกเข้าไปถึงตำหนักเทวาของแดนต้องห้ามสำหรับทวยเทพได้
หลังจากเขาบุกเข้าไปแล้ว ตำหนักเทวาก็ปิดตัวลงทันที แม้แต่เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ก็เข้าไปไม่ได้
ส่วนเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ก็ไม่ได้คิดจะเข้าไป เขานั่งใจลอยอยู่ด้านนอกตำหนัก ค่อยๆ ฟื้นฟู…
ต่อมาประตูตำหนักเปิดขึ้นอีกครั้ง ฟั่นเชียนซื่อก้าวออกมา
ข้าไม่ใคร่กระจ่างนักว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในช่วงเวลานี้ อย่างไรก็ตามยามที่ฟั่นเชียนซื่อออกมา เขากับเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ต่างลืมเลือนตัวตนของซีจิ่วผู้นั้นไปแล้ว แม้แต่ข้าเองก็ลืมเลือนไปด้วยเช่นกัน ข้าถึงขั้นที่ลืมไปเลยว่าในร่างข้าได้เก็บซ่อนเสี้ยววิญญาณดวงหนึ่งไว้…
เสี้ยววิญญาณนี้ถูกเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ใช้วิชาลับกักไว้ในร่างข้า ถ้าไม่ใช้วิธีการพิเศษเฉพาะทาง ยากจะมีใครสังเกตเห็นได้
หลังจากเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์หวนคืน ข้างกายเขามีศิลาดวงดาวให้ใช้การอยู่มากมายเหลือเกิน ส่วนข้าก็ถูกเขาโยนทิ้งให้ขึ้นราในซอกหลืบหนึ่งของมิติเก็บของมาโดยตลอด
ข้าไม่ยินดีจะอยู่เช่นนี้ไปตลอด จึงเฝ้ารอโอกาส ในที่สุดก็มุดออกมาจากถุงเก็บของของเขาได้
ยามนั้นเขากำลังเดินหมากกับฟั่นเชียนซื่ออยู่ ข้าหล่นลงบนกระดานหมากเสียงดังแกรก
ประเหมาะบังเอิญนัก ข้ากระแทกหมากตัวหนึ่งแตก
เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ใช้ปลายนิ้วคีบข้าขึ้นมา มองแวบหนึ่ง “ศิลาดวงดาวก้อนนี้ช่างฉูดฉาดนัก”
ฟั่นเชียนซื่อยิ้ม “ไม่นึกเลยว่าบนร่างของท่านเจ้าจะมีของฉูดฉาดเช่นนี้อยู่ด้วย สีสันเช่นนี้มองแล้วกลับเจิดจ้าเป็นพิเศษ ช่างแตกต่างกับศิลาดวงดาวอื่นๆ เหลือเกิน”
เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์จึงวางข้าลงบนกระดานหมากเสียเลย “มันทำหมากตัวหนึ่งของเปิ่นจุนแตก เช่นนั้นก็ใช้มันเดินหมากแทนแล้วกัน”
ข้ารู้สึกว่าข้ายังมีความสามารถที่ทรงพลังกว่านี้ ไม่ใช่มารับบทบาทเป็นตัวหมากอยู่ที่นี่
ใช้ข้าต่างตัวหมากก็แล้วไปเถิด เขายังใช้ข้าเป็นของรางวัลในการเดินหมากด้วย บอกว่าถ้าฟั่นเชียนซื่อชนะเขาได้สักตา เขาก็จะมอบ ‘ข้า’ ให้แก่เขา
ฟั่นเชียนซื่อมีความรู้สึกดีต่อตัวข้า ตอบตกลง แล้วตั้งอกตั้งใจเดินหมากยิ่งนัก
แต่วิชาหมากของฟั่นเชียนซื่อห่างชั้นกับเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์เกินไป ถึงแม้เขาจะตั้งใจยิ่งนัก แต่ก็ยังจบลงด้วยความพ่ายแพ้อยู่ดี
ของรางวัลอย่างข้าย่อมยังคงเป็นทรัพย์สินของเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์อยู่ ไม่ได้ถูกส่งมอบออกไป
แต่ข้ากลับหงุดหงิดแล้ว! รู้สึกว่าเขาหมิ่นแคลนศักดิ์ศรีของศิลาลิขิตสวรรค์อย่างข้า
จึงหาจังหวะเหมาะหนีออกจากบ้านเสียเลย พเนจรไปตามดวงดาว และข้าก็ได้ตั้งนามที่มีความภูมิฐานอย่างยิ่งให้ตัวเองว่า…หยกนภา
ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปเนิ่นนานเพียงใดแล้ว เมื่อร่อนแร่พเนจรไปนานเข้าทำให้ข้าลืมเลือนประวัติความเป็นมาของตนไป รู้สึกรางๆ เพียงว่าตนไม่ธรรมดายิ่งนัก ต้องปกปักรักษาอะไรสักอย่าง แต่รายละเอียดที่ว่าต้องปกปักรักษาอะไรนั้นกลับนึกไม่ออกเลย
บังเอิญมีอยู่หนหนึ่ง ข้าได้พบกับฟั่นเชียนซื่ออีกครั้ง
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะยังจำข้าได้ เอ่ยทักทายข้า “เอ๊ะ นี่มิใช่…ของรางวัลชิ้นนั้นหรอกหรือ?”
ข้าโกรธมาก เจ้าน่ะสิของรางวัล! ตั้งแต่หัวจรดเท้าของเจ้าล้วนเป็นของรางวัล!
ฟั่นเชียนซื่อจับข้าไว้ บอกว่าเขาชอบความสว่างบนร่างข้า อยากใช้ข้าเป็นมุกราตรี ประดับตกแต่งห้องของเขา
ข้าสู้เขาไม่ได้ อีกทั้งไม่ยินดีเป็นของตกแต่งชิ้นหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ข้าจึงลดแสงทั้งหมดในร่างตนลงโดยอัตโนมัติ กลายเป็นหินสีเทาก้อนหนึ่ง
ฟั่นเชียนซื่อย่อมมองออกว่าข้าไม่เต็มใจ เขาตรวจสอบข้า คิดจะบังคับให้เปล่งแสงบนกายขึ้นอีกครั้ง กลับคาดไม่ถึงว่าจะจับพลัดจับผลู ทำให้เขาสัมผัสถึงเสี้ยววิญญาณดวงน้อยที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวข้าได้…
ข้าถูกเขาทำให้สลบไป พอฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าอยู่ในโลกที่คึกคักหลากแสงสีใบหนึ่ง กลายเป็นเครื่องประดับบนข้อมือของหลงฟั่นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง
ข้ามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าตนได้สูญเสียบางสิ่งไปแล้ว แต่ข้าตรวจสอบร่างกายตัวเองอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็ไม่มีเหลี่ยมหินมุมไหนหายไปเลย แต่ในใจข้ากลับรู้สึกโหวงเหวงอยู่เสมอ ราวกับมีชิ้นส่วนหนึ่งในชีวิตขาดหายไป
ข้าติดตามเขาใช้ชีวิตอยู่บนทวีปนั้น เรียนรู้ทักษะมากมายนับไม่ถ้วน รู้จักผู้คนมากมายยิ่ง แต่ข้าลืมเลือนเรื่องในอดีตไปแล้ว เพียงจดจำได้รางๆ ว่าตนสมควรต้องพิทักษ์ดูแลคนผู้หนึ่ง แต่สมควรต้องพิทักษ์ดูแลผู้ใดนั้นไม่ว่าจะทำอย่างไรก็นึกไม่ออกเลย
หลงฟั่นบอกว่าข้าเป็นปัญญาประดิษฐ์ล้ำยุค และเป็นศิลาลิขิตสวรรค์ สามารถสัมผัสถึงกฎเกณฑ์แห่งลิขิตสวรรค์ได้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงมอบภารกิจสวรรค์อย่างหนึ่งให้ข้า พาข้าข้ามมิติไปยังทวีปซิงเยวี่ย ถ่ายทอดความรู้นับไม่ถ้วนของทวีปซิงเยวี่ยให้ข้า จากนั้นก็ให้ข้าไปตามหาสตรีคนหนึ่งที่มีนามว่ากู้ซีจิ่ว รั้งอยู่ข้างกายนาง เป็นผู้ช่วยของนาง…
วินาทีที่ได้เห็นกู้ซีจิ่วในโรงประมูลหัวใจที่แข็งทื่อเยียบเย็นของข้าหลอมละลายกลายเป็นลาวา
คือนาง! คนที่ข้าสมควรจะพิทักษ์ดูแลก็คือนาง! คนที่ข้าต้องการจะพิทักษ์ดูแลก็คือนาง
ข้ารู้สึกเหมือนแยกจากนางไปนานแล้วได้พบกันอีกครั้ง
ราวกับว่าในที่สุดชิ้นส่วนที่ขาดหายไปในชีวิตของข้าก็ได้รับการเติมเต็มให้สมบูรณ์แล้ว…
….
——————————————————————————–