บทที่ 1243 ชายเสื้อคลุมเพลิง

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1243 ชายเสื้อคลุมเพลิง

ฟิ้ว**!**

พื้นที่กว้างใหญ่ขมุกขมัวระหว่างฟ้าดิน เงาลุกโชติช่วงพุ่งผ่านขอบฟ้า เขาเป็นชายแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีแดงที่มีเปลวไฟเต้นระริกอยู่บนร่างกาย

นี่เป็นเอกลักษณ์จากคลื่นหลิงเพลิงทรงพลังที่เขาฝึกฝน ทำให้คลื่นหลิงที่ปล่อยออกมาเหมือนเสื้อเพลิงห่อหุ้มเขาไว้

ขณะนี้เขากำลังกวาดมองไปรอบๆ ราวกับเหยี่ยวออกล่า

สายตากวาดไปมาค้นหาเหยื่อ เมื่อพบใครที่อ่อนแอกว่าก็จะเข้าไปจัดการและแย่งป้ายสัประยุทธ์มาเป็นของตน

ทว่าสถานะระหว่างเหยื่อกับนักล่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาในสนามรบแห่งนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก ถ้าพบว่าอีกฝ่ายทรงพลังเกินไปก็จะหลบหนีไปทันที

ด้วยทักษะการหลบหลีกขั้นเทพที่ไม่เหมือนใคร ทำให้เขามั่นใจว่ามีจอมยุทธ์ที่ขุมพลังเดียวกันไม่มากที่สามารถตามจับเขาได้

นอกจากนี้หากคู่ต่อสู้ไล่ตาม เขาสามารถใช้สถานการณ์เพื่อทำให้คู่ต่อสู้อ่อนล้าและชิงความได้เปรียบในการต่อสู้

ก่อนหน้านี้เขาได้ใช้กลยุทธ์ที่ศัตรูไล่ล่าและตนหลบหนี ชิงป้ายสัประยุทธ์มาได้ป้ายหนึ่งแล้ว

ตอนนี้เขามีป้ายสัประยุทธ์สองป้ายที่กำลังหมุนช้าๆ เหนือฝ่ามือ เขายิ้มบางเนื่องจากรู้ว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับตนเองที่จะครองอันดับหนึ่งในสถานที่ซึ่งมีจอมยุทธ์มากมายมารวมตัวกัน ดังนั้นตำแหน่งนักรบทวีปจึงไม่ได้เป็นเป้าหมายของเขา แต่ทำเพื่อใช้ป้ายเหล่านี้แลกเปลี่ยนของบางอย่างจากคลังสัประยุทธ์

เขาสามารถถอนตัวออกจากการแข่งขันเมื่อได้สมบัติที่ต้องการ ส่วนตำแหน่งก็ปล่อยให้คนอื่นๆ ต่อสู้กันไป…

“หืม?”

ขณะที่เกิดความคิด จู่ๆ ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไป ดวงตาหรี่ลงมองไปที่เทือกเขาที่อยู่ห่างไกล เขารู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานบางจางที่กำลังแอบหนีอย่างเงียบๆ ในขณะนี้

เจ้าของคลื่นพลังกำลังพยายามอย่างที่สุดเพื่อปกปิดคลื่น แต่ชายเสื้อคลุมเพลิงก็ยังรู้สึกถึงคนคนนั้นได้อยู่

เปลวไฟรวมตัวในดวงตาของเขา วิสัยทัศน์ก็ย่นระยะมองเห็นร่างเงาที่อยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขาทันที

“จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น?”

เมื่อชายเสื้อคลุมเพลิงเห็นร่างอ่อนเยาว์ เขาก็อึ้งไปก่อนที่รอยยิ้มจะโค้งขึ้นบนริมฝีปาก “มู่เฉินเหรอ?”

ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายมีจอมยุทธ์หนึ่งเดียวที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น นั่นก็คือมู่เฉิน

เมื่อชายเสื้อคลุมเพลิงรู้สึกถึงการมีอยู่นั้น อีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้สึกเช่นกัน เขาพุ่งหนีทันที ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานข้ามภูเขาอย่างต่อเนื่องเพื่อพยายามหลบหนี

“เฮ้ ป้ายสัประยุทธ์ที่ส่งมาถึงหน้าบ้านจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไง?”

ชายเสื้อคลุมเพลิงยิ้มกว้าง ก่อนที่จะกระทืบเท้า เปลวไฟปะทุออกมาจากนั้นร่างก็หายไป เขาไปปรากฏขึ้นเหนือเทือกเขา ซัดฝ่ามือลงมา

เขาเป็นคนระวังตัว เนื่องจากเคยได้ยินเรื่องการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินกับสงป้า ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเป็นการดีที่สุดที่คลื่นหลิงของเขาจะไม่สัมผัสกับมู่เฉิน

ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะเข้าใกล้มู่เฉินในการปะทะกันตัวต่อตัว เลือกที่จะระดมยิงคลื่นหลิงจากระยะไกล

ตู้ม!

ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยคลื่นหลิงเพลิง โอบล้อมป่าในเทือกเขาทำให้ป่าไม้กลายเป็นทะเลเพลิงทันที

ปัง!

ทว่าเงาของมู่เฉินกลับสามารถหลบหนีไปได้ในช่วงเวลาสำคัญ แต่คลื่นกระแทกรุนแรงก็ทำให้เขาดูน่าสมเพช

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับสภาพตอนนี้ เขายังคงวิ่งต่อไป

“คิดหนีเรอะ?”

ชายเสื้อคลุมเพลิงหัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้วิ่งไล่ทันที สายตาของเขากวาดไปทั่วภูเขา หลังจากค้นพบว่าไม่มีคลื่นหลิงอื่นใดรอบตัว เขาก็เปลี่ยนร่างเป็นลำแสงและไล่ล่าอีกฝ่ายไป

ในสนามรบแห่งนี้ ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายคนไหนที่จัดการได้ง่าย การพยายามที่จะได้รับป้ายสัประยุทธ์จากพวกเขายากมาก ดังนั้นจอมยุท์ตี้จื้อจุนขั้นต้นจึงเปรียบเสมือนอ้อยเข้าปากช้าง

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องระมัดระวัง เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ตกลงไปในกับดัก…

เมื่อเกิดความคิดนี้ ชายเสื้อคลุมเพลิงก็ไล่ล่ามู่เฉินโดยเว้นระยะห่าง ส่งการโจมตีทำลายล้างเป็นครั้งคราวเพื่อทำให้มู่เฉินหมดแรงให้จงได้

ดังนั้นยามนี้เทือกเขาตลอดทางจึงกลายเป็นทะเลเพลิงอย่างต่อเนื่องพร้อมร่างเงาวิ่งหลบหนีอยู่ที่เบื้องหน้า…

จัตุรัสเมืองซีเทียนจั้น

เหล่าผู้ชมมองไปที่หน้าจอด้านบนที่ฉายฉากมากมาย

แต่ละหน้าจอฉายฉากที่จอมยุทธ์กำลังเกิดการต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่าน

ชัดว่าหน้าจอเหล่านี้สะท้อนให้เห็นภาพสถานการณ์ในสนามรบทั้งสาม

ตราบใดที่มีการต่อสู้เกิดขึ้นก็จะมีการฉายภาพขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้ดู

“หลิงจั้นจื่อน่ากลัวมาก… ผ่านไปไม่นานเขาก็เอาชนะคนสามคนได้แล้ว!”

“หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อก็ไม่ได้ด้อยกว่า พวกเขาชนะคนไปสองคนแล้ว…”

“จุ๊ๆ ลั่วหลีไร้เทียนทานในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นนัก…”

“ความสำเร็จของหลิงเฟยจื่อก็น่าตกใจไม่แพ้กัน…”

“…”

ขณะที่ผู้ชมเฝ้าดูก็จะมีเสียงไชโยโห่ร้องและอุทานดังออกมาเป็นครั้งคราว

ลั่วเทียนเสินก็กำลังเฝ้าดูพร้อมกับฝูงชนด้วยสีหน้าปีติยินดีนัก เมื่อเห็นหลานสาวโผทะยานไปทั่วสนามรบ

แม้ว่าลั่วหลีจะเพิ่งบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่เนื่องจากได้รับมรดกของลั่วเสิน รากฐานของนางจึงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง นอกจากนี้นางยังมีวิธีมากมายที่แม้แต่ผู้เป็นปู่ก็ไม่ทราบ เห็นได้ชัดว่ามาจากการสืบทอดมรดกของลั่วเสินที่นางได้รับ

“ลั่วหลียังไม่ได้ใช้ร่างเทพวารี หากนางใช้ละก็จะมีคนไม่มากที่สามารถคุกคามนางในสนามรบได้” ลั่วเทียนเสินลูบเครา สายตามองไปยังหน้าจออื่น จากนั้นคิ้วเขาก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย

เนื่องจากช่วงเวลานี้เขาไม่เห็นแม้แต่เงาของมู่เฉิน ซึ่งนั่นหมายความว่ามู่เฉินยังไม่ได้เริ่มการเคลื่อนไหวใดๆ ประสิทธิภาพเช่นนี้ต่ำกว่าพวกหลิงจั้นจื่อมาก

ทว่าลั่วเทียนเสินรู้ดีว่าด้วยขุมพลังระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นของมู่เฉินเป็นเรื่องยากมากที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นเขาจึงได้แต่ภาวนาว่ามู่เฉินจะมีหนทางราบรื่น

“ฮ่าๆ นั่นไม่ใช่มู่เฉินเหรอ?”

“ทำไมเขาถึงหนีอย่างน่าสมเพชเช่นนั้น… ดูเหมือนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะแรงไปสำหรับเขานะ”

“เขาหยิ่งผยองและกล้าดูถูกทวีปซีเทียนเอง หึ ตอนนี้เขาจะได้รู้ซึ้งถึงพลังที่แท้จริงของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเมื่อลงมือสู้…”

ทันใดนั้นเสียงดังขึ้นกะทันหันก็ดึงดูดความสนใจของลั่วเทียนเสิน เขาหันไปที่หน้าจอนั่นทันที เขาเห็นเปลวเพลิงสีแดงเข้มลุกโชนเป็นทางตามเทือกเขา เงาร่างหนึ่งกำลังหลบหนีซึ่งก็คือมู่เฉินนั่นเอง!

ผู้คนโดยรอบก็เห็นภาพนี้ แต่ละคนหัวเราะกันเอิ้กอ้าก ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยได้ยินว่ามู่เฉินเป็นคนพิเศษเพียงใด แต่จากที่ดูเขาตอนนี้ เหมือนจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้ว

ทว่าลั่วเทียนเสินกลับหรี่ตาแคบลง แต่ก็ไม่ได้กังวล เนื่องจากตัวเขาเข้าใจวิธีของมู่เฉินดี ด้วยความแข็งแกร่งที่มีมู่เฉินไม่มีทางอยู่ในสภาพน่าสมเพชจากการไล่ล่าของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายคนเดียวแน่นอน…

ดังนั้น…มีเหตุผลเดียวที่เขาทำเช่นนี้

แสดงความอ่อนแอเพื่อล่อลวงศัตรูให้ติดกับดัก

ตู้ม**!**

ภายใต้ฝ่ามือเพลิงภูเขาหนึ่งลูกก็ลดจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ชายสวมเสื้อคลุมเพลิงมองมู่เฉินที่แม้จะดูน่าสมเพช แต่ก็ยังสามารถวิ่งหลบซ้ายป่ายขวาได้ไม่หยุด เขาเริ่มขมวดคิ้วรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นเล็กน้อย

“ข้าลากการต่อสู้นี้ไม่ได้อีกแล้ว ถ้าดึงดูดคนอื่นเข้ามาอาจทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน” สายตาชายสวมเสื้อคลุมเพลิงเคร่งขรึมลงเมื่อมองไปยังมู่เฉินที่หนีไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่ง เขาไม่ลังเลอีกต่อไปโบกแขนเสื้อทันที เมฆเพลิงยิงออกมากลายเป็นม่านล้อมรอบภูเขาที่มู่เฉินอยู่

หลังจากปิดผนึกเทือกเขาทั้งหมด ชายสวมเสื้อคลุมเพลิงก็กลายเป็นร่างแสงทะยานออกมาก่อนที่จะปรากฏขึ้นเหนือเทือกเขาแห่งนี้ สายตาจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง

“ทำไมไม่วิ่งต่อแล้วล่ะ?” ชายสวมเสื้อคุลมเพลิงเยาะเย้ยด้วยสายตาเย็นชา

ทว่ามู่เฉินกลับเหยียดเอวเมื่อเผชิญหน้ากับการเยาะเย้ย เขาเงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มประดับบนใบหน้า “ก็เจ้าระมัดระวังตัวแจ ข้าเลยต้องวิ่งอ้อมซะไกลเพื่อลดความระแวงของเจ้า…”

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ชายเสื้อคลุมเพลิงก็รูม่านตาหดเกร็ง เปลวเพลิงระเบิดออกมาจากฝ่าเท้าโดยไม่ลังเล ทันใดนั้นเขาก็เร้าวิชาเพลิงทะยานเพื่อหลบหนี

ไม่ว่าคำพูดของมู่เฉินจะใช่เรื่องจริงหรือไม่ ที่เขาระวังตัวก็เพราะต้องการความปลอดภัยไว้ก่อน อย่างมากถ้าพบว่ามู่เฉินโกหก เขาก็แค่ไล่ตามต่อ

ผลัวะ!

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับปฏิกิริยารวดเร็วของชายเสื้อคลุมเพลิง มู่เฉินก็ยิ้มบางก่อนจะเหยียดมือออกมาพร้อมกับเสียงโปร่งดังสะท้อน

ตู้ม!

ทันทีที่เสียงดังขึ้น ทั้งเทือกเขาก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เสาคลื่นหลิงนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ถักทอเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ล้อมรอบพื้นที่ทั้งหมดในทันที

ค่ายกลที่ก่อตัวนี้ประกอบไปด้วยมังกรคลื่นหลิงเก้าตัวภายใน พวกมันจ้องมองอย่างดุเดือดบนร่างชายสวมเสื้อคลุมเพลิง

มู่เฉินมองสีหน้าไม่น่าดูของอีกฝ่ายก็ยิ้มอ่อน “นี่คือสภาพสมบูรณ์แบบของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร ลองลิ้มชิมรสดูหน่อยนะ”