เมื่อน้ำเย็นไหลรด รสชาตินี้ไม่จำเป็นต้องบรรยายก็สัมผัสได้ ความสั่นสะท้านที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของความร้อนความเย็น พริบตาก็ทำให้สวี่อินหลิงที่นัยน์ตาลุ่มหลงส่งเสียงกรีดร้องออกมา ร่างกายสั่นเทิ้มและได้สติในทันที
ร่างของนางสั่นเทา ขณะมองหวังเป่าเล่อโดยไม่ได้ใส่ใจหยดน้ำที่ไหลลงมาจากศีรษะ นัยน์ตาซับซ้อนยากจะอธิบาย ชะงักงันพูดไม่ออก
“ถ้ามีสติแล้วก็รีบปรับพลังปราณเสียที อีกไม่นานก็ถึงวันที่สิบแล้ว รีบไประลึกชาติของเจ้าซะ” หวังเป่าเล่อกล่าวเสียงเบา สวี่อินหลิงไม่กล้าขัดขืน ทำได้เพียงก้มหน้ารับคำ
ตอนที่น้ำเย็นเฉียบราดลงมา หวังเป่าเล่อก็ได้คลายผนึกบนร่างนางไปแล้วบางส่วน แม้จะยังมีข้อจำกัดอยู่ แต่ไม่มีผลต่อการระลึกชาติแต่อย่างใด
ดังนั้นสถานที่ที่ทั้งสองอยู่จึงตกอยู่ในความเงียบอย่างรวดเร็ว สวี่อินหลิงเงียบเฉย หวังเป่าเล่อก็จมดิ่งอยู่ในความคิด ถึงแม้จะเป็นเพราะจิ้งจอกน้อยตัวนั้นทำให้เขาไม่ได้ยินคำพูดของใบหน้าที่กลายมาจากตะขาบ ทว่าคำพูดก่อนหน้านั้นของใบหน้าจากตะขาบนั่นก็ยังคงเผยข้อมูลออกมาไม่น้อยอยู่ดี
“มีความเป็นไปได้สองประการ ประการแรกแม้จะถูกแทรกแซงจากอีกฝ่าย แต่ลำดับอดีตชาติของข้ายังคงถูกต้อง เพราะมีประสบการณ์จากอดีตชาติที่เก้า ดังนั้นจึงมีมือของอีกฝ่ายในอดีตชาติที่หนึ่ง หลังจากที่ฆ่าข้าแล้ว พูดคำพูดนั้น…”
“และประการที่สองก็คือ…การแทรกแซงของใบหน้าตะขาบได้บิดเบือนเหตุผลทั้งหมดและสวมทับในความทรงจำของข้า ทำให้ข้าคิดว่า คำพูดพวกนั้นมาจากร่างที่กลายมาของมัน แต่ความจริงแล้ว…มีเหตุผลอื่นอยู่ในนั้น!”
ความจริงเป็นเช่นไร หวังเป่าเล่อยากจะตัดสิน ความเป็นไปได้ทั้งสองอย่างนี้นับว่ามีครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ สิ่งที่หวังเป่าเล่อสนใจมากกว่านั้นก็คือคำพูดแรกที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา
“ซ่อนอยู่ในตัวข้า? เขาหมายถึงอะไร แม่นางน้อย? หรือขวดปรารถนา? หรือว่าเป็นอย่างอื่นที่ข้าไม่รู้?” หวังเป่าเล่อคิดไปคิดมาก็ยังไม่ได้คำตอบเช่นเดิม
แต่ว่าไม่ว่าอย่างไร จากการอาศัยสวี่อินหลิงมองทุกอย่างในครั้งนี้ก็ทำให้เขาเห็นความจริงของโลกนี้มากขึ้นอยู่บ้าง ราวกับม่านบังตาใกล้จะถูกเปิดออกแล้ว
“ยังมีโอกาสอีกครั้ง…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขารู้ว่าการทดสอบฝึกพลังมีวันจบ และตอนนี้ก็เหลือแค่เพียงวันที่สิบชาติที่สิบเท่านั้น
บางทีเขาอาจจะมีอดีตชาติที่สิบเอ็ดสิบสองจนถึงแปดสิบเก้าสิบ แต่เห็นได้ชัดว่าในการทดสอบพลังฝึกปรือไม่สามารถจะไประลึกชาติได้ทุกชาติ ดังนั้นในบางคราโอกาสครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายก็ได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อจึงก้มหน้ามองร่างกายตนเอง ขณะที่มือขวายกขึ้น ในมือพลันปรากฏผลึกแก้ว สิ่งนี้…เป็นสิ่งที่เหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์เคยมอบให้ คือโอกาสที่ปรมาจารย์แห่งไฟแลกมาให้ตน
“บางทีสำหรับข้าแล้วอาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา จากคำเรียกขานว่าวานรเฒ่าก่อนหน้านี้ ทำให้ข้อจำกัดของที่นี่ไร้ผลต่อเขา นี่ทำให้เขาพลันรู้สึกว่าโอกาสที่อาจารย์มอบให้ตน บางทีอาจเป็นเพราะเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ตั้งใจจะให้
“วานรเฒ่าเป็นเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ จิ้งจอกน้อยคือจื่อเยว่ เช่นนั้นเสือน้อย…เป็นใคร?” หลังจากงึมงำ ในใจก็มีตัวเลือกแล้ว แต่ยังไม่แน่ชัด ต้องพิสูจน์ต่อไปถึงจะได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึกสะกดความคิดฟุ้งซ่าน ขณะที่หลับตาเคลื่อนพลังปราณ เตรียมร่างกายให้อยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด
คงไว้เช่นนี้ หนึ่งชั่วยามต่อมา…เสียงแหบพร่าที่เคยดังขึ้นหลายคราก็ได้ลอยขึ้นในการทดสอบพลังฝึกปรือซึ่งเหลือผู้ฝึกตนเพียงน้อยนิดเป็นครั้งสุดท้าย
“วันที่สิบ ชาติที่สิบ!”
สิ้นเสียง ไอหมอกรอบด้านในสายตาหวังเป่าเล่อยังคงปกติ ครั้งนี้กระทั่งความรู้สึกดำดิ่งก็ไม่เหลือแล้ว กลับเป็นทางสวี่อินหลิง แสงนำทางบนร่างของนางเรืองรอง ดำดิ่งเข้าไปในการระลึกชาติอย่างราบรื่น
“นางทำได้ ทำไมข้าไม่ได้!” หวังเป่าเล่อมุ่นคิ้วเข้าหากัน หากแต่ระลึกชาติไม่ได้ก็คือระลึกชาติไม่ได้ ยากที่จะฝืน ดังนั้นหลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นแสงนำทางบนร่างตนเองแม้จะยังเรืองรองอยู่ แต่กลับค่อยๆ หม่นแสงลง หวังเป่าเล่อจึงถอนหายใจ มือขวายกขึ้นผนึกฝ่ามือ ขณะที่กำลังจะใช้นิมิตมืดลองเข้าไปในการระลึกชาติของสวี่อินหลิงอีกครั้ง
ทว่าเวลานี้…ผลึกแก้วที่เหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์มอบให้เขาก็เปล่งแสงเรืองรองขึ้นอย่างกะทันหัน แสงเรืองรองนี้ได้ส่งผลต่อแสงนำทาง ทำให้แสงที่หม่นลงมีพลังไหลเข้าไปแล้วเปล่งแสงเรืองรองออกมาอีกรอบ ถึงขั้นที่ว่าแสงที่เปล่งออกมานั้นเรืองรองกว่าที่เคยมี จนกลายเป็นทะเลแสงกลืนกินหวังเป่าเล่อไว้ด้านใน
เมื่อแสงคลุมครอบร่าง หวังเป่าเล่อหัวใจสั่นสะท้าน ไอหมอกรอบด้าน ในที่สุดก็เริ่มหมุนเคลื่อน ความรู้สึกดำดิ่ง…และแล้วก็มาเสียที!
และสิ่งที่ทำให้หัวใจของเขารัวเร็วกว่านั้น ก็คือความรู้สึกดำดิ่งที่รุนแรงมากกว่าคราวก่อนๆ จวบจนไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสียงดังกังวานขึ้นในหัว สติสัมปชัญญะของเขา…ก็หายไปแล้ว
ไร้ความเย็นเยียบ
ไร้ความมืดมิด
ไร้ความเจ็บปวดรุนแรง
แสงแดดเจิดจ้า สายลมอ่อนๆ พัดต้นหลิวริมแม่น้ำ พาให้กิ่งหลิวระผิวน้ำจนเกิดริ้วคลื่นเป็นวง ก่อนจะกระจายหายไป แต่ไม่นานก็ถูกคลื่นจากเรือที่พายมาแต่ไกลกระทบเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นคลื่นเล็กๆ แล้วกระจายหายไปอีกครั้ง
หลังจากคลื่นกระจายไปพร้อมกันก็ตามมาด้วยเสียงเพลงกังวานใส ยังไม่ทันฟังเนื้อเพลงอย่างชัดเจน เพียงทำนองก็สะท้อนความครึกครื้นของชาวประมง และสอดประสานเข้ากับเสียงเซ็งแซ่ของผู้คน ถ่ายทอดไปยังผู้คนที่ขวักไขว่อยู่ริมน้ำทั้งสองฟาก
เสียงเรียกลูกค้า เสียงทักทายปราศรัย เสียงตะโกนของการแสดง ยังมีเสียงพูดคุยของชายหญิงทั้งหลาย รวมทั้งเสียงอื้ออึงและเสียงสุนัขเห่าที่ลอยมาเป็นระยะ เสียงเหล่านี้ราวกับผสานเข้าด้วยกันเป็นการเปิดฉากของโลกใบนี้
เสียงเหล่านั้นได้ปลุกชายหนุ่มที่แต่งกายราวกับบัณฑิตผู้หนึ่ง ขณะกำลังงีบหลับกลางวันอยู่บนโต๊ะในโรงน้ำชาริมแม่น้ำให้ตื่นขึ้น
ชายหนุ่มผู้นี้ร่างกายผอมแห้ง หน้าตาดูไม่ได้ มีเพียงดวงตาทั้งสองที่เปิดขึ้นจากการนอนที่ยังนับว่าแจ่มใส เมื่อบิดขี้เกียจเสร็จก็ยื่นแผ่นป้ายไม้สีดำในมือชิ้นหนึ่งวางบนโต๊ะ พร้อมเสียงดังกังวานใสที่ส่งออกมา
“เสี่ยวเอ้อร์ คนมาครบหรือยัง” ชายหนุ่มแสร้งกระแอม โรงน้ำชากึ่งกลางแจ่งแห่งนี้เดิมไม่ได้ใหญ่มาก เพียงกวาดตามองรอบหนึ่งก็สามารถเห็นได้ทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเวลานี้แทบจะไร้ที่นั่งว่าง ทว่าชายหนุ่มยังคงวางท่าตะโกนเรียก
“ครบแล้วๆ ในที่สุดคุณชายซุนก็ตื่นเสียที ทุกคนมารอกันครู่ใหญ่แล้ว แต่ก็ไม่กล้ารบกวนท่านจึงคิดจะรออีกสักพัก” เสี่ยวเอ้อร์ของโรงน้ำชาเป็นหนุ่มน้อยดูเฉลียวฉลาด เมื่อได้ยินก็รีบวิ่งฉิวมาพร้อมกับกาน้ำชาและผ้าขนหนูบนบ่า มาถึงแล้วก็ใช้ผ้าเช็ดโต๊ะก่อนเติมน้ำชาให้ชายหนุ่มผู้นั้นจนเต็มถ้วยด้วยรอยยิ้มประจบประแจงบนใบหน้า
บริเวณรอบร้าน โต๊ะมีผู้คนที่มาถึงนานแล้ว ยามเห็นชายหนุ่มตื่นขึ้นก็ส่งเสียงหัวเราะยิ้มแย้มออกมา
“คุณชายซุน พวกเรามากันได้สักพักแล้ว ท่านก็ตื่นแล้ว เช่นนี้อีกสักตอนไหม?”
“คุณชายซุนขออีกตอน!”
“ใช่แล้วคุณชายซุน รอบที่แล้วพูดถึงมีผู้ฝึกอะไรทั้งสองนั่นชิงตำแหน่งเซียน พอข้ากลับไปแล้วในใจก็คันยุบยิบ อยากจะฟังอีกทันที”
ผู้คนรอบๆ ต่างเอ่ยปากกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรงน้ำชายิ่งครึกครื้น เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ชายหนุ่มผู้นั้นจึงกระแอมอีกทีหนึ่งก่อนจะชี้ไปยังคนที่เอ่ยเมื่อครู่
“ผู้ฝึกอะไร นั่นเรียกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์!”
“ใช่ๆๆ ผู้เยี่ยมยุทธ์ คุณชายซุนท่านรีบเล่าต่อเถิด ทุกคนต่างร้อนใจกันแย่แล้ว!”
ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆ ในใจรู้สึกลำพองอย่างอดไม่ได้ ดังนั้นจึงตบแผ่นไม้สีดำในมือลงบนโต๊ะอีกครั้งหนักๆ เมื่อเกิดเสียงดังก้องกังวาน จึงเริ่มโคลงศีรษะ ส่งเสียงเป็นจังหวะจะโคน
“คราวก่อนพูดถึง เก้าพันหมื่นปีและก่อนที่อาณาจักรเต๋าไพศาลซึ่งอยู่นอกผืนดินท้องฟ้าแห่งนี้จะล่มสลาย ณ อวกาศอันแสนไกลไร้ขอบเขตและไม่คุ้นเคย ในช่วงกำเนิดจักรวาลได้มีสองคนที่เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์กำลังแย่งชิงตำแหน่งเซียน!”
“ต้องรู้ก่อนว่าเต๋ามีกฎ จักรวาลมีกฎ อวกาศมีกฎ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเซียน เทพ ปีศาจ มาร ผีต่างๆ ล้วนมีกฎปฏิบัติ อีกทั้ง…เซียนเป็นอันดับหนึ่ง มีอำนาจเหนือทั้งปวง!”
“ดังนั้น…”
“การแย่งชิงของทั้งสอง เรียกได้ว่าฟ้าดินสะเทือน จักรวาลเลือนลั่น!”
“ด้วยเหตุนี้จึงมีดวงดาวถูกทำลายลงจำนวนมาก กฎต่างๆ มากมายพังทลาย สูงต่ำเก้าพันหมื่น ไม่มีที่ใดไม่ช่วงชิง พังทลายและเริ่มใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า!”
ชายหนุ่มโคลงศีรษะ กล่าวอย่างลื่นไหล เล่าขานตำนานที่ผู้คนไม่เคยได้ฟัง ด้วยน้ำเสียงพิเศษและเสียงแผ่นไม้สีดำที่ตบโต๊ะ ราวกับเกิดมโนภาพขึ้นในหัวของผู้คนรอบๆ ซึ่งกำลังฟังตำนานที่เขาเอื้อนเอ่ย จนอดดื่มด่ำไม่ได้ และโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เวลาก็ล่วงเลยมาถึงพลบค่ำแล้ว
“…กลับเห็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เรียกตนเองว่าหลัวใช้กลยุทธ์คุกไร้รูป แต่กลับคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใช้กฎที่ลี้ลับลึกล้ำยิ่งกว่า สุดท้าย…ตัดสินเต๋าสวรรค์ทั้งเก้าพันหมื่นมีความผิด ให้เต๋าทั้งหลายตัดสินโทษ…”
เล่าถึงตรงนี้ ชายหนุ่มเห็นผู้คนต่างจมจ่ออยู่ในห้วงความคิด จึงใช้แผ่นไม้สีดำในมือตบลงบนโต๊ะให้เกิดเสียงดังอีกครั้งอย่างย่ามใจ
“ถ้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ จะเล่าต่อในคราวหน้า สหายทุกท่าน ผู้แซ่ซุนหิวแล้ว ขอไปดื่มสุราก่อน พรุ่งนี้ตอนบ่ายจะรออยู่ที่นี่” กล่าวจบ ชายหนุ่มก็หัวเราะยิ้มแย้มพลางลุกขึ้นอย่างภาคภูมิใจ เก็บเงินที่เสี่ยวเอ้อร์ส่งให้ ก่อนจะประสานมือคารวะให้แก่ผู้ชมทั้งหลายที่ในใจคันยุบยิบ ซึ่งได้แต่ส่งสายตามองมาอย่างจำยอมอยู่รอบๆ จากนั้นจึงผันกายเดินเอ้อระเหยฮัมเพลงออกไปจากโรงน้ำชา
เสียงเพลงลอยมาจากที่ไกลๆ ลอยละล่องอยู่นอกโรงน้ำชาไกลออกไปเรื่อยๆ
“มารไม่หลุดพ้นไม่กลับชาติ เป็นราชาปีศาจในโลกหล้า มิรู้ใครริเริ่มคำเยินยอ ครึ่งเทพครึ่งเซียนแปรผันเปลี่ยน!”
…………………………