ตอนที่ 2243 หัวใจของวิญญาณม่วง

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

หลังจากชั่วเวลาจิบชาหนึ่ง หานลี่ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ห้องโถงชั้นสาม

“พี่หาน ไม่สิ น้องสาวจะเรียกผู้อาวุโสเช่นนี้ไม่ได้แล้ว คาดไม่ถึงว่าช่วงเวลาไม่กี่ร้อยปีผ่านมา ท่านก็สามารถเข้าสู่ระดับมหาเมธีได้แล้ว แม้จะรู้ว่าท่านมีพรสวรรค์ ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องมีวันนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้” หญิงสาวคนนั้นพูดอย่างยิ้มๆ แต่นางก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนิทสนมอะไรมากนัก

“แม่นางหลานไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น เราเป็นคนกันเองทั้งนั้น เหมือนว่าข้าไม่ต้องพูดอะไรมาก พวกท่านก็รู้เรื่องราวของแดนมารทั้งหมดแล้ว” หานลี่ยิ้ม แล้วพูดอย่างอ่อนโยน

ในตอนนั้นผู้หญิงคนนี้ก็ถือว่ามีบุญคุณกับเขามาก หานลี่จึงไม่ได้ใช้ตำแหน่งผู้อาวุโสเพื่อกดดันอีกฝ่าย

“ในเมื่อสหายหานพูดเช่นนี้แล้ว น้องสาวก็ไม่เกรงใจแล้วนะเจ้าคะ เรื่องเกี่ยวกับมหาสงครามสองครั้งของแดนมาร พวกเราชาวก่วงหยวนที่เรียกว่าเป็นผู้รอบรู้ ก็ได้รับข่าวพวกนี้มาด้วยเช่นกัน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าหนอนเพลี้ยตัวแม่ที่เป็นหายนะของแดนปีศาจจะถูกสหายหานและพวกท่านเป่าฮวากำจัดลงได้ ข้าจึงสามารถวางใจต่อไปได้” หญิงสาวคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม

“ความจริงแล้วที่ข้าสามารถฆ่าหนอนเพลี้ยตัวแม่นี้ลงได้เพราะว่าได้รับความร่วมมือจากหลายคน ข้ากับเป่าฮวาเพียงช่วยนิดหน่อยเท่านั้น หนอนเพลี้ยตัวแม่น่ากลัวขนาดนั้น พวกเราก็รับมือกันยาก แค่รักษาชีวิตมาได้ก็เก่งมากแล้ว ถ้าต้องพูดเรื่องรายละเอียดในการฆ่าฝ่ายตรงข้ามแล้ว ข้าเกรงใจว่าจะไม่สะดวกพูดออกไป” หานลี่ตอบเสียงเรียบ

“อย่างนี้นี่เอง แต่ว่าน้องสาวเชื่อว่า แม้พี่หานจะไม่ได้เป็นคนฆ่าหนอนเพลี้ยตัวแม่แต่ก็ต้องแสดงฝีมือได้อย่างดีทีเดียว” หลานอิ่งพูดอย่างไม่ใส่ใจ

“แม่หลานชมเชยข้ามากเกินไปแล้ว แต่ว่าที่ข้ามาในครั้งนี้ ก็มาเพื่อให้เจ้าช่วยติดต่อกับจื่อหลิงให้หน่อย ในครั้งนี้ข้าวางแผนว่าจะพานางกลับแดนวิญญาณด้วย” หานลี่ไม่ได้ปิดบังวัตถุประสงค์ในการมาครั้งนี้ของเขา เขาจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา

“หึๆ แม้ว่าเรื่องนี้น้องสาวจะเคยรับผิดชอบ แต่ว่าหลายปีมานี้ จื่อหลิงชอบไปอยู่ที่ดินแดนรกร้างที่เมืองใกล้เคียง หากท่านอยากไปล่ะก็ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็ไปถึง เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ พี่หานรอนางอยู่ที่ก่วงหยวนไจสักสองสามวันดีหรือไม่”

“ได้ เช่นนั้นช่วงนี้ข้าก็ขอรบกวนแม่นางหลานแล้ว” หานลี่คิดจากนั้นก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธ

เมื่อหลานอิ่งได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกดีใจอย่างมาก นางเอ่ยถามเรื่องราวในแดนมารทันที พร้อมรับฟังอย่างสนใจ

“จริงสิ ข้ามีเรื่องต้องยืมแรงของท่านไจแล้ว” อยู่ๆ หานลี่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นเขาก็พูดออกมาทันที

“เรื่องอะไรหรือ พี่หานสามารถพูดออกมาได้เลย” หลานอิ่งตอบกลับมาโดยไม่คิด

“ข้ามีของบางสิ่งอยากให้แม่นางดู” หานลี่ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมา ระลอกคลื่นหมุนวนท่ามกลางความว่างเปล่า อิฐผลึกขนาดกำปั้น สี่ก้อนก็ปรากฏขึ้น

“นี่มัน…” ดวงตากลมสวยของหลานอิ่งกวาดสายตามองไปที่สิ่งของเหล่านั้น สีหน้าก็นางเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ด้านบนของพวกมันมีรอยประทับว่าเป็นมรดกแผนที่ลับของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ชีหลิง ข้าได้มันมาโดยบังเอิญ แม้ว่าข้าจะมีแผนที่นี้ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้เข้าใจภูมิศาสตร์ของแดนมาร จึงไม่สามารถตามหาสถานที่ที่ระบุไว้ตามแผนที่ได้ ดังนั้นจึงต้องขอแรงของท่านไจแล้ว”

“ที่แท้ก็เป็นสมบัติชีหลิงตามตำนานนี่เอง ขอพูดตามตรงนะพี่หาน น้องสาวก็เคยให้ความสนใจกับสมบัติพวกนี้มาก แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เบาะแสที่เกี่ยวข้องกับมันเลย คิดไม่ถึงว่าแผนที่นี้จะมาอยู่ในมือของสหายหานแล้ว ท่านวางใจเถอะ ตราบใดที่มีแผนที่ และแน่ใจว่าสมบัติยังอยู่ที่แดนมารแล้วล่ะก็ น้องสาวจะไม่ทำให้พี่หานผิดหวังแน่นอน” ใบหน้าของหลานอิ่งมีความประหลาดใจ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มน้อยๆ

หานลี่พยักหน้าอย่างพอใจ

…ห้าวันต่อมา ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้พบกับจื่อหลิง

เมื่อทั้งสองได้พบกันอีกครั้ง ทั้งสองก็รู้สึกประหลาดใจและสับสนในใจอยู่เช่นกัน…

หลานอิ่งเดินออกจากห้องโถงอย่างรู้กาลเทศะ เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาทั้งสองคนคุยกันตามลำพัง

ในตอนนี้ จื่อหลิงรู้จากหลานอิ่งตั้งนานแล้วว่าหานลี่อยู่ระดับมหาเมธีแล้ว แต่เขาก็เพิ่งรู้ข่าวคราวของลิ่วจี๋จากหานลี่เมื่อครู่นี้เอง จึงทำให้ตัวนางแข็งค้าง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เพิ่งเกิดเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ เป่าฮวาและคนที่เกี่ยวข้องไม่มีทางปล่อยข่าวให้รั่วไหลแน่นอน จึงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้

“ถ้าเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ข้าก็ได้รับอิสระคืนมาแล้ว และไม่ต้องกลัวว่าจะถูกหลอมเป็นร่างจำแลงอีกแล้ว” ดวงตาของจื่อหลิงส่องประกาย จากนั้นเธอก็พูดพึมพำขึ้นมา

“แน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าไม่เพียงร่างจริงของลิ่วจี๋เท่านั้น ร่างจำแลงของพวกนางก็หนีไม่พ้นเช่นกัน” หานลี่พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ข้าก็วางใจ เช่นนั้นที่พี่มาหาข้าในวันนี้ ท่านอยากจะ…” จื่อหลิงมองไปที่ใบหน้าของหานลี่ จากนั้นก็ถามด้วยความลังเล

“วันนั้นเจ้าพูดเอาไว้ไม่ใช่หรือว่าอยากจะคืนร่างเป็นมนุษย์ เจ้าอยากกลับไปใช้ชีวิตในแดนวิญญาณไม่ใช่หรือ ที่ข้ามาครั้งนี้ ก็เพราะตั้งใจมาหาเคล็ดลับวิชา มันน่าจะมีวิธีที่กำจัดปราณมารในตัวเจ้าออกไป และให้มีร่างกายดังเดิม เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็สามารถเริ่มบำเพ็ญเพียรใหม่ที่แดนวิญญาณได้” หานลี่พูดอย่างยิ้มๆ

สีหน้าของจื่อหลิงเปลี่ยนไป จากนั้นสีหน้าดีใจก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน แล้วเขาก็เงียบไปครู่หนึ่งและค่อยๆ ถามขึ้นว่า “พี่หาน ข้ามีเรื่องอยากจะถาม ข้าหวังว่าท่านจะตอบตามความจริง”

“ไม่เห็นต้องพูดอะไรอ้อมค้อมเลย มีอะไรจะถามก็ถามมาเถอะ” เมื่อเห็นสีหน้าของจื่อหลิงของก็คิดว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องดี

“ข้าอยากรู้ว่าพี่มั่นใจกี่ส่วนว่าจะสามารถขึ้นไปที่แดนเซียนและเป็นคนของแดนเซียนได้” จื่อหลิงถามอย่างจริงจัง

“อะไรกัน ทำไมถึงถามแบบนี้เล่า” ใบหน้าของหานลี่เต็มไปด้วยความแปลกใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถามแบบนี้ออกมา

“ข้าแค่อยากได้ยินคำตอบที่แท้จริงจากพี่” จื่อหลิงมองไปที่หานลี่อย่างรอคอยคำตอบ

เมื่อหานลี่เห็นดังนั้น เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ตอบเสียงเรียบว่า

“หากเป็นคนอื่นถามข้าเช่นนี้ ข้าไม่มีทางตอบความจริง แต่ถ้าเป็นจื่อหลิงถามแล้วละก็ ข้าจะตอบก็แล้วกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ข้ามั่นใจว่าจะเอาชีวิตรอดเพียงสองส่วน แต่หลังจากมาที่แดนมาร และได้รับโอกาสแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าโอกาสนี้จะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย แต่ก็ทำให้ข้ามั่นใจได้มากกว่าสองส่วนแล้ว” หานลี่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แม้ว่าพี่หานจะมีโอกาสไปแดนเซียนมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว แต่น้องสาวรู้ว่าหลังจากที่พี่เลื่อนขั้นแล้วไม่สามารถเทียบกับมหาเมธีทั่วไปได้ แต่คิดไม่ถึงว่าพี่จะมั่นใจขนาดนี้” เมื่อจื่อหลิงได้ยินคำตอบ นางก็พึมพำอยู่กับตัวเอง

“จื่อหลิงทำไมเจ้าถึงถามข้าแบบนี้เล่า” ท่าทางของหานลี่ยังดูงุนงงเล็กน้อย

“พี่หาน ในเมื่อพี่ตอบตามความจริงเช่นนี้ น้องสาวก็ขอถามอีกคำถาม หากข้าเอาปราณมารออกไปแล้วและคืนร่างเป็นมนุษย์เพื่อบำเพ็ญเพียรใหม่แล้วล่ะก็ เส้นปราณของข้าจะได้รับความเสียหายจนหลุดออกจากแดนวิญญาณหรือไม่” จื่อหลิงไม่ได้ตอบคำถามของหานลี่แต่กลับถามเพิ่มอีกคำถามหนึ่ง

“หากปราณมารของเจ้าเพิ่งปะทุขึ้นมาละก็ ข้าค่อนข้างมั่นใจว่าเขาสามารถทำให้เจ้าปลอดภัยได้ แต่หากเจ้าบำเพ็ญเพียรกับลิ่วจี๋มานานหลายปีแล้ว และจะมากำจัดปราณมารในตอนนี้แล้วล่ะก็ เจ้าอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ แต่ว่าเจ้าวางใจเถอะ ด้วยฝีมือของข้าในตอนนี้ จะคืนร่างเดิมให้เจ้านั้นไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่ รับประกันได้ว่าหากในอนาคตเจ้าจะบำเพ็ญเพียรก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่” หลังจากที่หานลี่เงียบไปพักใหญ่เขาก็สามารถคาดเดาความคิดของฝ่ายตรงข้ามได้ เขาตอบด้วยใบหน้าที่แสดงความแปลกใจ

“ในอนาคตไม่เกิดปัญหาในการบำเพ็ญเพียร ตั้งแต่เราจากกันไปเมื่อครั้งก่อน ข้าก็คิดเรื่องการกลับไปแดนวิญญาณมาโดยตลอด แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ก็พบว่าหากข้าต้องการจะฝึกให้สำเร็จ ก็ควรอยู่ที่แดนมารถึงจะดีที่สุด เหมือนกับที่ลิ่วจี๋พูดกับข้าในตอนแรก ด้วยร่างกายของข้าการฝึกวิชามารจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด หากข้ากลับไปที่แดนวิญญาณล่ะก็ ต่อให้มีการปกป้องและความช่วยเหลือจากท่าน ข้าก็คงจะขึ้นสู่ระดับมหาเมธีอย่างยากลำบาก กว่าจะขึ้นสู่ระดับเซียนได้ มันต้องลำบากมากแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นน้องสาวไม่อยากให้พี่ขึ้นไปเป็นเซียนบนแดนเซียนแล้วน้องสาวยังอยู่ที่โลกมนุษย์ ต้องประสบกับทัณฑ์สวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่า” จื่อหลิงพูดไปๆ ความงดงามอ่อนแอก็เปลี่ยนเป็นเข้มแข็ง

เมื่อหานลี่ได้ยินดังนั้น เขาก็ชะงักไปสุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “เจ้าต้องคิดให้ดีๆ นะ จะตัดสินใจแบบนี้จริงๆ หรือไม่ ด้วยระดับการฝึกของเจ้าในตอนนี้ข้ายังสามารถหาทางคืนร่างเดิมให้เจ้าได้ แต่หากเจ้าบำเพ็ญเพียรตามทางนี้ ฝึกระดับสูงขึ้นการบำเพ็ญเพียรก็ยิ่งยากขึ้น หากเจ้าฝึกถึงระดับมหาเมธีของแดนมารแล้วเจ้าจะไม่มีทางย้อนกลับเป็นร่างเดิมได้แล้วนะ”

“พี่หานวางใจเถอะ น้องสาวคิดมานานแล้ว ไม่ใช่ความคิดชั่ววูบ ต่อให้จะมีความหวังเพียงหนึ่งส่วนที่ข้าสามารถไปแดนเซียนได้ ข้าก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ” จื่อหลิงพูดอย่างเด็ดขาด

หานลี่มองไปยังใบหน้าที่งดงามเด็ดเดี่ยวของคนตรงหน้า เขาครุ่นคิดอยู่สักพักจากนั้นก็พยักหน้าตกลง

“ในเมื่อจื่อหลิงตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ข้าเองก็จะไม่บังคับเจ้า แต่ว่าหลังจากที่ข้าเข้าแดนมารมาเป็นครั้งที่สอง ข้าได้เคล็ดวิชาและโอสถที่มีประโยชน์ต่อการฝึกปราณมาร ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด”

“ขอบคุณท่านมาก พี่หานไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มากเกินไป ด้วยพลังมารของข้าในตอนนี้ หากอยากจะไปแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก จากนี้พวกเรายังมีโอกาสได้พบกันอีกมาก” จื่อหลิงรู้สึกดีใจมาก แต่เมื่อนางพูดประโยคสุดท้ายออกมา ใบหน้างดงามของนางก็แดงขึ้นเล็กน้อย