บทที่ 505.4 เจี้ยนเซียนอยู่ในมือของเซียนกระบี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ตู้อวี๋เพิ่มกิ่งไม้แห้งใส่ในกองไฟอยู่หลายครั้ง

จากนั้นตู้อวี๋ก็สังเกตเห็นว่าหลังจากที่ผู้อาวุโสลืมตาขึ้นแล้ว ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่เลว บนใบหน้าจึงมีรอยยิ้มน้อยๆ

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมอง

ทะเลเมฆหนาหนักที่แทบจะแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งอาณาบริเวณของทะเลสาบชางอวิ๋นได้สลายหายไปหมดแล้ว

ดวงจันทร์กลมโตลอยกลางนภา

เฉินผิงอันถามตู้อวี๋ “ตู้อวี๋ เจ้าว่าขนบธรรมเนียมที่สะสมมานานเป็นพันปีของทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้ ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ใช่หรือไม่?”

ตู้อวี๋ตอบอย่างตรงไปตรงมา “เว้นเสียแต่ว่าจะเปลี่ยนใหม่หมดตั้งแต่บนจรดล่าง เปลี่ยนตั้งแต่เจ้าแห่งทะเลสาบ มาจนถึงเทพวารีสามลำคลองสองคูน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นที่เป็นคนแรกซึ่งต้องเปลี่ยนใหม่ นั่นต่างหากถึงจะมีโอกาส เพียงแต่ว่าหากคิดจะสร้างวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็คงต้องให้ผู้ฝึกตนบนยอดเขาอย่างผู้อาวุโสออกหน้าลงมือเองเท่านั้น แล้วก็ยังต้องเสียเวลาคอยจับตามองการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่นี่อย่างน้อยก็หลายสิบปี ไม่อย่างนั้นหากจะให้ข้าบอก เปลี่ยนคนใหม่ก็ไม่สู้ไม่เปลี่ยนจะดีกว่า เพราะอันที่จริงอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นยังพอจะถือว่าเป็นผู้ปกครองที่ไม่ค่อยสูบน้ำแห้งเพื่อจับปลา (เปรียบเปรยถึงคนที่เห็นแต่ผลประโยชน์ตรงหน้า ไม่มองการณ์ไกล) เท่าใดนัก อุทกภัยและภัยแล้งที่เขาจงใจสร้างขึ้นก็แค่เพื่อเพิ่มสาวใช้หน้าตางดงามพรสวรรค์ดีเยี่ยมให้กับวังมังกรเท่านั้น ทุกครั้งชาวบ้านตายกันไปหลายร้อยคน แต่หากไปเจอเข้ากับเทพภูเขาเทพวารีที่สมองไม่เฉียบไว แม้แต่วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตก็ยังปล่อยและเก็บไม่ได้ดังใจปรารถนา ปล่อยคาถาออกมาทีเดียวคนก็ตายกันไปหลายพัน หรือหากไปเจอกับพวกที่นิสัยเกรี้ยวกราดเจ้าอารมณ์สักหน่อย ถึงขั้นเอาภูเขาสายน้ำมาต่อสู้กัน หรือไม่ก็ผูกปมแค้นกับเพื่อนร่วมงาน นั่นแหละที่จะทำให้ชาวบ้านในอาณาเขตอยู่ไม่สุข คนอดอยากหิวโหยเดินขบวนพันลี้อย่างแท้จริง ข้าท่องอยู่ในยุทธภพมานานหลายปีขนาดนี้ เคยเห็นเทพภูเขาสายน้ำ เทพอภิบาลเมืองของแต่ละสถานที่ และเทพแห่งผืนดินมากมายที่สนใจแต่เรื่องใหญ่ปล่อยปละเรื่องเล็ก พวกเขาไม่สนพวกชาวบ้านทั้งหลายหรอก เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขา ปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่ก่อสำนักตั้งพรรค ขุนนางที่อยู่ในเมืองหลวง เมล็ดพันธ์บัณฑิตที่พอจะมีความหวัง คนพวกนี้ต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายที่พวกเขาอยากจะซื้อใจอย่างแท้จริง”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองตู้อวี๋

ตู้อวี๋พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ผู้อาวุโส ข้าพูดไปตามความจริง ไม่ใช่ข้าที่ทำเรื่องเลวร้ายพวกนั้นสักหน่อย พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักคำ เรื่องสกปรกเล็กๆ น้อยๆ ที่ข้าตู้อวี๋ทำไว้ในยุทธภพล้วนเทียบกับความคิดชั่วร้ายที่เค้นออกมาจากซอกเล็บของพวกเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีนี่ไม่ได้เลย ข้ารู้ว่าผู้อาวุโสไม่ชอบนิสัยอำมหิตไร้ปราณีของคนตระกูลเซียนอย่างพวกเรา แต่ข้าตู้อวี๋ที่อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสก็ได้แค่เอาความจริงในใจออกมาพูด ไม่กล้าปิดบังแม้แต่ครึ่งคำ”

เฉินผิงอันหัวเราะ

ตู้อวี๋ไม่คิดได้คืบแล้วจะเอาศอก เขาไม่คิดว่าตัวเองจะเข้าตาของเทพเซียนผู้เฒ่าบนยอดเขาท่านนี้จริงๆ แล้วจากนั้นก็จะได้เป็นจิ้งจอกห่มหนังพยัคฆ์ที่แอบอ้างบารมีของอีกฝ่ายได้

อย่างมากอีกฝ่ายก็แค่ไม่สะบัดชายแขนเสื้อฆ่าตนให้ตายเท่านั้น

สายตาน้อยนิดแค่นี้ ตู้อวี๋ยังพอจะมีอยู่บ้าง

นี่กระมังถึงจะเป็นคนบนยอดเขาที่แท้จริง คือความไร้น้ำใจบนมหามรรคาอย่างแท้จริง

อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่ตู้อวี๋แหงนหน้ามองดวงจันทร์ เขารู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใด ท่องเที่ยวอยู่ในหลายภพมาตั้งหลายครั้งและหลายปีขนาดนี้ แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกคิดถึงพ่อแม่

แต่ตอนนี้พอผู้อาวุโสลืมตาขึ้น เขาก็ต้องทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง รับมือกับคำถามที่มองดูเหมือนง่ายๆ ของผู้อาวุโสอย่างระมัดระวัง

ถือเสียว่าเป็นการขัดเกลาสภาพจิตใจอย่างหนึ่งแล้วกัน ในอดีตท่านพ่อท่านแม่มักจะชอบพูดว่าการฝึกฝนจิตใจของผู้ฝึกตนไม่ได้สำคัญขนาดนั้น คำสั่งสอนจากสำนักก็ดี คำบ่นที่ผู้ถ่ายทอดมรรคามีต่อลูกศิษย์ก็ช่าง ล้วนเป็นเพียงแค่คำพูดสวยหรูเท่านั้น เงินเทพเซียน สมบัติติดกาย และวิชาตระกูลเซียนที่เป็นรากฐานของมหามรรคา สามอย่างนี้ต่างหากถึงจะสำคัญที่สุด เพียงแต่ว่าเรื่องของการฝึกฝนจิตใจนั้นก็ยังต้องทำอยู่บ้าง

ตู้อวี๋ปลุกความกล้าเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส ผลศึกบนทะเลสาบชางอวิ๋นเป็นอย่างไรบ้าง?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เหมือนอย่างที่เจ้าบอก แค่ทำให้พวกเขาถอยร่นไปเท่านั้น ก็เป็นการหาเงินอย่างปรองดองนี่นะ”

ตู้อวี๋รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด

แต่ตนก็ไม่เหลือความกล้าให้ซักไซ้เอาความอีกแล้ว

ความกล้าหาญที่เหลือในอีกครึ่งชีวิตของข้าผู้อาวุโสใกล้จะถูกนำมาใช้จนหมดสิ้นในคืนนี้แล้ว

แล้วยังต้องให้ข้าตู้อวี๋ทำตัวกล้าหาญขนาดไหนอีกถึงจะเรียกได้ว่าเป็นวีรบุรุษชายชาตรี?

จากนั้นเฉินผิงอันก็เริ่มมีสมาธิอยู่กับการฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู

ส่วนตู้อวี๋ก็เริ่มใช้คาถาลับเฉพาะของตำหนักขวานผีมาเข้าฌานทำสมาธิอย่างช้าๆ

ยามฟ้าสาง

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เริ่มฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวพลางพูดกับตู้อวี๋ที่รีบลุกขึ้นยืนตามว่า “เจ้าลองไปหาดูว่าในศาลของเทพวารีเจ้าคูน้ำแห่งนี้มีวัตถุที่มีค่าอะไรหรือไม่”

ตู้อวี๋พยักหน้ารับ แล้วก็เตรียมจะไปหาวัตถุอาคมหรือไม่ก็เงินร้อนน้อยมาให้ผู้อาวุโส

แต่ผู้อาวุโสกลับพูดขึ้นกะทันหันว่า “คำว่ามีค่าของข้า ก็คือหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ”

ตู้อวี๋อึ้งตะลึง คิดว่าตัวเองฟังผิดไปจึงถามอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโสจะพูดว่าหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยกระมัง?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ด้วยความสามารถในการได้ยินเช่นนี้ของเจ้า สามารถท่องอยู่ในยุทธภพมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ”

ตู้อวี๋พลันกระจ่างแจ้ง แล้วจึงเริ่มทำการกวาดค้น มีผู้อาวุโสอยู่ข้างกายตน อย่าว่าแต่ศาลแม่ย่าลำคลองที่ไร้เจ้าของเลย ต่อให้เป็นวังมังกรใต้ทะเลสาบแห่งนั้น เขาก็สามารถขุดดินลงไปค้นสามฉื่อได้

เฉินผิงอันหลับตาเดินนิ่งต่อไป

จนกระทั่งถึงช่วงเที่ยงวัน ตู้อวี๋ถึงได้แบกห่อผ้าสองใบใหญ่กลับมาพร้อมผลเก็บเกี่ยวเต็มไม้เต็มมือ

เฉินผิงอันเอ่ย “ถุงที่มีค่าเป็นของข้า อีกใบหนึ่งเป็นของเจ้า”

ตู้อวี๋หน้าม่อย “ผู้อาวุโส ข้าทำอะไรไม่ถูกหรือ?”

เฉินผิงอันยังคงเดินนิ่งไม่หยุด พลางเอ่ยเนิบช้าว่า “การฝึกตนก็มีกฎของการฝึกตน ท่องอยู่ในยุทธภพก็มีกฎของการท่องยุทธภพ ทำการค้าก็มีกฎของการทำการค้า เข้าใจหรือไม่?”

อันที่จริงตู้อวี๋ไม่เข้าใจ แต่ก็แสร้งทำเป็นว่าเข้าใจ ไม่ว่าจะอย่างไร รับเอาถุงอีกใบหนึ่งไปอย่างอกสั่นขวัญผวาก็แล้วกัน

แต่ตู้อวี๋คิดดูแล้วก็เปิดถุงสองใบออก นำของมีค่าสองสามชิ้นที่อยู่ในถุงของตนใส่เข้าไปในถุงของผู้อาวุโส

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ขัดขวาง

เฉินผิงอันหยุดท่าหมัด ทะยานตัวขึ้นไปบนหลังคาของสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งที่สูงที่สุด ทอดสายตามองไปทางเมืองสุยเจี้ย

จากนั้นเฉินผิงอันก็ฝึกท่าเดินนิ่งไปบนหลังคาเรือนแต่ละหลัง

ตู้อวี๋ให้รู้สึกอัดอั้นนัก เหตุใดไม่ว่ามองอย่างไรนั่นก็เหมือนท่าหมัดของคนในยุทธภพ ไม่คล้ายวิชาคาถาของตระกูลเซียนอะไรเลยเล่า?

แต่จากนั้นตู้อวี๋ก็พลันรู้สึกเลื่อมใส

การกระทำของผู้อาวุโสตรงหน้าคนนี้ไม่เหมือนกับคนอื่นจริงๆ ย้อนกลับคืนสู่ธรรมชาติความเป็นจริงแล้ว

ท่ามกลางแสงสนธยาของวันนี้ ตู้อวี๋ก็ก่อกองไฟขึ้นมาอีกครั้ง เฉินผิงอันเอ่ยว่า “เอาล่ะ ไปท่องยุทธภพของเจ้าต่อเถอะ อยู่ในศาลมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ทุกคนที่จับตามองอยู่ก็พอจะมั่นใจได้แล้ว”

ตู้อวี๋รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

อุบายเล็กๆ น้อยๆ นี้ของตนมิอาจรอดพ้นสายตาอันเฉียบแหลมของผู้อาวุโสไปได้จริงๆ ด้วย

หากทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกันทันทีตั้งแต่ที่ท่าเรือ ตู้อวี๋ก็กลัวว่าตนจะไม่อาจมีชีวิตรอดเดินออกไปจากเมืองสุยเจี้ยได้

ตู้อวี๋ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็คิดว่าควรจะหยุดเมื่อพอสมควร จึงแบกถุงผ้าป่านใบนั้นเตรียมเดินมุ่งหน้าไปทางเมืองสุยเจี้ย

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “เจ้าอยู่ต่ออีกเดี๋ยว”

ตู้อวี๋ทำตามคำสั่ง วางถุงผ้าป่านลงแล้วนั่งขัดสมาธิบนพื้น ถามเสียงเบา “ผู้อาวุโส อันที่จริงข้ายังมียันต์ลับที่สืบทอดมาจากศาลบรรพจารย์ของสำนักอีกวิชาหนึ่ง ไม่เป็นรองยันต์รอยหิมะกับยันต์แบกศิลาสักเท่าไร”

เฉินผิงอันยิ้มพลางโบกมือ “ก่อนหน้านี้ต้องเผชิญกับเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตาย เจ้าทำเรื่องที่ขาดคุณธรรมเช่นนั้นก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ตอนนี้ในเมื่อไม่มีอันตรายถึงชีวิต จะเอากฎของสำนักมาทำเหมือนการปักบุปผาลงบนผ้าแพรให้กับตัวเอง คงไม่ค่อยดีเท่าไร บนเส้นทางการฝึกตน ก่อนจะเป็นเซียนต้องรู้จักเป็นคนให้ได้เสียก่อน”

ตู้อวี๋อึ้งตะลึงอยู่กับที่

แล้วถึงได้ชำเลืองตามองถุงผ้าป่านที่วางอยู่บนพื้น

ราวกับว่าจนกระทั่งบัดนี้เขาถึงเพิ่งจะพอจับเบาะแสบางอย่างได้เล็กน้อย

มือทั้งสองข้างของตู้อวี๋กำเป็นหมัด เงียบงันไม่เอ่ยคำใด

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ตู้อวี๋จะลุกยืนตามจิตใต้สำนึก แต่เฉินผิงอันกลับยื่นมือมากดลงบนความว่างเปล่าเสียก่อน

ตู้อวี๋หันหน้าไปมอง ครู่หนึ่งต่อมาเงาร่างที่คุ้นเคยก็โผล่เข้ามาในการมองเห็น

ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ช่างงดงามนัก

ไม่เสียทีที่เป็นเทพธิดาเยี่ยนชิง

แต่เฉินผิงอันกลับขมวดคิ้ว

ตู้อวี๋รู้สึกอกสั่นขวัญผวาเล็กน้อย ผู้อาวุโส ขอร้องท่านอย่าบดขยี้บุปผาอย่างอำมหิตอีกเลย เทพธิดาที่โฉมสะคราญเช่นนี้หากตายไป ผู้อาวุโสท่านไม่อาลัยอาวรณ์ แต่ผู้น้อยอย่างข้ากลับกลุ้มใจนัก

เยี่ยนชิงถาม “ในเมื่อฆ่าเทพลำคลองสามท่านและเทพคูน้ำหนึ่งท่านไปพร้อมกันรวดเดียวแล้ว เหตุใดถึงยังจงใจปล่อยให้อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบหนีไปได้เล่า?”

ตู้อวี๋ได้ยินคำถามก็รู้สึกนั่งได้ไม่มั่นคง รีบยื่นมือไปประคองพื้นทันที

เฉินผิงอันถาม “ใครมอบความกล้าให้เจ้ามาพบข้าอีกครั้ง?”

เยี่ยนชิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เซียนกระบี่คนหนึ่งที่กังวลว่าทะเลเมฆจะลดระดับลงมาสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน จะเป็นคนที่ชอบฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อจริงๆ หรือ? ข้าเยี่ยนชิงคนแรกล่ะที่ไม่เชื่อ”

เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าเชื่อหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? ข้าจะเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด”

เยี่ยนชิงกลับเดินตรงมาที่กองไฟ

ตู้อวี๋ขยับก้นหลบย้ายมุมตั้งนานแล้ว แบบนี้ก็จะได้มองประเมินการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของผู้อาวุโส แล้วก็ได้ชื่นชมรูปโฉมสาวงามใต้แสงจันทร์ได้พอดี

จากนั้นตู้อวี๋ก็ต้องอ้าปากค้างน้อยๆ

ควันสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งมายังเทพธิดาชุดขาวที่ส่องแสงประชันกับดวงจันทร์ จากนั้นเยี่ยนชิงก็เหมือนลูกเจี๊ยบที่ถูกคนหิ้วลอยไปกลางอากาศ พุ่งไปยังหลังคาเรือนหลังหนึ่งพร้อมกับควันเขียว

ชุดเขียวที่อยู่บนหลังคานั้นหมุนตัวเป็นวงหนึ่งรอบ สาวงามชุดขาวก็หมุนตามไปด้วยแต่เป็นรอบวงที่ใหญ่ยิ่งกว่า

เสียงสวบดังหนึ่งครั้ง

เทพธิดาเยี่ยนชิงก็หายวับไป

เฉินผิงอันกระโดดลงจากหลังคากลับมานั่งที่ขั้นบันได

ตู้อวี๋เช็ดปาก กลืนน้ำลาย

เฉินผิงอันโบกมือ “เจ้าไปได้แล้ว”

ตู้อวี๋กำลังจะบอกลาอย่างเคารพนอบน้อม

เห็นเพียงว่าจู่ๆ ผู้อาวุโสก็เผยสีหน้าหงุดหงิด ทะยานร่างขึ้นสูง แล้วตลอดทั้งศาลก็สะเทือนโยกคลอนเหมือนความเคลื่อนไหวที่เคยเกิดขึ้นตอนอยู่ท่าเรือ

ตู้อวี๋รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย สรุปว่าตนควรจะไปหรือไม่ไปดี? หากไปโดยไม่ลา คงไม่ค่อยดีสักเท่าไร แต่หากไม่ไป แล้วอยู่ดีๆ ผู้อาวุโสเกิดรักหยกถนอมบุปผา จูงมือกลับมากับเทพธิดาเยี่ยนชิงที่อ่อนหวานงดงามผู้นั้น แถมคืนนี้ดวงจันทร์ยังสวยงาม คนงามก็งามยิ่งกว่า…

ตู้อวี๋ตบบ้องหูตัวเองหนึ่งที

สะพายห่อผ้าแล้วเริ่มเผ่นหนี

ทว่าตู้อวี๋เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ของศาลเทพวารี ก็ต้องยืนเหม่อ

เกรงว่าครั้งนี้เพราะรีบร้อนเดินทางซึ่งไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด ถึงได้ทำให้ผู้อาวุโสทุ่มกำลังทั้งหมดอย่างแท้จริง?

จากศาลเทพวารีเจ้าแห่งคูน้ำที่อยู่ด้านหลังไปจนถึงทะเลสาบชางอวิ๋น

มองไม่เห็นเงาร่างชุดเขียวนั่นแล้ว แต่กลับมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นไม่ขาดสาย

ตู้อวี๋ถอนหายใจหนักๆ

เฉินผิงอันพลิ้วกายลงที่ท่าเรือ หรี่ตาลง

ผู้ฝึกตนหญิงจากดินแดนเซียนเป่าต้งที่ทำให้คนเห็นจนเอียนผู้นั้นถูกตนทุ่มใส่ทะเลสาบชางอวิ๋นไปแล้ว ไม่ถึงขั้นบาดเจ็บ อย่างมากก็แค่หายใจลำบากไปชั่วขณะ และสภาพกระเซอะกระเซิงหน่อยก็เท่านั้น

แต่พอคิดถึงว่ามีความเป็นไปได้ที่เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงนี้ เฉินผิงอันจึงได้แต่ไล่ตามมา แล้วก็จริงดังคาด หลังจากที่สตรีผู้นั้นจมลงทะเลสาบไปก็ไม่เห็นร่องรอยอีก

เฉินผิงอันใช้สองนิ้วคีบยันต์แสงสว่างอวี้ชิงแผ่นนั้นออกมา

ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะขว้างยันต์ที่ปลายนิ้วออกไปนั้นเอง

ผิวน้ำของทะเลสาบชางอวิ๋นก็แหวกออก อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบที่สวมชุดคลุมมังกรสีม่วงหรูหราเดินออกมา ข้างกายยังมีหญิงสาวที่คล้ายว่าเพิ่งจะหลุดพ้นจากวิชากรงขังมาได้สำเร็จเดินตามมาด้วย นางจ้องมองชายชุดเขียวที่อยู่บนท่าเรือด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล

อินโหวผายฝ่ามือข้างหนึ่งมาด้านหน้า ยิ้มบางเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเทพธิดาเยี่ยนชิง ด้วยสถานการณ์ฉุกละหุก จึงร่ายเวทคาถาเล็กๆ พยายามลดทอนแรงกระแทกยามที่เทพธิดาตกลงไปในทะเลสาบออก ล่วงเกินแล้ว เชิญเทพธิดาเยี่ยนชิงขึ้นฝั่งได้”

เยี่ยนชิงสีหน้าเย็นชา สะบัดไอน้ำทั้งหมดที่เหลือติดร่างออกแล้วทะยานลมพลิ้วกายลงบนท่าเรือ

หากเจ้าตัวการผู้นั้นไม่รีบมาที่ท่าเรือ เยี่ยนชิงก็ไม่อาจจินตนาการถึงจุดจบของตัวเองได้เลย

เฉินผิงอันชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง “ยังไม่ไปอีก? น้ำชาของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีอร่อย ข้าไม่สามารถช่วยเจ้าได้ แต่หากรู้สึกว่าน้ำทะเลสาบของทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้ก็อร่อยเหมือนกัน ข้ากลับพอจะช่วยเจ้าได้”

เยี่ยนชิงแค่นเสียงเย็นชาในลำคอแล้วทะยานลมจากไปไกล

เฉินผิงอันมองเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นที่มีสีหน้าระแวงภัยแล้วยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าน่าจะรู้ดีว่า หากข้าตัดสินใจว่าจะฆ่าเจ้าให้ได้ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย”

อินโหวพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง ดังนั้นข้าจึงแปลกใจอย่างมากว่าเหตุใดเซียนกระบี่ถึงยอมออมมือให้ข้า”

เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน ไม่ตอบคำถาม

สองเท้าของอินโหวตรึงอยู่ในน้ำตลอดเวลา

ไม่เพียงเท่านี้ กลางอากาศเหนือทะเลสาบชางอวิ๋นและเขตน่านน้ำในการปกครองทั้งหมดก็เริ่มมีเมฆทะมึนมารวมตัวกันอีกครั้ง

เฉินผิงอันถาม “จดหมายลับที่เจ้าเมืองสุยเจี้ยส่งไปยังเมืองหลวงปีนั้น เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่?”

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบตอบอย่างไม่ลังเล “เนื้อความในจดหมายไม่มีอะไรแปลกใหม่ คาดว่าเซียนกระบี่ก็น่าจะเดาได้แล้ว ก็หนีไม่พ้นหวังว่าเพื่อนสนิทในเมืองหลวงจะช่วยพลิกคดีให้ต่อหลังจากที่เจ้าเมืองผู้นั้นตายไป อย่างน้อยก็ควรหาโอกาสเปิดเผยเรื่องนี้แก่ปวงประชา แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่เซียนกระบี่น่าจะเดาไม่ถึง นั่นก็คือช่วงท้ายของจดหมายฉบับนั้น เจ้าเมืองเขียนบอกไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า หากชีวิตนี้เพื่อนของเขาไม่สามารถเป็นขุนนางสำคัญของราชสำนักได้ ก็อย่ารีบร้อนพาตัวมาเสี่ยงอันตรายกับเรื่องนี้ หลีกเลี่ยงไม่ให้พลิกคดีไม่สำเร็จ กลับกันยังจะต้องเดือดร้อนไปด้วย”

เฉินผิงอันหยิบเหล้ากาหนึ่งออกมาจากความว่างเปล่า เปิดผนึกดินออกแล้วดื่มช้าๆ

—–