ภาค 8 ทะยานฟ้า โอบกอดจันทร์ บทที่ 709 สิ่งที่ดึงดูดเยี่ยนจ้าวเกอ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เห็นมือของโจวฮ่าวเซิงเอื้อมไปหาตะเกียงประกายกาฬในตำนาน เยี่ยนจ้าวเกอก็พูดขึ้นว่า “ระวังก่อนจะดีกว่า”

จอมยุทธ์สำนักความมืดทุกคน ส่วนหนึ่งเฝ้าระวังรอบข้าง อีกส่วนหนึ่งมองมายังเยี่ยนจ้าวเกออย่างพร้อมเพรียง

พวกเขาไม่คิดซ่อนเร้นความคิดที่แฝงไว้ในดวงตาแม้แต่น้อย

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างราบเรียบ “พวกเราต่างสงสัยกันว่าเคยมีคนเข้ามาเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว โลงศพของจักรพรรดิประกายกาฬตรงหน้านี้ก็ไม่มีศพเช่นกัน”

“ไม่ว่าจะมีคนอื่นเข้ามา หรือว่าจักรพรรดิประกายกาฬฟื้นขึ้นมาจากความตาย สถานการณ์เบื้องหน้าก็แปลกประหลาดยิ่ง

“นอกจากนั้นที่นี่ยังว่างเปล่า แต่ตะเกียงประกายกาฬกลับยังอยู่ที่นี่ ไม่ได้ถูกนำไปด้วย ทุกท่านไม่รู้สึกว่าแปลกหรือ?”

ชายหนุ่มมองรอบๆ “พวกเรามาถึงที่นี่ก่อนหน้าสำนักแสงสว่างก้าวหนึ่งจริงๆ กลไกกับผนึกด้านในสุสานก็เป็นพวกเราผ่านมาก่อน การมาถึงก่อนคนอื่นย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ว่าหากไปเหยียบกับดักของคนอื่นเข้า คงไม่น่ายินดีแล้ว”

จอมยุทธ์สำนักความมืดทุกคนไม่ได้กล่าวอะไร แต่บนใบหน้าฉายแววเห็นด้วย

โจวฮ่าวเซิงสีหน้าสงบนิ่ง กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ความกังวลของสหายน้อยเยี่ยนใช่ว่าจะไร้เหตุผล แต่พวกเราเองก็ไม่มีเวลามารอดูการเปลี่ยนแปลงของมันเช่นกัน”

“มีความเสี่ยงบางอย่างที่จำเป็นต้องเสี่ยง ไม่อาจหลบเลี่ยง”

เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่ “คำพูดนี้ข้าเองก็เห็นด้วย”

โจวฮ่าวเซิงหันไปมองตะเกียงประกายกาฬอีกครั้ง ยื่นมือออกมาด้านหน้า

หลังจากฝ่ามือของเขาเข้าใกล้ตะเกียงประกายกาฬแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็ตาลุกวาว สังเกตเห็นความผิดปกติตรงฝ่ามือของเจ้าสำนักความมืด

ในความมืดอันเงียบสงัด มีแสงสว่างที่ละลานตาถึงขีดสุดปรากฏขึ้น

มรรคาความมืดกำเนิดแสง เป็นมรรคาหลักในวรยุทธ์ของสำนักความมืด สิ่งที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสนใจก็คือ ในแสงสว่างพร่างพราวนั้นเหมือนมีตัวตนอื่นอยู่ด้วย

เงาคนเงาหนึ่งค่อยๆ ปรากฏร่างท่ามกลางแสงสว่างนั้น ดูไปเหมือนมีขนาดแค่เมล็ดข้าวโพด ทว่าสภาวะที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ซึ่งด้านในกลับทำให้เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกทึ่ง

นั่นดูเหมือนจะเป็นยอดฝีมือด้านวรยุทธ์ที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก ขั้นเทวะสำแดงระยะท้าย ใกล้เคียงกับโจวฮ่าวเซิง

แต่ต่อมา เยี่ยนจ้าวเกอก็สัมผัสได้ว่า แม้พลังของเงาร่างนั้นจะแข็งแกร่ง แต่ยังขาดความมีชีวิตชีวาอยู่หลายส่วน

คล้ายกับหุ่นเชิดที่ถูกผนึกไว้เพื่อพิทักษ์สุสานควบคุม ซึ่งได้เจอก่อนหน้านี้อยู่เล็กน้อย

‘ร่างความมืดสถิตหรือ?’ เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจในทันที

ถึงจะได้เห็นเป็นครั้งแรก แต่นั่นคงเป็นร่างความมืดสถิตที่มีชื่อเสียงโด่งดังแน่นอน

นี่คือรากฐานในการตั้งตัวบนทะเลหวงเจียของสำนักความมืด เป็นร่างกายที่บรรพบุรุษรุ่นก่อนเต็มใจหลอมด้วยวิชาลับในขณะที่กำลังจะสิ้นชีวิต

เงื่อนไขของจอมยุทธ์ที่หลอมร่างของตัวเองจนเข้มงวดถึงขีดสุด อัตราความสำเร็จของการหลอมยังต่ำจนถึงขั้นที่ทำให้คนคับข้อง แต่ถ้าหากหลอมสำเร็จ ก็จะได้รับซากที่ฟื้นฟูพลังชีวิตกลับมา ซึ่งมีพลังใกล้เคียงกับก่อนหน้า เพียงแต่ไม่อาจเพิ่มระดับได้อีก

นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่สำคัญที่สุด ที่สำนักความมืดสามารถประชันกับสำนักแสงสว่างได้โดยที่อย่างน้อยไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทั้งๆ ที่ไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองสำนัก

การกระทำของโจวฮ่าวเซิงในตอนนี้กำลังเสี่ยงอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเสี่ยงด้วยความวู่วาม

ดูเหมือนตัวเขาเอื้อมมือไปหาตะเกียงประกายกาฬ แต่ฝ่ายที่เอื้อมมือจริงๆ ก็คือร่างความมืดสถิต

ร่างความมืดสถิตนี้ ความจริงใช้เหยียบกับดักแทนโจวฮ่าวเซิง

ทว่าถึงแม้โจวฮ่าวเซิงจะไม่ได้เสี่ยงเอง การสูญเสียร่างความมืดสถิตที่มีพลังของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหกเช่นนี้ไป ก็เป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวงของสำนักความมืด ชนิดที่เจ็บจนแทบขาดใจ กระเทือนไปถึงเส้นเอ็นและกระดูก

สำนักความมืดครั้งนี้เข้ามาในสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ เห็นความแน่วแน่ได้อย่างชัดเจน

เยี่ยนจ้าวเกอมองตะเกียงไฟครึ่งดำครึ่งขาว ไม่เคลื่อนไหว และไม่เอ่ยวาจาอีก

มันเป็นของดีจริงๆ เยี่ยนจ้าวเกอเองก็หวั่นไหวเช่นกัน แต่ว่ารู้สึกสงสัยมากกว่า

ไม่ใช่แค่เรื่องที่ก่อนหน้านี้อาจจะมีคนเข้ามาในที่ฝังศพตั้งแต่แรก และเรื่องที่ศพของจักรพรรดิประกายกาฬหายไปเท่านั้น

ก่อนที่จะเข้ามาในสุสาน เยี่ยนจ้าวเกอก็พอจะรู้สึกได้แล้วว่าที่นี่เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังดึงดูดเขาอยู่ แต่หลังจากเข้ามาแล้ว กลับไม่ได้ค้นพบอะไรเลย

เขาแน่ใจว่าสิ่งที่ดึงดูดตนได้ ไม่ใช่ตะเกียงประกายกาฬที่อยู่ตรงหน้านี้

เช่นนั้นมันคืออะไรกันเล่า?

เยี่ยนจ้าวเกอที่ไม่สนใจสายตาระแวดระวังของจอมยุทธ์ความมืดส่วนหนึ่งที่อยู่รอบๆ ค่อยๆ พิจารณาห้องฝังศพที่มืดสลัว เริ่มครุ่นคิดในใจ

ถึงจะบอกว่าเป็นที่ฝังศพ แต่ความจริงมิติด้านในมีขนาดใหญ่โตยิ่ง เหมือนกับวิหารขนาดใหญ่

เพียงแต่ประกายแสงมัวซัวที่กระจายอยู่ทุกที่นั้น ทำให้คนสูญเสียความรู้สึกด้านระยะทาง แยกแยะใกล้ไกลไม่ออก

นอกจากหุ่นเชิดที่ได้พบในตอนที่เข้ามาเหล่านั้นแล้ว ในสุสานกลับไม่มีการพิทักษ์ใดอีก

กระนั้นเมื่อมีประกายแสงมืดสลัวที่ฆ่าคนอย่างไร้ร่องรอยนั้นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีการพิทักษ์อย่างอื่นก็ได้ ประกายแสงเหล่านั้นเปลี่ยนเหล่าผู้บุกรุกให้กลายเป็นหุ่นเชิดพิทักษ์สุสาน

แม้แต่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดง หรือขั้นสะพานเซียนก็ไม่แน่ว่าจะต้านทานได้

พวกเยี่ยนจ้าวเกอโชคดีที่มีของวิเศษ จึงสามารถเข้ามาในห้องฝังศพได้

ที่รอบนอกของสุสานยังมีผนึกพิทักษ์อยู่อีกหลายชนิด

เยี่ยนจ้าวเกอย้อนคิดครู่หนึ่ง รู้สึกมั่นใจขึ้นมา ‘ที่นี่จะต้องเคยมีคนอื่นเข้ามาแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจตอบได้ว่า เหตุใดจอมยุทธ์ที่กลายเป็นหุ่นเชิดจึงปรากฏตัวขึ้นด้านนอก’

เขาหันไปมอง เห็นร่างความมืดสถิตที่ใจกลางฝ่ามือของโจวฮ่าวเซิงไม่ได้กลับคืนสู่ขนาดปกติ แต่ยังคงเล็กเท่าเมล็ดข้าวโพดเหมือนเดิม

แต่การเอื้อมมือของร่างความมืดสถิตกลับเหมือนต้องการคว้าฟ้าดิน ม่านสีดำสลัวครอบคลุมตะเกียงประกายกาฬเอาไว้

ทันใดนั้น ม่านสีดำก็สลายไป

ไฟตะเกียงพลันสว่างขึ้นมา!

ตะเกียงประกายกาฬสว่างขึ้นแล้ว!

แสงสว่างพร่างพราวกระจายไปทั่วห้องฝังศพในชั่วอึดใจเดียว ประกายแสงมืดมัวที่กระจัดกระจายอยู่ในห้องฝังศพในตอนแรก ตอนนี้ล้วนสว่างแยงตา

ถ้าหากเป็นแค่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงที่ไร้เจ้าของ และได้รับความเสียหาย ก็ใช่ว่าจะทำอะไรพวกเยี่ยนจ้าวเกอและโจวฮ่าวเซิงได้

ทว่าในตอนนี้ ตะเกียงประกายกาฬกลับกระตุ้นให้สุสานจักรพรรดิประกายกาฬเหมือนกับสั่นสะเทือนขึ้นมา

ร่างความมืดสถิตที่ใจกลางฝ่ามือของโจวฮ่าวเซิงขยายร่างขึ้น กลายเป็นเงาร่างของชายชราร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง

บนร่างของชายชราผู้นี้มีไอสีดำหลายสายทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ภายใต้การส่องสว่างจากแสงที่กระจายอยู่ทั่วอากาศนั้น ก็สลายไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

โจวฮ่าวเซิงสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ตวาดเสียงต่ำ ผลักฝ่ามือหนึ่งออกด้านหน้า

ร่างความมืดสถิตก็เคลื่อนไหวอย่างเดียวกัน

หลังจากพวกเขาผลักฝ่ามือออก ในความมืดถึงขีดสุดพลันปรากฏแสงสว่างที่เจิดจ้าละลานตาเช่นกัน

แสงสว่างนี้เมื่อพบกับประกายแสงที่เกิดขึ้นในห้องฝังศพ ทั้งสองฝ่ายก็ก่อเกิดการประสานเสียง

จอมยุทธ์สำนักความมืดคนอื่นที่อยู่รอบๆ เคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน

แสงที่ส่องสว่างพร่างพราวและบริสุทธิ์ถึงขีดสุด กีดกันสรรพสิ่งรอบๆ ถ้าหากไม่ใช่พวกเดียวกับมัน ก็จะถูกกีดกันทำลายและชำระล้าง

เยี่ยนจ้าวเกอสายตาเปลี่ยนเป็นล้ำลึก ใช้เคล็ดวิชาอันอันแยบยลในคัมภีร์นภาไร้ขีดจำกัด

นาทีถัดมา แสงสว่างที่เจิดจ้าถึงขีดสุดก็พลันหายไป

ตะเกียงประกายกาฬดับลง

ทุกคนเพียงรู้สึกว่าตรงหน้ามืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด

ภาพในห้องฝังศพหายไป โลงศพศิลาหายไป ตะเกียงประกายกาฬหายไป เหลือแต่เพียงความมืด

ทุกคนที่ร่วมทางกัน วินาทีนี้ต่างคนต่างไม่อาจรับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของคนอื่น

เพราะการใช้วิชาในคัมภีร์นภาไร้ขอบเขต ไม่ว่าจะเป็นแสงสว่างหรือความมืด ล้วนกลับคืนสู่ความว่างเปล่า

นี่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอเห็นว่า มิติที่ตัวเองอยู่กำลังเปลี่ยนแปลงไม่หยุด

ห้องฝังศพขนาดมหึมาที่ยิ่งใหญ่ในตอนแรก บัดนี้เหมือนกับกลายเป็นกระแสปั่นป่วนของมิติที่สับสน

เยี่ยนจ้าวเกอกับทุกคนต่างพยายยามหยุดยั้งท่าร่างของตัวเอง แต่ไม่อาจควบคุมตนเองได้ ถูกม้วนเข้าไปในมิติที่แตกต่างกัน

โจวฮ่าวเซิงที่มีพลังฝึกปรือแข็งแกร่งที่สุดพลันตั้งธงวิญญาณ ไล่ตามโลงศพศิลาและตะเกียงประกายกาฬพร้อมกับร่างความมืดสถิตอย่างไม่หยุดยั้ง

และในตอนนี้เอง เยี่ยนจ้าวเกอก็สัมผัสได้อีกครั้งว่า เหมือนมีของบางอย่างกำลังดึงดูดเขาอยู่

………………..