ตอนที่ 839 เจ้าต่างหากที่ตายไปแล้ว

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังจากสำรวจทั่วบริเวณรอบประตูเมืองพักใหญ่ ฉินอวี้โม่และคณะก็ยังไม่พบเบาะแสใด ไม่ว่าจะเป็นบนหอคอยหรือใต้ดินก็ไม่มีสิ่งที่ผิดปกติแต่อย่างใด เพราะเหตุนั้นจึงไม่อาจทราบได้เลยว่าพลังลึกลับที่เรียกวิญญาณทั่วทั้งเมืองมารวมตัวกันคือพลังใด

จากนั้นทั้งสามก็มุ่งหน้าไปยังภัตตาคารเดิมที่รับประทานอาหารกันก่อนหน้านี้และสั่งอาหารมารับประทานจำนวนหนึ่ง

เถ้าแก่ของภัตตาคารแห่งนี้มีนามว่า ‘หวังหยวน’ ก่อนตายความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในระดับต่ำเท่านั้น เมื่อกลายเป็นวิญญาณไร้ชีวิตเฝ้าเมืองนี้ เขาจึงมีสติสัมปชัญญะเพียงในตอนกลางวันและสูญเสียการควบคุมทั้งหมดในยามค่ำคืนเช่นเดียวกันคนอื่น ๆ ในเมือง

ฉินอวี้โม่เรียกเขาเข้ามาและเอ่ยถามสิ่งที่สงสัย “เถ้าแก่ เนื้ออสูรพวกนี้มาจากที่ใดรึ ?”

หวังหยวนเป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีผิวขาวเนียนและมีรูปร่างอ้วนท้วน อีกทั้ง

เขาก็ดูเหมือนจะเป็นคนที่เป็นมิตรและเข้าถึงได้ง่าย

เมื่อได้ยินคำถามของฉินอวี้โม่ เขาจึงกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม “แขกผู้มีเกียรติขอรับ เนื้ออสูรทั้งหมดสดใหม่ในทุกวันขอรับ ในทุก ๆ เช้าจะมีใครบางคนนำพวกมันมาส่งที่หลังภัตตาคาร”

เขาก็ไม่ลังเลและกล่าวอธิบายเพียงสั้น ๆ

“มีคนส่งมาที่หลังภัตตาคารอย่างนั้นหรือ ?”

ฉินอวี้โม่และยินรุ่ยหันมองหน้ากันทันที หรือในเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้จะมีใครอื่นที่แม้แต่เจ้าเมืองอย่างยินรุ่ยก็ไม่ทราบมาก่อน ?

หลังจากพูดคุยกันเพียงสั้น ๆ เถ้าแก่ของภัตตาคารก็กลับไปจัดการเรื่องของตนเองต่อไป

“พรุ่งนี้เช้า เรามาสำรวจดูที่ภัตตาคารแห่งนี้กันเถอะ”

ยินรุ่ยขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย ในฐานะเจ้าเมืองของเมืองอู๋เริ่น เขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้อื่นเลยสักนิด เถ้าแก่ของภัตตาคารกล่าวว่ามีคนส่งเนื้ออสูรมายามาที่ภัตตาคารในทุก ๆ เช้า ทว่าทั้งเมืองนี้มีเพียงผีดิบที่ออกไปไหนไม่ได้ หากมีคนแปลกหน้าเข้ามา เขาก็ต้องรับรู้ได้ในทันที สิ่งที่ได้ทราบในตอนนี้ช่างประหลาดเกินเข้าใจ

“เจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยพยักศีรษะตอบตกลงและตัดสินใจในทันทีว่าในคืนนี้พวกนางจะไปสำรวจใกล้กับประตูเมืองก่อนและในตอนเช้าตรู่ของวันต่อมาก็จะมาที่ข้างหลังภัตตาคารแห่งนี้เพื่อหาคำตอบให้ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร

หลังจากรับประทานอาหารจนอิ่มเอม ทั้งสามก็ออกจากภัตตาคารและเดินสำรวจบนถนนหนทางในเมืองพักใหญ่ก่อนที่ท้องฟ้าจะค่อย ๆ มืดสลัวลง

ต้องกล่าวเลยว่าเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องประหลาดเกินเข้าใจมากมาย ประชากรในเมืองนี้ตายไปนานนับพันปีทว่าจิตวิญญาณยังคงติดอยู่ที่นี่และใช้ชีวิตได้ตามปกติในเวลากลางวัน หากจะกล่าวว่าที่นี่ไม่มีพลังลึกลับควบคุมไว้ ฉินอวี้โม่ไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน

“วิญญาณร้ายตนใหม่ปรากฏตัวแล้ว”

ก่อนตกดึก จู่ ๆ ยินรุ่ยก็ขมวดคิ้วและกล่าวขึ้นเบา ๆ

เมื่อครู่นี้เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นผันผวนที่รุนแรง หากคาดเดาไม่ผิด มันน่าจะเป็นผลมาจากการถือกำเนิดของวิญญาณร้ายตนใหม่เป็นแน่

“ไปที่ประตูเมืองกันก่อนเถอะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวและพุ่งตรงไปที่บริเวณประตูเมืองอย่างรวดเร็ว

เมิ่งเยี่ยก็ไม่รอช้าและรีบตามไปอย่างใกล้ชิด ยินรุ่ยซึ่งมีความเร็วมากกว่าทั้งสองก็รีบมุ่งหน้าตามไปเช่นกัน

เพียงครู่เดียว ทั้งสามก็ปรากฏตัวในมุมหนึ่งใกล้กับประตูเมือง

ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยเหาะขึ้นบนหอคอยในขณะที่ยินรุ่ยเหาะลอยตัวอยู่กลางอากาศตามปกติ

หลังจากรอเวลาครู่ใหญ่ วิญญาณไร้ชีวิตของเมืองผีดิบก็ปรากฏตัวและเรียงรายเข้ามารวมตัวเช่นเดิม

“ฮ่า ๆ ๆ นี่มันกลิ่นของมนุษย์ !”

เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่และเงาสีดำทะมึนก็ปรากฏตัวขึ้นมากลางอากาศตรงหน้าพวกนาง

วิญญาณร้ายตนใหม่ปกคลุมไปด้วยเสื้อคลุมสีดำเช่นเดียวกันวิญญาณร้ายตนก่อนและเผยให้เห็นเพียงดวงตาสีแดงก่ำเท่านั้น

“เจ้าอยากจะมีชะตากรรมเหมือนวิญญาณร้ายตนเมื่อวานงั้นรึ ?”

ฉินอวี้โม่ก้าวเข้าไปตรงหน้าวิญญาณร้ายขณะสะบัดนิ้วมือเล็กน้อยและเปลวเพลิงร้อนระอุก็ปรากฏขึ้นบนปลายนิ้วมือของนาง เมื่อเห็นเช่นนั้น วิญญาณร้ายก็ถอยร่นไปในทันที

“ไม่นะ ไม่ ไม่ ! ข้าไม่อยากตาย”

วิญญาณร้ายส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว เพลิงทรงพลังที่ปลายนิ้วมือของฉินอวี้โม่ทำให้หัวใจของเขาสั่นระรัว แม้ไม่ทราบว่ามันคือเพลิงใด เขาก็ตระหนักดีว่าไม่มีทางต้านทานได้อย่างแน่นอน

“ถ้าเช่นนั้นก็จงเชื่อคำฟังของข้าเสียดี ๆ และข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”

ฉินอวี้โม่เก็บเพลิงนั้นไว้ตามเดิมทว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่อย่างชัดเจน

“ท่านจอมยุทธ์ ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ทำสิ่งใดให้ท่านไม่พอใจ”

วิญญาณร้ายยอมจำนนในทันทีและรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อมซึ่งต่างจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิง

เขายอมจำนนเพราะยังไม่อยากตาย แม้ต้องกลายเป็นผีดิบเช่นนี้ มันก็ดีกว่าการดับสลายไปตลอดกาล เพราะถึงอย่างไรการที่อยู่ในสภาพนี้เขาก็ยังคงมีความหวังที่จะได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง

หลังจากรอเวลาพักใหญ่ ผีดิบทั้งเมืองก็มารวมตัวกันอย่างครบถ้วน

“ดูนั่นสิ พวกเขากำลังทำอะไรกัน ?”

เสียงสตรีของจางซือถงดังขึ้นมาด้วยความสงสัยใคร่รู้

เมื่อเห็นผู้คนทั้งเมืองเดินตรงมารวมตัวกันที่ประตูเมือง พวกนางก็รีบตามมาในทันที เมื่อคนเหล่านั้นหยุดลง จางฉือถงและคนอื่น ๆ ก็หยุดลงเช่นกัน ในตอนนี้พวกนางยังไม่ทันสังเกตเห็นฉินอวี้โม่ซึ่งอยู่กลางอากาศและเพียงจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวของประชากรตรงหน้านี้

“คุณหนูรอง เหตุใดข้าถึงคิดว่าคนในเมืองนี้ดูแปลกพิลึกไม่น้อย ?”

บุรุษคนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าฉงนสงสัย ประชากรทั้งเมืองอู๋เริ่นมารวมตัวกันที่ประตูเมืองทว่าหยุดนิ่งและไม่ทำสิ่งใดซึ่งเป็นการกระทำที่ประหลาดยิ่งนัก

“จิ๊จิ๊จิ๊ ข้าเตือนแล้วมิใช่รึว่าไม่ควรออกมาในยามวิกาล ?”

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่มองเห็นกลุ่มของจางซือถงอยู่หลังฝูงชนและลอยตัวไปเหนือพวกนางพร้อมกับก้มลงมอง

“เจ้ากำลังคิดจะทำอะไร ?!”

เมื่อเงยหน้าขึ้นและพบกับฉินอวี้โม่ สีหน้าของจางซือถงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะมองตอบและกล่าวเสียงดัง

“เกรงว่าพวกเจ้าคงจะยังไม่รู้สินะ อันที่จริง…เมืองอู๋เริ่นแห่งนี้คือเมืองผีดิบ !”

ฉินอวี้โม่เผยรอยยิ้มอย่างเยือกเย็นออกมาและจงใจลดเสียงให้เบาลงเพื่อเพิ่มความน่าขนลุก

“เมืองผีดิบอะไรกัน นี่เจ้าหมายความว่าอะไร ?!”

จางซือถงรู้สึกขนลุกขึ้นมาและเริ่มหวาดกลัวจนสันหลังวาบ อย่างไรก็ตาม นางก็ยังเก็บอาการและพยายามทำใจให้สงบนิ่งเข้าไว้ นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ และกวาดสายตามองทุกคนที่ยืนรวมตัวกันอย่างเป็นระเบียบก่อนเปล่งเสียงออกมาเพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเอง

“วิญญาณร้าย ออกมาต้อนรับพวกนางสิ”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวขึ้นก่อนวิญญาณร้ายจะปรากฏตัวขึ้นมาข้างหลังตน

“ขอรับ นายหญิง”

วิญญาณร้ายรับคำสั่งด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อมและเหาะไปหยุดตรงหน้าจางซือถงอย่างรวดเร็ว

“จิ๊จิ๊ กลิ่นของมนุษย์นี่ช่างหอมหวานนัก”

เขากล่าวก่อนเปิดผ้าคลุมเผยให้เห็นใบหน้าขาวซีด จากนั้นวิญญาณร้ายก็แลบลิ้นและกล่าวด้วยวาจาน่าขนลุกจนทำให้จางซือถงใจสั่นระรัว

“ในเมื่อเข้ามาในเมืองผีดิบแห่งนี้แล้ว เจ้าจะต้องอยู่ที่นี่กับพวกข้าตลอดไป…”

วิญญาณร้ายกล่าวและยื่นมือออกไปหาจางซือถงตรงหน้า มือนั้นทะลุผ่านร่างบางของคุณหนูตระกูลจางก่อนดึงมือกลับมาเช่นเดิม

จางซือถงไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใด ๆ ทว่าสีหน้ากลับกลายเป็นหวาดกลัวสุดขีดเมื่อมองเห็นมือของวิญญาณร้ายทะลุผ่านร่างของตน

“นี่มัน…ผี ! กรี๊ดดดดด !”

นางกรีดร้องเสียงดังก่อนหมดสติไปทันที

“แม่เจ้า ! ที่นี่คือเมืองผีดิบจริง ๆ !”

บุรุษอีกสามคนอุทานออกมาเช่นกันและไม่สนใจจางซือถงที่นอนหมดสติอยู่ที่พื้นแม้แต่น้อยขณะวิ่งป่าราบเผ่นหนีไปพร้อมส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัว

“เจ้าคิดจะทำอะไรกัน ?”

จางซือฉีไม่คิดที่จะช่วยพี่สาวที่หมดสติล้มพับไปเช่นกัน ทว่านางใจเย็นกว่าบุรุษอกสามศอกเหล่านั้นขณะกลืนน้ำลายเล็กน้อยและพยายามกดข่มความตื่นตระหนกในหัวใจ

“แม่สาวคนงาม หากข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็คงจะสนใจเจ้าไม่น้อย ทว่าน่าเสียดายที่ข้าเป็นเพียงวิญญาณไร้กายเนื้อ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ข้าจะทำกับเจ้าก็คือ…”

วิญญาณร้ายยื่นมือออกไปลูบไล้สัมผัสใบหน้าของจางซือฉีและเผยรอยยิ้มชวนขนลุก

“พี่เมิ่ง นี่ท่านตายไปแล้วรึ…?”

จางซือฉีหันไปสบตาเมิ่งเยี่ยซึ่งอยู่ไม่ไกลและเอ่ยถามด้วยความไม่มั่นใจนัก

ในเมื่อที่นี่เป็นเมืองผีดิบ หรือว่าเมิ่งเยี่ยและฉินอวี้โม่จะตายไปแล้ว และเป็นวิญญาณไร้ชีวิตเช่นเดียวกับประชากรทั่วทั้งเมือง…

“เจ้าต่างหากที่ตายไปแล้ว !”

เมิ่งเยี่ยกลอกตาไปมาและกล่าวตอบอย่างไม่สบอารมณ์นัก