หานลี่ยกมือขึ้นแล้วใส่ราชาแมลงทั้งสามตัวลงไปในแหวนอสูรวิญญาณ จากนั้นก็นั่งหลับตาพร้อมกำหนดลมปราณให้ดี

ราชาแมลงสามตัวหลังจากที่กลืนกินครั้งสุดท้าย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเมื่อมันกลืนกินตัวอื่นๆ จนเหลือตัวสุดท้ายมันจะแข็งแกร่งแค่ไหน

แต่หลังจากราชาแมลงตัวสุดท้ายวิวัฒนาการจนถึงขีดสุด มันจะเป็นอย่างราชาแมลงในตำนานหรือไม่ สิ่งที่เขาคิดกับความเป็นจริงไม่รู้จะเหมือนกันหรือไม่ เขาไม่ค่อยมั่นใจ

ตามตำนานเล่าว่า ราชาแมลงกลืนทองคำตัวสุดท้าย จะปรากฏตัวให้เซียนที่แท้จริงเห็นเท่านั้น

แม้ว่าจะเป็นเพียงตำนาน แต่ตำราของทุกเผ่าในแดนวิญญาณไม่มีบันทึกเกี่ยวกับราชาแมลงกลืนทองคำนี้เลย

ราชาแมลงตัวนี้แข็งแกร่งแค่ไหน ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก

หานลี่คาดหวังกับมันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่เมื่อเทียบกับพลังของเขาแล้ว ในระดับมหาเมธีตัวช่วยพวกนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงตัดใจสินว่า เมื่อกลับไปแล้วเขาจะปล่อยให้อสูรกิเลนคามิทนที่อยู่ข้างกายเขามาตลอดให้ไปปิดด่านฝึก

แม้ว่าเขาจะต้องรอให้พวกมันปิดด่านฝึกเพื่อสะสมประสบการณ์และฝีมือเป็นเวลานาน แต่ด้วยประสิทธิภาพของโอสถ ระยะเวลาการปิดด่านฝึกก็จะสั้นขึ้น

ในใจของหานลี่ค่อยๆ คิดเรื่องนี้ จนเขาจมลงไปสู่ห้วงทะเลแห่งความคิด

เรือเหาะสีขาวเดินทางอยู่เหนือน่านฟ้าดินแดนรกร้างโดยไม่ได้ทำการซ่อนตัวแต่อย่างใด ปราณระดับมหาเมธีที่แผ่กระจายออกมา ทำให้สัตว์อสูรที่อยู่ใกล้เคียงตกใจ และไม่กล้าขึ้นมาโจมตี

ครึ่งเดือนต่อมา ในที่สุดทิวทัศน์สีเขียวดำที่อยู่ด้านล่างก็ค่อยๆ หายไป แทนที่ด้วยทุ่งหิมะสีขาวไกลสุดลูกหูลูกตา

ความว่างเปล่าที่อยู่ด้านหน้า ลมหนาวพัดเสียงหวีดหวิว พายุหิมะพัดโปรย แทรกด้วยน้ำแข็งเท่าก้อนผลึกแวววาว

แต่เรือเหาะลำนี้ยังปกคลุมด้วยปราณสีขาวหนึ่งชั้น มันเดินทางอย่างมั่นคงราวกับตัวเรือทำจากหิน

หุ่นเชิดวานรยักษ์สองตัว ก็ไม่แสดงท่าทีแปลกๆ มันมุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง

หลายวันผ่านมา เรือเหาะลำนี้ก็ได้บินมาสู่ส่วนในสุดของทุ่งหิมะแห่งนี้ หิมะหนารอบข้างหายไปอย่างไร้ร่องรอย เปลี่ยนเป็นธารน้ำแข็งสีใสราวกับคริสตัล

กว้างไกลสุดสายตา มียอดเขาโปร่งแสงขนาดไม่เท่ากัน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสัตว์อสูรสีขาวขนยาวไม่ทราบชื่อ เดินอยู่บนธารน้ำแข็ง โดยที่ไม่สนใจเรือบินลำนี้เลย

เห็นได้ชัดว่าสัตว์เหล่านี้มีระดับต่ำจึงไม่สามารถตรวจจับปราณที่แข็งแกร่งของเรือบินได้

ทันใดนั้นบนเรือก็มีแสงสีเงินสว่างขึ้นจากบนเรือ สายรุ้งเส้นหนึ่งพุ่งเข้ามา ตามด้วยสัตว์อสูรฝูงหนึ่งบินวน หลังจากที่พวกมันหายไปในอากาศแล้ว แสงไฟเส้นหนึ่งก็พุ่งกลับเข้ามาบนเรืออีกครั้ง

เมื่อแสงสีเงินสว่างวาบ อิ๋นเย่ว์ที่ปรากฏตัวที่ด้านหน้าของเรือพร้อมรอยยิ้ม นางมองดูลูกสัตว์อสูรสีขาวตัวหนึ่งที่อยู่ในมือ

เมื่อมองครั้งแรก สัตว์อสูรตัวนี้มีส่วนคล้ายกับหมีขาวเจ็ดแปดส่วน แต่มันมีเขาสั้นๆ สีฟ้าหนึ่งอันอยู่ที่กลางหน้าผาก มีหูยาวๆ สองข้าง ดูแล้วน่ารักอย่างมาก

สัตว์ตัวนี้โดนหิ้วคออยู่ สี่เท้าปัดไปมาด้วยความสับสน ในขณะเดียวกันมันก็คำรามเบาๆ สายฟ้าสีน้ำเงินก็ปรากฏขึ้น ท่าทางมันดูโง่งมอย่างมาก

“น่าสนใจ สัตว์อสูรตัวนี้ไม่มีปราณมารอยู่เลย มันมีส่วนคล้ายกับสัตว์อสูรในแดนวิญญาณอย่างมาก” อิ๋นเย่ว์ลูบขนนุ่มนิ่มของสัตว์ตัวนี้ ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มหวานขึ้นมา

“นี่คือหมีเขาน้ำแข็ง เป็นสัตว์อสูรระดับต่ำที่อยู่รอดและสามารถขยายเผ่าพันธุ์ได้โดยไม่ต้องอาศัยปราณมาร จากแดนมาร ธาตุและความสามารถของมันคือน้ำแข็งและสายฟ้า” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของอิ๋นเย่ว์

ใบหน้าของอิ๋นเย่ว์มีความสุขมาก เมื่อนางหันหลังกลับไปมอง ก็เห็นเป็นหานลี่ที่เดินออกมาจากท้องเรืออย่างไม่รีบร้อน

“อ่า พี่หานก็รู้เรื่องสัตว์พวกนี้ด้วยหรือ” นางถามหานลี่ด้วยรอยยิ้ม

“เมื่อก่อนข้าเคยรวบรวมศึกษามารอสูรทุกชนิดที่อยู่ในแดนมาร ดังนั้นข้าจึงประทับใจอสูรวิญญาณตัวนี้มาก” หานลี่พูดอย่างอ่อนโยน

“อย่างนี้นี่เอง แต่ว่าตอนนี้เราออกนอกเขตแดนมาแล้ว เป้าหมายของเราน่าจะอยู่ไม่ไกลแล้วใช่หรือไม่” อิ๋นเย่ว์พยักหน้า จากนั้นก็ถามด้วยความตื่นเต้น

“ตามที่สหายหลานอิ่งบอก สถานที่ในแผ่นที่สมบัติชีหลิงคงใช้เวลาอีกไม่เกินครึ่งวัน” หานลี่ใช้จิตสัมผัสมองไปรอบๆ จากนั้นก็ประมาณเอาในใจ

“ครึ่งวัน? ก็ถือว่าไม่ไกลจริงๆ หึๆ ได้ข่าวว่าบรรพบุรุษชีพลิงเป็นบุคคลในตำนานของแดนมาร เขาอุทิศตนเพื่อซ่อนสมบัติ เกรงว่าสมบัติในนั้นน่าจะมีไม่น้อยเลยทีเดียว” อิ๋นเย่ว์พูดอย่างมีความสุข

“เรื่องนี้พูดได้ยาก แดนมารกับชาวมนุษย์อย่างพวกเรามีการฝึกที่ไม่เหมือนกัน บางทีอาจจะเป็นของล้ำค่าของพวกเขา แต่สำหรับพวกเราแล้วอาจจะไม่มีค่าอะไรเลยก็ได้ แต่ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นมี เรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึก สมบัติเหาะเหินที่จัดอยู่ในสามลำดับแรกในดินแดนมาร หากได้สมบัติชิ้นนี้มาละก็ ถือว่าคุ้มค่ามาก” หานลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“สามลำดับแรกในดินแดนมาร? สมบัติเช่นนี้ต้องสำคัญมากแน่นอน น้องสาวชักอยากเห็นมันแล้ว”

อิ๋นเย่ว์พูดอย่างตื่นเต้น

หานลี่ยิ้ม ในตอนที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขารีบหันกลับไปดูที่มองท้องฟ้า

“อะไรหรือ พี่หานเจออะไรเข้าหรือ” อิ๋นเย่ว์ถามอย่างประหลาดใจ

“น่าสนใจ เหมือนเราจะได้เจอคนรู้จักเข้านะ” หานลี่จ้องที่แสงสว่างไกลลิบ ตรงเส้นขอบฟ้า มุมปากของเขายกยิ้มขึ้น

“คนรู้จักหรือ ข้ารู้จักหรือไม่?” อิ๋นเย่ว์ตกใจเล็กน้อย

“ถูกต้อง ตอนนั้นพวกเรากับนางกับประมือกันมาก่อน ตอนนี้พวกเราไปเจอคนคุ้นเคยกันหน่อยดีกว่า” หานลี่ถอนสายตากลับมา แล้วหันมามองอิ๋นเย่ว์ด้วยรอยยิ้ม

“ข้ารู้จักจริงๆ หรือ เช่นนั้นก็ต้องไปเจอกันหน่อย” อิ๋นเย่ว์ก็ใช้จิตสัมผัสสำรวจไปในทิศทางเดียวกัน แต่น่าเสียดายระยะการสำรวจของนางมีจำกัด จึงไม่สามารถสังเกตเห็นคนผู้นั้นได้ ใบหน้าของนางจึงเต็มไปด้วยความสนใจ

หานลี่หัวเราะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาแตะปลายเท้าเล็กน้อยเรือเหาะก็สั่นสะเทือน ทิศทางการเดินเรือก็เปลี่ยนไป หันไปอีกด้านหนึ่งแทน

ทันใดนั้น เรือสีขาวที่เดินทางมาหลายหมื่นลี้ มาหยุดที่ภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่งที่มีขนาดสูงหายพันจั้ง

ด้านบนของภูเขาน้ำแข็ง มีเสียงฟ้าผ่าดังโครมคราม คลื่นอากาศขนาดใหญ่ก็กระจายออกทั่วทุกทิศ

ไม่ทราบว่าภูเขาน้ำแข็งลูกนี้เป็นแบบนี้มากี่ปีแล้ว เพราะมันถูกตัดเตี้ยนหั่นครึ่ง รอบๆ มีแต่หลุม แต่บ่อ และก้อนน้ำแข็งขนาดต่างๆ ก็กระจัดกระจายเต็มไปหมด

ตรงศูนย์กลางของเสียงดังสนั่น มีไอเย็นสีขาวและม่านแสงสีฟ้าสลับกันไปมา กลายเป็นเมฆหมอก

ราวกับว่าสองสิ่งนี้กำลังต่อสู้กันอยู่ จนไม่สามารถแยกออกว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อหานลี่เห็นฉากนี้ เขาก็หรี่ตาลง เขายังไม่เห็นสิ่งอื่นที่ขยับเคลื่อนไหวเลย แต่เรือเหาะก็หยุดด้วยตัวของมันเอง ทุกอย่างที่อยู่บริเวณนั้นเงียบกริบ ไม่มีเสียงอะไรแทรกขึ้นมา

อิ๋นเย่ว์กะพริบตาปริบๆ มองไปที่การต่อสู้ของกลุ่มที่อยู่ด้านหน้า น่าเสียดายที่ปราณฟ้าดินโดนทำให้วุ่นวายไปเสียหมด จึงมองไม่ชัดเลย

แต่เมื่อดูจากพลังที่น่าตกใจนี่แล้ว เหมือนว่าจอมมารทั่วไปไม่มีทางทำแบบนี้ได้

“นางนั่นเอง”

เมื่ออิ๋นเย่ว์ใช้จิตสัมผัสสำรวจเข้าไป และได้พบกับปราณที่คุ้นเคย ใบหน้างดงามก็แสดงสีหน้าตกใจขึ้นมา

หานลี่ยิ้มเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขายืนอยู่บนเรือเหาะดูการต่อสู้จากที่ไกลๆ

ด้วยจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของเขา เขาเห็นการต่อสู้ที่อยู่ด้านในชัดเจนเหมือนกับเขาได้ไปดูติดขอบสนามเลย

เวลาหนึ่งจิบชาผ่านไป ทันใดนั้นเสียงจากการต่อสู้ก็ดังขึ้น แสงสีฟ้าที่อยู่ด้านในก็ระเบิดขึ้นมา ราวกับต้องการทำลายทุกสิ่งที่อยู่ใกล้เคียง

จากนั้นก็มีเสียงคำรามของอสูรร้ายดังขึ้น

ระลอกคลื่นกระจายขึ้น มังกรสีขาวยาวสิบกว่าจั้งก็กระโดดออกมาจากตรงกลางโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงบาดแผลของตัวเองเลย เหมือนกับว่ามันจะพยายามหลบหนี แต่ว่าทันทีที่แสงสว่างวาบขึ้น เงาของคนคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

เสียงกรีดร้องและระลอกคลื่นก็เกิดขึ้นมาพร้อมกัน มีเพียงกรงเล็บขนาดใหญ่พุ่งออกมา คว้าร่างของมังกรตัวนั้นอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้า จนทำให้มังกรสีขาวตัวนั้นตัวขาดออกเป็นหลายส่วน

หลังจากที่กรงเล็บขนาดใหญ่นั้นจัดการมังกรตัวนั้นได้แล้ว เปลวเพลิงสีดำก็ลุกท่วมร่างมังกรตัวนั้น

มังกรสีขาวตัวนั้นก็กรีดร้องโหยหวน เปลวไฟสีดำพุ่งโจมตีซ้ายขวาราวกับว่ามันมีชีวิต แต่น่าแปลกที่มันไม่สามารถกำจัดเปลวเพลิงปีศาจที่พันรอบตัวของมันได้

เวลาผ่านไปไม่นาน จิตวิญญาณและร่างกายของมังกรตัวนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนไม่เคยมีมันมาก่อน

เมื่อหานลี่เห็นดังนั้น เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดกับเงาคนที่อยู่ในม่านแสงสีฟ้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“สหายหยวนซา เหมือนว่าดวงของเราจะสมพงษ์กันนะ คาดไม่ถึงว่าในที่ดินแดนรกร้างเช่นนั้นก็ยังมาเจอเจ้าได้ แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว เหมือนตอนนี้เจ้าจะไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นะ”

เงาคนที่ยืนอยู่กลางม่านแสง คือหญิงสาวคนหนึ่งที่ผิวขาวดั่งหยก หน้าตางดงาม

คนผู้นี้ก็คือบรรพบุรุษหยวนซา พวกเขาเคยเจอกันแล้วที่แดนพฤกษา

แต่ว่าท่านมหาเมธีแดนมารคนนี้ แม้จะสวมชุดเกราะสีน้ำเงิน แสงไฟสลัวๆ ก็เห็นว่าใบหน้าของเขาซีดขาวกว่าปกติ ลมปราณสับสน ท่าทางดูไม่ค่อยมั่นคง

แต่ที่น่าแปลกคือ ดูจากปราณที่อยู่บนร่างกายนางแล้ว หยวนซาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์เท่านั้น

“ที่แท้ก็เป็นสหายหานนี่เอง หรือว่าเป่าฮวาเปลี่ยนใจแล้ว ให้ท่านตามมาฆ่าข้าหรือ” หยวนซามองมาก็รู้ทันทีว่านี่คือหานลี่ แต่สีหน้าของนางไม่ได้แสดงความประหลาดใจ แค่ถามออกมาอย่างน่าอนาถใจเท่านั้น

“ตามฆ่าเจ้า จะเป็นไปได้อย่างไร แม้ว่าตอนแรกข้าจะช่วยเป่าฮวา แต่ก็เป็นการร่วมมือกันเท่านั้น ข้าไม่ใช่ลูกน้องของเป่าฮวาเสียหน่อย” หน้าของหานลี่เปลี่ยนสี เขาพูดออกไปอย่างไม่เกรงใจ

“ที่แท้ก็เป็นข้าน้อยที่เข้าใจผิด หวังว่าสหายหานจะให้อภัย ก็จริงที่สหายหานอยู่ระดับมหาเมธีแล้ว ฝีมือก็ไม่ได้ห่างชั้นกับเป่าฮวา แล้วจะฟังคำสั่งของนางเพื่อมาตามฆ่าคนเกือบพิการอย่างข้าไปทำไม” ในตอนแรกหยวนซาก็ตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะอย่างขมขื่น

“คนเกือบพิการ นี่คือระดับปราณของเจ้าจริงๆ สินะ ทำไมระดับของเจ้าไม่ใช่มหาเมธีแล้วล่ะ หรือว่าจะเป็นฝีมือของเป่าฮวา” หานลี่หรี่ตามอง และถามอย่างเดาคำตอบ

“ไม่ ข้าละทิ้งการฝึกเอง” หลังจากที่หยวนซาเงียบไปนาน สิ่งที่เขาพูดออกมาก็ทำให้หานลี่ประหลาดใจ