บทที่ 676 มากันหมดเลย

เจ้าสามขับรถพาพวกเซวียเหม่ยลี่มาส่งที่บ้าน แล้วหลินชิงเหอก็ถามขึ้น “ทำไมเสี่ยวอวี้ไม่ได้มาด้วยล่ะจ๊ะ?”

“เด็กคนนั้นเป็นไข้ตั้งแต่เมื่อวานซืน เมื่อวานดีขึ้นเยอะแล้ว ฉันเลยส่งเธอไปอยู่กับปู่ย่าของเธอ ตัวเธอเองอยากมานะ แต่ฉันไม่ให้” เซวียเหม่ยลี่บอกยิ้ม ๆ

เจียงเกิงที่อยู่ข้าง ๆ รีบแนะนำคนให้หล่อน “แม่ นี่คือพี่ใหญ่เองครับ”

โจวข่ายหันมองเซวียเหม่ยลี่ด้วยรอยยิ้ม และเรียกหล่อนว่าน้าเซวีย

นี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนเจอโจวข่าย แล้วก็บังเกิดความอิจฉาเป็นอย่างมาก “แม่ของพวกเธอช่างเก่งกล้าสามารถจริง ๆ เลี้ยงพวกเธอจนกลายเป็นคนเยี่ยมยอดทุกคนเลย”

“เสี่ยวเกิงก็เติบโตมาเป็นคนเก่งเหมือนกันนะ” หลินชิงเหอกล่าวยิ้ม ๆ

“มีแต่แม่บุญธรรมนี่แหละที่ชื่นชมผม แม่ผมเอาแต่ทุบผมอยู่เรื่อยเลยครับ” เจียงเกิงพูดด้วยความเหนื่อยใจ

“ลูกน่ะสมควรโดนทุบแล้วล่ะ” เซวียเหม่ยลี่ด่าไปขำไป ก่อนจะหันไปมองโจวอู่นี “บอกข่าวดีกับอาสะใภ้สี่หรือยังจ๊ะ?”

“ข่าวดี?” หลินชิงเหอมองโจวอู่นี

โจวอู่นีจึงพูดอย่างขัดเขิน “เมื่อวานซืนฉันไม่ค่อยสบาย พอไปตรวจที่โรงพยาบาล หมอก็บอกว่าท้องจะหนึ่งเดือนแล้วน่ะค่ะ”

หล่อนแต่งงานไปเมื่อฤดูร้อน นี่ก็จะครึ่งปีแล้ว แต่ไม่ได้ตั้งใจจะมีลูกไวขนาดนี้จริง ๆ

หล่อนตกลงกับเจียงเหิงแล้วว่าอีกหน่อยค่อยว่ากัน ถึงอย่างไรตอนนี้หล่อนยังต้องไปสอนหนังสือ เจียงเหิงก็ต้องขายชา ยุ่งขนาดนี้ จะหาเวลาว่างจากไหน?

ครึ่งปีผ่านไปหล่อนก็ยังไม่ท้อง ส่วนแม่ของหล่อนก็โทรมาหลายครั้งเพราะเรื่องนี้ เพราะอยากให้หล่อนมีลูกไว ๆ จะมีลูกช้าไปทำไมกัน

โจวอู่นีไม่ได้เก็บมาใส่ใจ แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเกิดขึ้นในครั้งนั้นเมื่อเดือนก่อนที่ยาคุมกำเนิดของหล่อนใกล้หมดและไปรับยาชุดใหม่ที่โรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้น

มันไม่พลาดเป้าสักนิด แน่นอนว่าหล่อนท้อง

“นี่มันเรื่องมงคลคูณสองเลยนะเนี่ย” หลินชิงเหอพูดขึ้นทันทีด้วยความดีใจ

“ถึงตอนที่ลูกคลอดออกมาแล้ว ฉันก็ยังไม่รู้เลยค่ะว่าจะเลี้ยงยังไง” โจวอู่นียังกลุ้มใจอยู่นิดหน่อย

พวกเขาเป็นคนทำงานทั้งคู่ จะลาหยุดได้นานสักแค่ไหนเชียว?

หากท้องตอนนี้ เมื่อนับเวลาดูก็น่าจะคลอดเดือนกันยายนหรือไม่ก็เดือนตุลาคมของปีหน้า ถึงตอนนั้นคงไม่ได้สอนหนังสือแล้วแน่ ๆ

“ถ้าปีหน้าท้องไม่โตมากยังสอนหนังสือต่อได้ รอให้ถึงช่วงหน้าร้อนก่อน ถึงตอนนั้นท้องโตพอดีแล้วก็ขอพักไปก่อนสักหนึ่งเทอม รอจนถึงตอนเปิดเทอมปีมะรืน ตอนนั้นลูกก็ไม่เล็กแล้ว ให้แม่สามีเธอช่วยเลี้ยง หรือไม่ก็เอาไปไว้ที่บ้านปู่ย่าเธอก็ได้” เซวียเหม่ยลี่กล่าว

“แต่คุณปู่คุณย่าอายุมากขนาดนั้นแล้ว” โจวอู่นีลังเลนิดหน่อย

“ไม่มากขนาดนั้นหรอก ซื้อรถเข็นเด็กให้สักคัน พาเข็นออกไปบ่อย ๆ ก็พอ ใช่ว่าต้องใช้แรงเยอะ ถ้าเหนื่อยก็ให้พวกเขาส่งมาอยู่กับฉัน ฉันช่วยเลี้ยงด้วย” เซวียเหม่ยลี่กล่าว

โจวอู่นีมีแม่สามีอยู่ แต่ที่นั่นนอกจากจะไกลจากบ้านแล้ว ที่บ้านนั้นยังคนเยอะวุ่นวายด้วย สู้ที่นี่ไม่ได้หรอก

“ขอบคุณน้ารองมากค่ะ” โจวอู่หนียิ้มพลางพูด

เซวียเหม่ยลี่หัวเราะ “ฉันว่างอยู่บ้านไม่ได้ทำอะไร เสี่ยวเกิงมาเรียนที่นี่ เสี่ยวอวี้ก็ไปโรงเรียน เธอมีลูกให้ฉันได้มีอะไรทำฆ่าเวลาก็ไม่เลว”

“เลี้ยงเด็กไม่ง่ายนะ ถ้าเธอยอมช่วยคนหนุ่มสาวอย่างพวกเขา พวกเขาต้องจดจำบุญคุณนี้ไว้เลยล่ะ” หลินชิงเหอกล่าว

เซวียเหม่ยลี่ยิ้ม “จะต้องจดจำอะไรคะ ลูกหลานตระกูลเจียงทั้งนั้น ฉันเองก็เป็นย่ารอง”

แต่บุญคุณครั้งนี้ก็ต้องจดจำไว้อยู่ดี

พี่ใหญ่โจวและสะใภ้ใหญ่โจวมาถึงตอนบ่าย หลินชิงเหอเห็นว่าบ่ายสองแล้วพวกเขายังไม่โทรมา จึงคาดว่าน่าจะได้เวลาแล้ว ยังไงก็มีรอบรถอยู่แค่นั้น จึงส่งพวกเจ้าสามไปรับ ทั้งหมดสามคันรถด้วยกัน

หลังจากไปรอประมาณครึ่งชั่วโมง ทุกคนก็มาถึง

บรรยากาศที่ดูมืดฟ้ามัวดิน พอพวกเขารับทุกคนมาอยู่ที่เรือนสี่ประสาน ทั้งเรือนก็คึกคักขึ้นมาในบัดดล

หลังหลินชิงเหอเห็นทุกคนแล้ว เธอก็โทรไปยังหัวหน้าคณะกรรมการหมู่บ้านในทันทีเพื่อบอกสามีของโจวต้านีว่าพวกเขามาถึงปักกิ่งกันแล้ว และยังโทรบอกพี่สามโจวกับทุกคนอีกด้วย

จากนั้นก็เป็นการต้อนรับแขกเหรื่อที่มาหา

ที่นี่มีผู้คนอยู่เป็นจำนวนมาก หวังหยวนจึงเชิญให้พี่ใหญ่โจวกับสะใภ้ใหญ่โจวไปอยู่ที่บ้านของเขา โดยที่เขาได้ทำความสะอาดห้องหับไว้รอรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ลูกเขยช่างมีน้ำใจนัก สะใภ้ใหญ่โจวจึงคิดว่าจะไปพักที่นั่น

ส่วนคนที่เหลือก็ให้อยู่ที่บ้านนี้กัน

“อาสะใภ้สี่ครับ นี่เหรอครับเรือนสี่ประสานที่อยู่ในหนังสือ?” โจววั่งลูกชายคนเล็กของสะใภ้ใหญ่โจวเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับการได้เห็นเรือนอันกว้างใหญ่โอ่อ่าขนาดนี้

บ้านแบบนี้ใหญ่โตกว้างขวางเหลือเกิน เกรงว่าต้องใช้เวลาเยี่ยมชมนานทีเดียว!

“นี่แหละจ้ะที่เรียกว่าเรือนสี่ประสาน เธอจะเดินดูรอบ ๆ ก็ได้นะ” หลินชิงเหอยิ้ม

“กลัวว่าผมจะหลงน่ะสิครับ” โจววั่งบอกตามตรง

หลินชิงเหอได้ยินก็ยิ้ม “ไม่หลงหรอกจ้ะ ผังบ้านไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้นหรอก”

“เรือนใหญ่ขนาดนี้ แค่ผมมองดูก็กลัวหลงเหมือนกันนะครับ” น้องชายสามหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เดิมทีเขาคิดว่าบ้านในอำเภอของเขาก็ไม่เล็กแล้ว พอมาเห็นเรือนสี่ประสานของพี่สาว เขาก็ได้รู้ว่าบ้านระดับคฤหาสน์นั้นเป็นแบบไหน มันช่างใหญ่โตโอ่อ่าเหลือเกิน

ตอนนี้เองหลินซิ่วได้ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “ไปค่ะ หนูจะพาทุกคนชมรอบ ๆ เอง ตัวหนูคุ้นกับบ้านหลังนี้แล้ว”

“ตามสบายเลยจ้ะ” หลินชิงเหอบอก

ไม่เพียงน้องชายสามหลินกับโจววั่งเท่านั้นที่เดินชมบ้าน แต่ยังมีพี่สะใภ้ใหญ่โจวและคนอื่น ๆ เช่นกัน ในปีนี้ทั้งปีพวกเขาไม่เคยเห็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจขนาดนี้มาก่อนเลย

“ถ้าเรือนหลังนี้มาอยู่ในตัวอำเภอ มันก็น่าจะมีราคามหาศาลอยู่นะ แค่อยู่ในเมืองใหญ่ขนาดนี้ก็ยังต้องใช้เงินหลายแสนเลยถูกไหมจ๊ะ?” สะใภ้ใหญ่โจวอดไม่ได้ที่จะอุทานขณะเยี่ยมชม

น้องชายสามหลินยิ้มและไม่พูดอะไร แต่เขาก็ไม่คิดว่าเงินแสนหยวนจะซื้อเรือนหลังนี้ได้ แค่บ้านของเขาในตอนนี้ก็ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 123,000 หยวนแล้ว ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะซื้อเรือนหลังนี้ได้

อย่าว่าแต่ในเมืองปักกิ่งเลย เรือนแบบนี้ก็ยังเป็นบ้านหลังใหญ่อยู่ดี

หลังเดินชมรอบ ๆ บ้านจนทั่วแล้ว ทุกคนก็กลับเข้ามาอยู่ในบ้าน เพราะอากาศเย็นนัก

หลินชิงเหอจึงบอกให้พวกเขาอาบน้ำเพื่อจะได้สบายตัว

เธอยังเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวให้พวกเขาด้วย พวกเขาจะได้ใส่ลำลองเลย และไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อยท่ามกลางอากาศหนาว

จากนั้นคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้ก็ยกโขยงกันไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำ

น้องชายสามหลินเลือกที่จะอาบน้ำที่บ้าน เพราะความจริงแล้วเขาอยากคุยกับพี่สาวของเขาด้วย หลินชิงเหอจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่ได้ยินพี่สะใภ้สามบอกมาว่าปีนี้นายซื้อรถบรรทุกด้วยตัวเองแล้วงั้นเหรอ?”

น้องชายสามหลินยิ้มพลางพยักหน้า “ผมคิดว่าเงินเก็บตัวเองมีพออยู่น่ะครับ ทำเลที่ตั้งร้านค้าก็ดี แล้วก็ขายดีเรื่อย ๆ ผมก็เลยตัดสินใจซื้อมัน”

จากนั้นเขาก็เปิดร้านสองร้าน เพื่อจะตุนสินค้าไว้ในร้านให้เพียงพอ เขาจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนรถ

เขาจึงใช้เงินไปกับการเรียนขับรถ และหลังจากสอบได้ใบขับขี่มาแล้ว เขาก็ซื้อรถบรรทุกจากตัวมณฑลและขับกลับมา

ตอนนั้นเขาจึงมีร้านค้าเพิ่มหนึ่งร้านและรถบรรทุกอีกหนึ่งคัน ทำให้เงินเก็บที่มีอยู่ร่อยหรอลงไปมาก แต่ร้านค้าทั้งสองก็ทำเงินให้เขาอย่างมหาศาล

ช่วงนี้เป็นช่วงซบเซาที่สุดของเดือนสิบสอง กิจการอยู่ในระดับปานกลางและไม่ค่อยมีสินค้ามาขายมากนัก แต่ในช่วงฤดูร้อนนั้นเป็นช่วงที่กิจการคึกคักสูงสุด เพราะผักผลไม้ทั้งหลายได้ออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก เป็นฤดูเก็บเกี่ยวที่แท้จริง

……………………………………………………………………………………………………………………….