ตอนที่ 1031 มาด้วยเหตุใด

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ป้ายคำสั่งนี้จะมอบให้ผู้ใดก็ได้อย่างนั้นเหรอ

คนเหล่านี้ส่งเสียงพูดตะกุกตะกัก แต่แล้วก็ต้องหุบปากไปเพราะน้ำเสียงที่เย็นชาของกู้ไป๋อี

“หุบปาก!”

ในครั้งที่เขาถูกสายฟ้าฟาดครานั้น แม้แต่แหวนมิติก็ได้พังลง มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงรักษาเอาไว้ได้นั่นก็คือป้ายคำสั่งนี้

มู่เฉียนซีรู้ดีว่าป้ายคำสั่งนี้ไม่ปกติ

นางจึงกล่าว “ป้ายคำสั่งนี้เจ้าเก็บเอาไว้เองเถอะ!”

“มีป้ายคำสั่งนี้ เจ้าสามารถไปหาข้าที่ตำหนักเป่ยหานได้ทุกเวลา”

ในเมื่อกู้ไป๋อีกล่าวเช่นนี้แล้ว มู่เฉียนซีก็ไม่อาจปฏิเสธได้

เพราะว่านางจำเป็นต้องไปตำหนักเป่ยหาน

ถึงแม้ว่าตอนนี้พลังของนางจะยังไม่แข็งแกร่งพอ แต่สักวันก็ต้องไปที่นั่น

นางกลับอยากให้เสี่ยวไป๋ดูแลท่านอารองให้ดีสักหน่อย แต่เพื่อไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น และไม่ให้คนที่ควบคุมอารองผู้นั้นสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ นางจึงไม่ได้บอกเสี่ยวไป๋แต่อย่างใด

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “ตำหนักเป่ยหานเป็นถึงหนึ่งในกองกำลังระดับสามแห่งดินแดนสี่ทิศ ข้าจะต้องหาเวลาไปเยี่ยมชมเป็นแน่ เช่นนั้นป้ายคำสั่งนี้ข้าจะรับไว้”

ลูกน้องเหล่านั้นของกู้ไป๋อีตกตะลึงพรึงเพริดอย่างต่อเนื่อง ประโยชน์ของป้ายคำสั่งนี้ เหตุใดถึงได้เล็กน้อยปานนี้ได้

มุมปากของกู้ไป๋อียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมชมหรอก แก้แค้นก็ว่าไปอย่าง

เขากล่าว “เช่นนั้นข้าก็จะรอ”

มอบของให้แล้ว เขาก็ควรจะต้องไปแล้ว

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “เจ้ารอก่อนก็แล้วกัน เมื่อถึงตอนนั้นก็อย่าหาว่าข้าเล่นใหญ่เกินไปล่ะ”

ถึงแม้ว่านางและเสี่ยวไป๋จะไม่ได้มีความเคียดแค้นต่อกัน แต่ผู้อาวุโสสูงสุดกับหัวหน้าตำหนักเป่ยหานแล้ว นางสู้ไม่ยอมถอยแน่

ต่อให้จะต้องพังตำหนักเป่ยหาน นางก็จะทำให้ท่านอารองหลุดพ้นจากการควบคุมให้ได้

ตอนนี้ฉีดยาป้องกันให้กับเสี่ยวไป๋ก่อน เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้มีจุดยืนต่างกัน ก็ต้องมีการเตรียมตัวเอาไว้สักเล็กน้อย

“เล่นใหญ่ไปก็ไม่เป็นไร มีข้าอยู่!” กู้ไป๋อีกล่าว

ลูกน้องของเขาเหล่านี้รู้สึกราวกับว่าพวกเขาเจอผิดคนแล้ว คนตรงหน้าผู้นี้ใช่ท่านกู้ผู้เย็นชาไร้ความรู้สึกตัวจริงเหรอ

หรือเป็นเพราะว่าพวกเขาตาฝาดไป

มู่เฉียนซีกล่าว “ลูกน้องของเจ้าคุกเข่านานแล้ว ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไป ตอนนี้ก็รีบไปเถอะ!”

“เพียงแต่ว่าประลองฝีมือได้ไม่ทันไรเจ้าก็จะจากไปแล้ว ช่างน่าเบื่อเสียจริง ชิงอิ่ง ต่อไปเจ้าประลองกับข้าเถอะ!” มู่เฉียนซีมองไปที่ชิงอิ่ง

ยังไม่ทันได้กล่าวคำลา มู่เฉียนซีก็ละความสนใจไปจากกู้ไป๋อีแล้ว

กู้ไป๋อีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไปกันเถอะ!”

“ขอรับ!”

พลังความแข็งแกร่งของพวกเขาแต่ละคนนั้นไม่ธรรมดา จึงออกไปจากเมืองเย่เซี่ยได้อย่างรวดเร็ว

ตูม ปัง ปัง!

มู่เฉียนซีประมือกับชิงอิ่ง ร่างชุดเขียวกับร่างชุดม่วงต่อสู้กันกลางอากาศ

หลังจากมู่เฉียนซีกระเด็นลอยออกไป จู่ ๆ ก็ถูกร่างในชุดดำร่างหนึ่งรับเอาไว้ได้

เมื่อรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย มู่เฉียนซีก็ตกใจสะดุ้งเล็กน้อย

“จิ่วเยี่ย เจ้ามาแล้ว!”

ชิงอิ่งที่ยืนอยู่กลางอากาศในตอนนี้ สายตาจ้องมองไปที่จิ่วเยี่ยอย่างเงียบสงบ

จิ่วเยี่ยขมวดคิ้วขึ้น บริเวณรอบ ๆ ไม่มีกลิ่นอายของเจ้าคนน่ารังเกียจผู้นั้นแล้ว เพียงแต่ว่า เจ้าหมอนี่กลับฟื้นขึ้นมาแล้ว

ชิงอิ่งไม่ได้เปล่งเสียงกล่าวแต่อย่างใด และจู่ ๆ เขาได้อันตรธานหายไปต่อหน้ามู่เฉียนซี

มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “จิ่วเยี่ย หรือว่าเจ้าได้ข่าวของเผ่ามังกรแล้ว?”

ทว่า จิ่วเยี่ยกลับส่ายหน้า “เปล่า!”

“แล้วเจ้ามาทำไม?” มู่เฉียนซีรู้สึกแปลกใจ

“หรือว่าซีไม่อยากให้ข้าอยู่ข้างกายอย่างนั้นเหรอ?” ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกจ้องมองมู่เฉียนซีอย่างลึกซึ้ง

“ตกลงมีเรื่องอันใดกันแน่?” มู่เฉียนซียังรู้สึกแปลกใจอยู่

สุดท้ายจิ่วเยี่ยก็ตอบว่า “เมื่อถึงเวลาซีก็จะรู้เอง”

ถึงแม้ว่านางจะฝึกฝนทักษะโยวหลัวได้อย่างบรรลุแล้ว แต่พลังวิญญาณของนางยังไม่ถึงขั้นจักรพรรดิระดับสูง นางจึงยังไม่สามารถฝึกทักษะวิญญาณอันดับต่อไปได้

หลังจากที่จิ่วเยี่ยมา เขาก็อยู่ข้างกายมู่เฉียนซีอย่างเงียบสงบ สงบอย่างน่าประหลาดจนทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกแปลกใจยิ่งขึ้น

จิ่วเยี่ยโอบนางเอนตัวลง และกระซิบข้างหูนางว่า “หากซีง่วงก็นอนพักสักหน่อยเถอะ!”

มู่เฉียนซีตกตะลึงขึ้น “เช่นไรที่เรียกว่านอนพักสักหน่อย?”

จิ่วเยี่ยมองนางอย่างสงบ แต่ก็ไม่ได้เปล่งเสียงกล่าวแต่อย่างใด

เจ้านี่ช่างทำท่าทางลึกลับเสียจริง นางไม่สามารถถามอันใดให้เขาตอบได้เลย

มู่เฉียนซีกล่าวเตือนว่า “ข้านอนก็ได้ แต่เจ้าอย่าได้ฉวยโอกาสตอนที่ข้านอนทำอันใดล่ะ!”

มู่เฉียนซีพบว่าจิ่วเยี่ยเชื่อฟังนางเป็นพิเศษ เมื่อเห็นนางหลับไปแล้ว เขาก็ไม่ได้ทำอันใด

นางคิดในใจว่า ‘เป็นเพราะว่ามีแหวนหยกเย็นศักดิ์สิทธิ์อยู่แน่เลย คำสาปของจิ่วเยี่ยถึงไม่รุนแรงมากแล้ว’

กลับนึกไม่ถึงว่านอนหลับถึงเที่ยงคืนมู่เฉียนซีก็ตื่นขึ้น

ถูกจิ่วเยี่ยจูบอย่างหยาบคายทำให้นางหายใจลำบาก จำต้องตื่นขึ้นมาจากความฝัน

อือ…

ที่ก่อนหน้านี้ไม่ลงมือ ไม่ใช่เพราะว่ารอให้นางฟื้นฟูพลังจิตกลับมาก่อนหรอกกระมัง เมื่อถึงเที่ยงคืนก็รอเวลาลงมือเช่นนี้!

จิ่วเยี่ยช่างร้ายกาจยิ่งนัก!

หลังจากที่ปลุกนางด้วยวิธีที่สุดเหวี่ยงเช่นนี้ จิ่วเยี่ยก็หยุดทำร้ายริมฝีปากของมู่เฉียนซีลง

สายตามองแก้มที่ชมพูระเรื่อนั้นของนาง และหยิกแก้มเบา ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ตื่นแล้วเหรอ!”

จากนั้นเขาก็กอดมู่เฉียนซีเอาไว้ และหยิบเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมด้วยขั้นตอนซับซ้อนนั้นสวมให้กับนาง

ความเร็วในการสวมของจิ่วเยี่ยนั้นรวดเร็วมาก มู่เฉียนซียังไม่ได้มีการตอบสนองแต่อย่างใด เขาก็สวมให้นางเสร็จแล้ว

มู่เฉียนซียืนตรงหน้าเขา และกล่าวถามว่า “จิ่วเยี่ย เกิดอันใดขึ้น จู่ ๆ ก็สวมชุดพิธีการเช่นนี้ให้ข้า นี่เจ้าจะให้ข้าเข้าร่วมงานเลี้ยงอันใดเหรอ?”

จิ่วเยี่ยกล่าว “ใกล้จะได้เวลาแล้ว!”

จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีไว้ในอ้อมกอด และร่างสองร่างก็อันตรธานหายไปภายในชั่วพริบตา

มู่เฉียนซีคิดว่าจิ่วเยี่ยจะพานางฝ่ามิติไปยังแดนนรกหรือไม่ก็สถานที่อื่น แต่ผลลัพธ์นั้น…

นึกไม่ถึงว่าที่เขาพามานั้นจะเป็น..

บนหลังคา!

ในตอนนี้ตนเองได้ถูกจิ่วเยี่ยกอดเอาไว้ในอ้อมแขนและนั่งอยู่บนหลังคา พร้อมสวมชุดที่ประณีตอย่างเป็นทางการ มู่เฉียนซีไม่รู้จริง ๆ ว่าจิ่วเยี่ยมีลับลมคมในอันใดอยู่

มู่เฉียนซีเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา และกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย ถึงแม้ว่าคืนนี้เจ้าจะชวนข้ามาชมจันทร์ แต่พระจันทร์ก็ไม่เข้าข้างเจ้าอยู่ดี เจ้าดูสิ ไม่เห็นจะโผล่ออกมาเลย”

วันนี้ เป็นเดือนใหม่!

ปัง ปัง ปัง!

และในตอนนี้เอง ดอกไม้ไฟอันเจิดจรัสก็ได้ปะทุขึ้น และมีสีสันมาก

สีสันดูงดงามตระการตา งดงามกว่าดอกไม้ไฟในยุคปัจจุบันที่นางเคยเห็นอยู่มากล้น

แต่นั่นก็แน่นอนอยู่แล้ว ดอกไม้ไฟในยุคปัจจุบันจะงดงามเท่ากับดอกไม้ไฟของพลังธาตุอัคคีได้เช่นไรเล่า

มู่เฉียนซียังรู้สึกแปลกใจ จอมภูตพลังธาตุอัคคีเหล่านั้นว่างนักหรืออย่างไรถึงได้ออกมาปล่อยดอกไม้ไฟด้วยทักษะวิญญาณเช่นนี้

และในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังฉงนสงสัยอยู่ ดอกไม้ไฟกลางอากาศก็ได้พลันเปลี่ยนไป

แสงของดอกไม้ไฟพลันเปลี่ยนเป็นตัวอักษร ‘สุขสันต์วันเกิด!’

ดวงตาของมู่เฉียนซีเบิกกว้างขึ้น และหันไปมองบุรุษผู้รูปงามอย่างไร้ที่ติที่กอดนางอยู่ “จิ่วเยี่ย ขะ ข้า…”

จิ่วเยี่ยกระซิบกล่าวข้างหูมู่เฉียนซีด้วยน้ำเสียงราวกับเคลิบเคลิ้มไปด้วยสุรา “ซี สุขสันต์วันเกิด!”

วันเกิดของนาง วันนี้เป็นวันเกิดในร่างนี้ของนาง นึกไม่ถึงว่านางจะลืมไปได้

ในวันเกิดครั้งที่นางอายุครบสิบหกปีในครั้งนั้น ทุกคนในตระกูลมู่และท่านอาเล็กให้ความสำคัญมาก แน่นอนว่านางไม่มีทางลืม

ทว่า หลังจากที่นางออกมาท่องยุทธภพด้านนอก ท่านอาเล็กก็ได้จากไป นางจึงได้ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

ในวันนี้ เป็นวันเกิดที่นางอายุครบสิบเจ็ดปี และนางก็มาในดินแดนแห่งนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว

และนางก็ได้รู้จักกับจิ่วเยี่ยเป็นเวลาปีกว่าแล้วด้วย

ความแข็งแกร่งของจอมภูตพลังธาตุอัคคีที่ปล่อยดอกไม้ไฟเหล่านี้แข็งแกร่งมาก เย่เฉิน เซียวโม่และพวกรับรู้ได้ถึงพลังนี้ก็วิ่งออกมาดู เพราะคิดว่ามีศัตรูมาลอบโจมตี

ทว่า กลับได้เห็นกับดอกไม้ไฟที่เป็นตัวอักษรสี่คำ ‘สุขสันต์วันเกิด’ ปรากฏเจิดจรัสอยู่บนท้องฟ้าในยามรัตติกาล มีคนเฉลิมฉลองวันเกิดในยามรัตติกาลนี้