เวลาล่วงผ่าน นี่ก็ผ่านไปสามสิบปีแล้ว นับแต่ซุนเต๋อเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อตำแหน่งอมตะระหว่างหลัวและกู่
สามสิบปี เทียบเท่ากับครึ่งค่อนชีวิตของมนุษย์โดยทั่วไป เพียงพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรวมถึงจุดพลิกผันได้มากมายสำหรับมณฑลเล็กๆ แม้ว่าจะมีเด็กกำเนิดออกใหม่ เติบโต แต่งงาน จนกระทั่งคลอดบุตรกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
แต่ก็มีกลุ่มคนที่ต้องตกต่ำ ผิดหวัง แก่ชรา จวบจนสิ้นลมหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นเดียวกัน
ทว่าสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือตัวมณฑลแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้าง กำแพงเมือง จวนใหญ่ที่ว่าการมณฑล รวมไปถึง…โรงน้ำชาในปีนั้น
ทุกอย่างยังคงอยู่ในสภาพเดิม ต่อให้ได้รับความเสียหาย แต่ภาพรวมดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงไม่มากเท่าไรนัก เพียงแต่มีพื้นกระเบื้องที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ บางจุด อิฐบนกำแพงหายไปเล็กน้อย ป้ายของจวนใหญ่ที่ว่าการมณฑลหายไป รวมถึง…นักเล่าเรื่องภายในโรงน้ำชาในตอนนั้นก็หายไป
แต่ภายในมณฑล มีบุคคลและวัตถุเพิ่มขึ้นไม่น้อยเช่นกัน มีร้านค้ามากขึ้น บนกำแพงเมืองมีหอคอยเพิ่มขึ้น มีกลองเพิ่มขึ้นที่จวนของที่ว่าการอำเภอ ภายในโรงน้ำชายังมีผู้ช่วยเพิ่มขึ้น รวมไปถึง…ด้านล่างสะพานเมืองตะวันออก มีขอทานเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
ขอทานผู้นี้มีเส้นผมขาวโพลนทั่วศีรษะ เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูสกปรกมอมแมม มือทั้งสองข้างคล้ายกับมีสิ่งสกปรกลามทั่วบนผิวหนัง เขากำลังนั่งพิงกำแพง ตรงหน้ามีโต๊ะไม้ผุๆ หนึ่งตัว บนโต๊ะมีแผ่นไม้สีดำหนึ่งแท่ง บัดนี้ขอทานเฒ่ากำลังแหงนหน้ามองท้องนภากว้างใหญ่ ดวงตาขุ่นมัวเจียนจะบอดของเขากำลังเหม่อลอย แม้เนื้อตัวจะมอมแมม ทว่าใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยกลับเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยังสะอาด…สะอาดมาก
ดูเหมือนว่านี่คงเป็นสิ่งเดียว ที่ยังเป็นหน้าเป็นตาให้กับเขาได้
เพียงแต่ใบหน้าสะอาดสะอ้านนี้ ไม่เข้ากับขอทานคนอื่นที่อยู่รอบด้านเลย และไม่ได้สอดคล้องกับเสียงอึกทึกกึกก้องของฝูงชนที่เดินขวักไขว่ไปมา
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ท่ามกลางท้องฟ้าอันหมองหม่น ขอทานเฒ่าเปล่งเสียงออกมาจากลำคอ คล้ายกับกำลังยิ้ม และคล้ายกับกำลังก้มหน้าร้องไห้ เขาหยิบแผ่นไม้สีดำที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา และกระทบมันลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังฟังชัดเหมือนกับในปีนั้น
“กล่าวถึงคราวที่แล้ว ก่อนที่จักรพิภพเต๋าไพศาลจะล่มสลาย และก่อนที่จะเกิดเก้าพันหมื่นหายนะนับครั้งไม่ถ้วน นอกจากท้องฟ้าสีดำทะมึนพื้นดินสีเหลืองอร่ามแล้ว ในส่วนลึกของจักรวาลไกลโพ้นที่ไร้จุดสิ้นสุดและไม่เป็นที่รู้จัก มีสองผู้อาวุโสแห่งผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ดำรงอยู่นับตั้งแต่แรกเริ่ม ต่างกำลังแย่งชิงตำแหน่งอมตะ!”
“ผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้มีนามว่าหลัว ได้ยกมือขวาขึ้น จับเต๋าสวรรค์ไว้ในมือ และกำลังจะบดขยี้ให้แหลก…”
“ทว่ากู่กลับเหนือชั้นกว่า เขาหมุนตัวและย้อนเวลากลับไป…” ขอทานเฒ่าเล่นโทนเสียงสูงต่ำ ทั้งยังสะบัดหน้าไปมา คล้ายกับจมดิ่งอยู่ในเรื่องราว นัยน์ตาขุ่นมัวของเขาราวกับมองไม่เห็นผู้คนที่กำลังเดินขวักไขว่ไปมา แต่กลับลืมตัวท่าทางราวกับตอนที่อยู่ในโรงน้ำชาในปีนั้น
ครั้นเอ่ยปากพูด ขอทานคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่รอบตัวต่างไม่พอใจ แต่เขายังคงใช้แผ่นไม้สีดำในมือเคาะลงบนโต๊ะ สะบัดศีรษะไปมา เล่าเรื่องต่อไป
“ตาเฒ่า เรื่องนี้เจ้าพูดมาสามสิบปีแล้ว เปลี่ยนเรื่องอื่นได้ไหม?”
“ไอ้แซ่ซุน เจ้ารีบหุบปากเดี๋ยวนี้ รบกวนฝันอันงดงามของนายท่านอย่างข้า เจ้าคงอยากถูกอัดอีกรอบสินะ!” น้ำเสียงไม่พอใจนั้น ยิ่งพูดก็ยิ่งดุดันมากขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดขอทานวัยกลางคนที่ดูโหดเหี้ยมก็พุ่งตัวเข้ามาคว้าเสื้อของชราเฒ่าไว้ พร้อมถลึงตาใส่ด้วยความดุดัน
“ตาเฒ่าซุน เจ้ายังคิดว่าตัวเองเป็นคุณชายซุนในตอนนั้นอีกหรือ ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนเลย หากยังรบกวนเวลานอนหลับฝันดีของข้าอีกครั้ง เจ้าก็ไสหัวย้ายออกไปที่อื่นได้เลย!”
ขอทานเฒ่าแม้ว่าดวงตาจะหมองมัว ทว่าเขากลับเบิกตากว้าง และจ้องมองไปยังขอทานวัยกลางคนที่กระชากคอเสื้อตัวเองด้วยความเกรี้ยวกราด
“เหิมเกริม ข้าคือคุณชายซุน ข้าคือจวี่เหริน ชื่อเสียงของข้าเกรียงไกรในใต้หล้า ข้า…”
“เจ้ามันคนบ้า!” ขอทานวัยกลางคนยกมือขวาขึ้น เตรียมจะตบฉาดเข้าที่หน้าของอีกฝ่าย แต่จู่ๆ กลับมีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากที่ไกลๆ
“หยุด!”
ครั้นมองไปตามต้นเสียง ก็พบว่าข้างๆ สะพานมีชายชราผู้หนึ่งอุ้มอุ้มเด็กอายุ 5-6 ขวบไว้ในมือกำลังเดินตรงเข้ามา
เมื่อเห็นชายชราเดินเข้ามา ขอทานวัยกลางคนผู้นั้นจึงรีบวางมือลง ใบหน้าเหี้ยมโหดเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นประจบสอพลอ ขณะรีบเอ่ยวาจา
“ที่แท้ก็เป็นโจวหยวนว่ายนี่เอง ข้าน้อยกล่าวทักทายท่าน”
“ถอยออกไปเถอะ” โจวหยวนว่ายผู้นั้นขมวดคิ้ว จากนั้นโยนเหรียญออกมาจากกระเป๋า ขอทานวัยกลางคนรีบเก็บเหรียญ และถอยหลังออกไปด้วยรอยยิ้ม
โจวหยวนว่ายไม่ได้สนใจอีกฝ่าย สายตาของเขาแฝงด้วยอารมณ์ความรู้สึกและความสับสน ขณะมองขอทานเฒ่าจัดระเบียบเสื้อผ้าตนเอง หลังจากกลับนั่งที่ตามเดิม เขาจึงยกแผ่นไม้สีดำเคาะลงบนโต๊ะอีกครั้ง
“คุณชายซุน หากมีเวลา โปรดเล่าใหม่อีกสักครั้งเถิด ข้าอยากฟังเรื่องการเตรียมการของเก้าพันหมื่นหายนะนับครั้งไม่ถ้วนของหลัว รวมถึงฉากสุดท้ายในการต่อสู้กับกู่ด้วย” โจวหยวนว่ายเอ่ยปากพูดเสียงเบา
ขอทานเฒ่าเหลือบตามอง เขากวาดตามองโจวหยวนว่ายอยู่ครู่หนึ่ง พลันกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ที่แท้ก็เป็นเสี่ยวเอ้อร์นี่เอง คนมากันครบรึยังล่ะ”
โจวหยวนว่ายได้ยินก็แย้มยิ้มออกมา ราวกับว่าได้จมดิ่งลงไปในห้วงแห่งความทรงจำอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบกลับมาว่า
“คุณชายซุน คนมากันครบแล้ว ทุกคนกำลังรอท่านอยู่” ระหว่างที่กล่าว เขาจึงวางเด็กน้อยที่กำลังเกิดความฉงนลง และใช้แขนเสื้อเช็ดไปที่โต๊ะ
ขอทานเฒ่ายิ้มด้วยความภูมิใจ เขาหยิบแผ่นไม้สีดำขึ้นมา เคาะลงบนโต๊ะหนึ่งครั้ง จนเกิดเสียง “แปะ”
“พูดถึงคราวที่แล้ว…” เสียงของชายชราเฒ่าดังท่ามกลางเสียงจอแจของฝูงชน ราวกับว่าได้นำเขากลับไปยังปีนั้นอีกครั้ง โจวหยวนว่ายที่อยู่ตรงข้ามเขาก็มีท่าทีเช่นเดียวกัน พวกเขาทั้งสองคน หนึ่งคนเล่า หนึ่งคนฟัง จวนจบเวลาพลบค่ำ ขอทานเฒ่าก็ผล็อยหลับไป โจวหยวนว่ายสูดหายใจเข้าลึกๆ มองท้องฟ้าที่แสนมืดครึ้ม จากนั้นถอดเสื้อนำมาคลุมบนร่างของขอทานเฒ่า หลังจากโค้งคำนับ เขาจึงทิ้งเงินไว้ส่วนหนึ่งและนำเด็กเล็กเดินจากไป
ห่างออกไป เสียงของเด็กดังขึ้นด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ท่านปู่ ขอทานคนนั้นคือใครหรือ”
“เขาน่ะรึ คุณชายซุน ตอนที่ปู่ยังเป็นผู้ช่วยที่โรงน้ำชา เขาคือคุณชายที่ปู่เคารพมากที่สุดเลยล่ะ”
“แล้วทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ไม่กลับบ้านรึ?”
“ความฝันของคุณชายซุน คือการเดินข้ามพันภูเขาหมื่นธารา เพื่อดูชีวิตของมนุษย์ บางทีท่านอาจจะเหนื่อย จึงแวะพักผ่อนที่นี่” เสียงถอนหายใจของชายชราผสมผสานกับเสียงคมชัดของเด็ก ห่างไกลออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าเขากลับไม่เห็นว่า ขอทานเฒ่าที่ดูเหมือนกำลังนอนหลับผู้นั้น แท้จริงแล้วในเวลานี้ร่างกายกำลังสั่นเทา ดวงตาที่ปิดลงไม่อาจห้ามน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม ครั้นน้ำตาหยดลงสู่พื้น ท้องนภาก็มืดหม่นลง หยาดฝนอันหนาวเหน็บที่ตกลงมาได้กระทบลงสู่ผืนพิภพ
หยาดฝนนี้ช่างหนาวเหน็บ ขอทานเฒ่าค่อยๆ ลืมตาอันขุ่นมัว เขาหยิบแผ่นไม้สีดำที่วางอยู่บนโต๊ะมากอดไว้ นี่เป็นวัตถุเพียงชิ้นเดียวที่อยู่กับเขาตั้งแต่แรกเริ่มจวบจนปัจจุบัน
ระหว่างลูบแผ่นไม้สีดำ ขอทานเฒ่าพลันแหงนหน้ามองท้องฟ้า เขานึกถึงฉากหยาดฝนตอนที่เรื่องเล่านั้นได้สิ้นสุดลง
ฉากหยาดฝนเมื่อสามสิบปีก่อน ช่างหนาวเหน็บ ไร้ซึ่งความอบอุ่น เช่นเดียวกับโชคชะตาของเขา หลังจากที่เล่าเรื่องของกู่และหลัวจบลงแล้ว เขาก็ไม่มีความฝันอีกต่อไป เรื่องเกี่ยวกับปีศาจ มาร นิรันดร์ ครึ่งเทพครึ่งอมตะที่เขาเสริมเติมแต่งขึ้นมา เป็นเพราะยังขาดความน่าสนใจ แรกเริ่มทุกคนต่างพากันเฝ้ารอ ทว่าหลังจากความอดทนสิ้นสุดลง ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้อีก
เขาพยายามมาหลากหลายรูปแบบ แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ความล้มเหลวจากการเล่าเรื่อง ส่งผลให้ฐานะในบ้านของเขาต้อยต่ำลงเรื่อยๆ พ่อตาเกิดความไม่พอใจ ภรรยาก็ดูถูกและรังเกียจเดียดฉันท์ เขารู้สึกอับอายจนแทบซุกแผ่นดินหนี จึงเหลือเพียงความหวังเดียวคือผลสอบเข้ารับราชการ
แต่แล้ว…เขาก็ยังล้มเหลว
ปัญหาถาโถมเข้าใส่เขาคราแล้วคราเล่า ทำให้ซุนเต๋ออับจนหนทาง ท่ามกลางความจนปัญญานี้ เขาจึงทำได้เพียงแค่เล่าเรื่องกู่และอมตะอีกครั้ง ภายในระยะเวลาสั้นๆ ชีวิตเดิมของเขาฟื้นกลับคืนมา แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปเจ็ดปีให้หลัง เรื่องราวที่น่าตื่นเต้น ก็ไม่อาจเอาชนะความซ้ำซากจำเจได้อีกต่อไป ครั้นทุกคนได้ฟังเรื่องนี้จนครบ ก็เริ่มมีผู้คนเลียนแบบมากขึ้นเรื่อยๆ จนเส้นทางของซุนเต๋อพลันถูกตัดขาด
เขาไม่มีช่องทางหารายได้อีก ชื่อเสียงค่อยๆ จางหาย จนทำให้ไม่หลงเหลือหน้าตาประดับบารมี แม้แต่ภรรยาก็แสดงท่าทีขยะแขยงออกมาให้เห็น ทั้งยังทำดีกับคนอื่นต่อหน้าเขา ตอนที่เขาบันดาลโทสะ นางจึงตัดสินใจหย่าขาดกับเขา และแต่งงานกับคนอื่นภายใต้การสนับสนุนของพ่อตา
ซุนเต๋อทนทุกข์ทรมานกับการถูกหลอกในช่วงแรก เขาโดนรุมกระทืบจนขาหักทั้งสองข้าง ก่อนจะถูกโยนออกมานอกประตูบ้าน ในวันนั้นเป็นช่วงที่ฝนตกโปรยปราย และหนาวเหน็บเช่นเดียวกัน
ไร้บ้าน ไร้งาน ไร้หน้าตา สูญเสียทุกสิ่ง แม้กระทั่งขาทั้งสองข้าง เขานอนร้องโอดครวญท่ามกลางสายฝน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวกับการทุบตีเช่นนี้ จึงเป็นบ้าเสียสติไป
หรืออาจจะกล่าวได้ว่า เขาจำใจต้องเป็นบ้า เพราะในตอนแรกเขามีชื่อเสียงมาก แต่ในตอนนี้กลับหมดตัวสูญเสียทุกสิ่ง ความตกต่ำเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะยอมรับได้
ซุนเต๋อที่เป็นบ้า อาศัยผู้ฟังหน้าเก่าและบางครั้งก็ถอนหายใจหวนนึกถึงอดีตเพื่อขออาหาร ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นขอทาน ขอทานที่อยู่ในโลกของตัวเองและยังคงเล่าเรื่องต่อไป
มีหลายครั้ง ที่เขาคิดว่าตนเองกำลังจะตาย แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมรับต่อชะตานี้ เขาดิ้นรนสุดชีวิตเพื่ออยู่รอดต่อไป ต่อให้…สิ่งที่อยู่ข้างกายเขา จะมีแค่แผ่นไม้สีดำเพียงสิ่งเดียวก็ตาม
เขาลูบแผ่นไม้สีดำเบาๆ ขณะมองหยาดฝนที่ตกโปรยปราย รู้สึกว่าวันนี้หนาวเหน็บกว่าทุกวันที่ผ่านมา ราวกับว่าโลกทั้งใบเหลือเขาเพียงคนเดียว ทุกสรรพสิ่งเปลี่ยนเป็นความเลือนราง มืดหม่น เขารู้สึกราวกับได้ยินเสียงของผู้คนจำนวนมาก และเห็นเงาอีกมากมาย
“คุณชายซุน เล่าอีกตอนเถอะ”
“นั่นสิคุณชายซุน พวกเราฟังจนใจคันยุบยิบไปหมดแล้ว คุณชายอย่าอุบไว้สิ”
“คุณชายซุน คุณชายซุนของพวกเรา ท่านปล่อยให้พวกเรารอมานาน แต่ก็นับว่าคุ้มค่า!”
ครั้นได้ยินเสียงดังขึ้นจากรอบด้าน และเงาของผู้คนที่กระตือรือร้น ซุนเต๋อจึงคลี่ยิ้มออกมา เพียงแต่รอยยิ้มของเขา กลับค่อยๆ เย็นชาไปพร้อมกับร่างกาย และกลายเป็นนิรันดร์อย่างเนิบช้า
ทว่าในเวลานี้…จู่ๆ เขาก็เห็นคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน มีเงาสองคนที่มีความชัดเจน นั่นคือชายวัยกลางคนผมขาวโพลน ดวงตาของเขาแฝงความโศกเศร้า ข้างกายของเขาคือเด็กหญิงสวมใส่ชุดสีแดง แม้เสื้อผ้าของเด็กคนนี้จะมีสีสันสดใส ทว่าใบหน้ากลับขาวโพลนอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายค่อนข้างเลือนราง ราวกับพร้อมมลายหายไปได้ทุกเมื่อ
พวกเขาทั้งสองคนนั่งลงตรงนั้น และกำลังมองมาที่ตนเอง
“ผู้อาวุโสโปรดช่วยบุตรีของข้าด้วย หวังผู้นี้ยินดีทำทุกอย่าง ยอมแลกด้วยทุกสิ่งที่มี!” ตอนที่ซุนเต๋อมองไป ก็พบว่าชายวัยกลางคนเส้นผมขาวโพลนผู้นั้นกำลังลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับให้เขา
………………………………